21 ก.พ. 2568 | 14:52 น.
KEY
POINTS
ท่ามกลางโลกธุรกิจแสนเย็นชาที่ผู้คนต่างไล่ล่าความสำเร็จด้วยตัวเลขกำไรและการแข่งขันอันดุเดือด มีชายผู้หนึ่งที่เลือกจะเดินบนเส้นทางอันแตกต่าง เขาพิสูจน์ให้โลกได้เห็นว่าความสำเร็จและความเมตตาสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างงดงาม
‘แดเนียล ลูเบตซกี’ ผู้ก่อตั้ง ‘KIND Snacks’ มิได้เพียงสร้างอาณาจักรธุรกิจพันล้านดอลลาร์ แต่ยังได้จุดประกายการปฏิวัติวงการขนมขบเคี้ยวด้วยปรัชญาที่ว่า ความอร่อยและสุขภาพที่ดีไม่จำเป็นต้องเป็นคู่ตรงข้ามกันเสมอไป
รากฐานแห่งความเมตตาในตัวลูเบตซกีมิได้ผุดบังเกิดขึ้นลอย ๆ หากแต่หยั่งรากลึกจากประสบการณ์อันเจ็บปวดของครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบิดาผู้รอดชีวิตจากการสังหารหมู่ชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่สอง แม้ต้องผ่านความโหดร้ายทารุณของสงคราม แต่ท่านกลับเลือกที่จะดำเนินชีวิตด้วยความหวังและความเมตตา บทเรียนอันล้ำค่านี้ได้กลายเป็นเข็มทิศนำทางให้ลูเบตซกีในทุกการตัดสินใจทางธุรกิจ
ก่อนที่ความมืดมนของสงครามจะปกคลุมทวีปยุโรป บิดาของลูเบตซกีใช้ชีวิตวัยเด็กอย่างสงบสุขในโปแลนด์ ท่ามกลางครอบครัวชาวยิวที่เคร่งครัดในศาสนาและวัฒนธรรม แต่แล้วในปี 1939 เมื่อกองทัพนาซีบุกเข้าโปแลนด์ ชีวิตของเด็กชายวัย 9 ขวบก็พลิกผันไปตลอดกาล
ความทรงจำแรกของการถูกบังคับให้ย้ายเข้าไปอยู่ในเขตกักกันชาวยิวยังคงฝังลึกในความทรงจำ การถูกกวาดต้อนเข้าไปอยู่ในพื้นที่แออัด ที่ซึ่งครอบครัวต้องอยู่รวมกันในห้องเล็ก ๆ แบ่งปันพื้นที่จำกัดกับผู้คนอีกนับร้อย ความหิวโหย ความหวาดกลัว และความไม่แน่นอนกลายเป็นเพื่อนร่วมทางในทุกลมหายใจ
สองปีต่อมา โศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่กว่าก็มาเยือน เมื่อครอบครัวถูกส่งตัวไปยังค่ายกักกัน ‘Dachau’ สถานที่ซึ่งจะกลายเป็นบททดสอบความเป็นมนุษย์ที่โหดร้ายที่สุด ที่นั่น เด็กชายได้เห็นด้านที่เลวร้ายที่สุดของมนุษยชาติ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ได้เรียนรู้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของความหวังและความเมตตา
ในค่ายกักกัน Dachau พ่อของลูเบตซกีใช้ชีวิตอยู่กับพ่อของเขาเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งเขาอายุเกือบ 16 ปี เมื่อในที่สุดกองทัพอเมริกันได้เข้ามาปลดปล่อยค่าย เปิดโอกาสให้พวกเขาได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ทั้งสองคนเดินทางอพยพไปยังเม็กซิโกซิตี้ โดยมีเพียงเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่บนร่างกายเท่านั้น
หลังจากย้ายมาถึงเม็กซิโกซิตี้ พ่อของลูเบตซกีเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการทำงานหนักสามกะในโรงงาน แม้มีการศึกษาเพียงชั้นประถม แต่ด้วยความมุ่งมั่น เขาสามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษและสเปนได้ด้วยตนเอง จากนั้นได้งานในร้านเครื่องประดับ ซึ่งทำให้เขาได้เรียนรู้การค้า
ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมา เขาและพ่อของเขาได้ร่วมกันเปิดร้านเครื่องประดับเล็ก ๆ และต่อมาได้เป็นตัวแทนจำหน่ายนาฬิกาในช่องทางปลอดภาษี ความสำเร็จเริ่มก่อตัวเมื่อเขาร่วมหุ้นกับผู้รอดชีวิตจาก Holocaust อีกสี่คน สร้างหนึ่งในเครือข่ายร้านค้าปลอดภาษีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตามแนวชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับพ่อของลูเบตซกีคือ แม้จะผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายจากสงคราม แต่เขาไม่เคยปล่อยให้มันทำให้เขาขมขื่น ตรงกันข้าม เขามองโลกในแง่ดี และมีทัศนคติเชิงบวก เพราะรู้สึกโชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่
ในการเลี้ยงดูลูกทั้งสี่คน บทเรียนสำคัญที่สุดที่เขาสอนคือการเป็นคนมีเมตตา เขาแสดงให้เห็นถึงการเฉลิมฉลองชีวิตในทุกวันและการนำความเมตตาไปสู่ทุกคนที่พบเจอ บทเรียนเหล่านี้ฝังรากลึกในตัวลูเบตซกีและกลายเป็นหลักการสำคัญในการดำเนินชีวิตและธุรกิจของเขาในเวลาต่อมา
แดเนียล ลูเบตซกี เติบโตในชุมชนชาวยิวขนาดเล็กที่สนิทสนมกันในเม็กซิโกซิตี้ จิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการเริ่มปรากฏตั้งแต่เขาอายุเพียง 12 ปี เมื่อเขาขอพ่อแม่ให้ได้ทำงานภาคฤดูร้อนกับผู้ค้าส่งสิ่งทอในใจกลางเมือง ทุกวันเขาต้องนั่งรถบัสและรถไฟใต้ดินไปทำงาน รับผิดชอบทั้งการแบกม้วนผ้าขนาดใหญ่ไปส่งตามจุดต่าง ๆ การวัดและตัดผ้าให้ลูกค้า รวมถึงการทำงานที่เครื่องคิดเงิน
เมื่อธุรกิจของพ่อเริ่มเติบโต การเดินทางไปสหรัฐอเมริกาบ่อยครั้งและความกังวลเกี่ยวกับการต่อต้านชาวยิวในเม็กซิโกซิตี้ขณะนั้น ทำให้ครอบครัวตัดสินใจย้ายไปซานอันโตนิโอ รัฐเท็กซัส เมื่อลูเบตซกีอายุเกือบ 16 ปี
การปรับตัวในโรงเรียนอเมริกันนำมาซึ่งการค้นพบความแตกต่างทางวัฒนธรรมครั้งสำคัญ ลูเบตซกีพบว่าระบบการแบ่งกลุ่มในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักกีฬา กลุ่มเด็กเรียน กลุ่มโต้วาที กลุ่มละคร กลุ่มพังก์ และกลุ่มคาวบอย เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเข้าใจ แม้จะถูกบอกว่าต้องเลือกอยู่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เขาไม่เคยยอมจำกัดตัวเองไว้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
สิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับลูเบตซกีอย่างมากในอเมริกาคือ ‘เสรีภาพ’ เขาจำได้ถึงความรู้สึกตื่นตาตื่นใจเมื่อดูทีวีในยามดึกและได้เห็นการล้อเลียนประธานาธิบดีเรแกน ซึ่งแตกต่างจากเม็กซิโกอย่างสิ้นเชิง ที่การวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีอาจนำไปสู่การถูกจับกุม สำหรับเขา ระบบที่อนุญาตให้ผู้คนมีความแตกต่างและภาคภูมิใจในความแตกต่างนั้น คือจุดแข็งที่ยิ่งใหญ่ของอเมริกา
ในฐานะวัยรุ่นผู้มีความคิดสร้างสรรค์ ลูเบตซกีไม่รอให้โอกาสมาหา เขาใช้ความสามารถในการเล่นมายากลแสดงในงานปาร์ตี้ รับจ้างตัดหญ้า และล้างรถ เมื่ออายุ 16 ปี เขาเริ่มธุรกิจขายนาฬิกาที่ตลาดนัด โดยได้รับการแนะนำซัพพลายเออร์จากพ่อ จนสามารถขยายกิจการไปตั้งร้านขายนาฬิกาในห้างสรรพสินค้า
ที่มหาวิทยาลัยทรินิตี้ในซานอันโตนิโอ ลูเบตซกีเลือกเรียนเอกเศรษฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ระหว่างเรียน เขาแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ประกอบการด้วยการพัฒนาเครือข่ายนักศึกษาขายนาฬิกา ช่วยให้ทั้งตัวเขาและเพื่อนนักศึกษามีรายได้สำหรับค่าใช้จ่ายทางการศึกษา ธุรกิจนี้ประสบความสำเร็จมากจนเขาเกือบตัดสินใจไม่เรียนต่อกฎหมาย
แต่ด้วยความปรารถนาของพ่อที่อยากให้ลูกชายได้รับการศึกษาที่ตัวท่านไม่มีโอกาสได้รับ ลูเบตซกีจึงเข้าเรียนต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด หลังจากจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมจากทรินิตี้ในปี 1990 และได้รับปริญญานิติศาสตร์ในปี 1993
จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตเกิดขึ้นเมื่อลูเบตซกีอายุ 25 ปี ขณะที่เขามีโอกาสฝึกงานภาคฤดูร้อนที่บริษัทกฎหมาย ‘McKinsey & Company’ ในเม็กซิโกซิตี้ และได้รับข้อเสนอตำแหน่งงานประจำ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เขาได้รับทุน ‘Haas Koshland Fellowship’ เพื่อทำวิจัยและเขียนเกี่ยวกับการส่งเสริมการร่วมทุนระหว่างชาวอาหรับและชาวอิสราเอล
เขายืนอยู่ ณ ทางแยกสำคัญของชีวิต ระหว่างเส้นทางที่ปลอดภัยในอาชีพทนายความ กับการทำตามความเชื่อที่ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ “การสร้างสะพานระหว่างผู้คนคือความหลงใหลของผม” ลูเบตซกีกล่าว “ผมถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อว่าเรามีหน้าที่ที่จะต้องมีเมตตาต่อกัน แนวคิดของผมคือการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างผู้คนในพื้นที่ขัดแย้ง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้พวกเขาสร้างอนาคตและสันติภาพร่วมกัน”
ด้วยความเชื่อมั่นนี้ ลูเบตซกีจึงก่อตั้ง ‘PeaceWorks, Inc.’ โดยผลิตภัณฑ์แรกของบริษัทคือเพสต์มะเขือเทศตากแห้ง ที่รวมความร่วมมือจากหลายประเทศเข้าด้วยกัน ผลิตในโรงงานอิสราเอล จ้างคนงานปาเลสไตน์ บรรจุในขวดแก้วจากอียิปต์ และใช้มะเขือเทศจากตุรกี
“จุดประสงค์ของผม คือการเริ่มธุรกิจที่ทั้งทำเงินและรับใช้เป้าหมายทางสังคม เมื่อผู้คนทำงานและค้าขายกัน จะเกิดประโยชน์สามประการ ในระดับบุคคล พวกเขาค้นพบความเป็นมนุษย์ร่วมกันและทำลายภาพเหมารวมทางวัฒนธรรม ในระดับธุรกิจ พวกเขาได้ผลประโยชน์ในการรักษาและเสริมสร้างความสัมพันธ์ ในระดับภูมิภาค ความสำเร็จทำให้ผู้คนมีส่วนได้ส่วนเสียในระบบ” ลูเบตซกีอธิบาย
เส้นทางของ PeaceWorks ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ในช่วงเริ่มต้น ลูเบตซกีอาศัยอยู่ในสตูดิโออพาร์ตเมนต์ในนิวยอร์ก เก็บสินค้าไว้ในห้องใต้ดินของตึก ทุกวันเขาต้องแบกกระเป๋าตัวอย่างสินค้าที่หนักอึ้งเดินขายตรงเป็นเวลา 12 ชั่วโมง บางวันค่าน้ำมันที่ใช้ในการออกไปขายสินค้ายังมากกว่ารายได้ที่ได้รับ หลายครั้งที่เขาคิดจะยอมแพ้และกลับไปทำงานเป็นทนายความ
“ความแตกต่างระหว่างคนที่สู้ต่อกับคนที่ยอมแพ้คือความเด็ดเดี่ยว” ลูเบตซกีกล่าว
หลังจาก 10 ปีแห่งความท้าทายและบทเรียนกับ PeaceWorks ลูเบตซกีพบโอกาสใหม่ในปี 2003 เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าตลาดขาดแคลน ‘ขนมขบเคี้ยวที่ดีต่อสุขภาพ’ เขาเริ่มต้นด้วยการนำเข้าบาร์อาหารจากบริษัทในออสเตรเลียที่ผลิตจากผลไม้ ถั่ว และโยเกิร์ต อย่างไรก็ตาม เมื่อบริษัทออสเตรเลียถูกซื้อกิจการและเริ่มเพิ่มส่วนผสมเทียม แทนที่จะประนีประนอมกับมาตรฐานคุณภาพ เขาตัดสินใจยุติการขายและสร้างแบรนด์ของตัวเอง นั่นคือจุดกำเนิดของ ‘KIND Snacks’
KIND เติบโตจากธุรกิจที่เริ่มต้นด้วยงบประมาณจำกัดในปี 2004 จนกระทั่งได้รับเงินทุนจากภายนอกประมาณ 16 ล้านดอลลาร์ในปี 2008 และประสบความสำเร็จอย่างสูงจนถูกซื้อโดยบริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ ‘Mars’ ด้วยมูลค่าที่รายงานว่าสูงถึง 5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2020
หนึ่งในกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของ KIND คือการที่ลูเบตซกีเลือกร่วมงานกับคนที่มี ‘ความเมตตา’ (kind) มากกว่าคนที่เพียงแค่ ‘สุภาพ’ (nice) เขาอธิบายว่า “การเป็นคนสุภาพไม่ต้องใช้ความพยายามมาก คุณสามารถอยู่เฉยๆ แล้วสุภาพได้ แต่การเป็นคนมีเมตตาต้องใช้ความกล้าที่จะจริงใจ”
ในมุมมองของเขา คนที่แค่สุภาพมักหลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลในแง่ลบเพราะกลัวว่าจะทำร้ายความรู้สึกผู้อื่น ซึ่งในระยะยาวอาจสร้างความเสียหายมากกว่า “คนขี้อายและกลัวเกินไปที่จะแชร์ข้อมูลสร้างความเสียหายมากกว่า”
ด้วยเหตุนี้ ลูเบตซกีจึงสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการอภิปรายอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาสนับสนุนให้แม้แต่พนักงานระดับล่างรู้สึกว่าพวกเขา “ไม่เพียงแต่มีสิทธิ์ แต่ยังมีหน้าที่ที่จะต้องพูดคุยกับผม” เมื่อมีคนยกประเด็นอะไรขึ้นมา เขาจะรับฟังและคิดวิเคราะห์ร่วมกัน บางครั้งเขาจะแสดงบทบาทเป็นผู้คัดค้านเพื่อกระตุ้นให้เกิดการอภิปรายที่ลึกซึ้งขึ้น
ลูเบตซกีเชื่อว่าการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมานั้นต้องเริ่มจากการสร้างความไว้วางใจ “ไม่มีทางลัดสำหรับเรื่องนี้ คุณแค่ต้องแสดงให้เห็นว่าคุณพร้อมจะอยู่เคียงข้างกันตลอดเวลา” เขากล่าว “ความโปร่งใส ความจริงใจ การสื่อสารแบบเปิดกว้าง การคิดถึงผู้อื่น และการให้ความสำคัญกับองค์กรร่วมกันมากกว่าอัตตาของแต่ละคน สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดคือสิ่งที่จะสร้างสภาพแวดล้อมแห่งความไว้วางใจ”
แนวคิดนี้ได้รับการพิสูจน์ผ่านความสำเร็จของ KIND ที่เติบโตจากธุรกิจเล็ก ๆ จนกลายเป็นหนึ่งในบริษัทขนมเพื่อสุขภาพที่เป็นที่รู้จักและไว้วางใจมากที่สุดในโลก ส่วนหนึ่งของภารกิจบริษัทคือการสนับสนุนให้ผู้อื่นแสดงความเมตตา ซึ่งปัจจุบันมีการบันทึกการแสดงความเมตตามากกว่าเก้าล้านครั้ง
นอกจาก KIND แล้ว ในปี 2002 ลูเบตซกียังได้ก่อตั้ง ‘OneVoice Movement’ การเคลื่อนไหวระดับรากหญ้าระหว่างประเทศที่มุ่งเสริมพลังให้ชาวอิสราเอลและปาเลสไตน์สนับสนุนผู้นำที่ได้รับเลือกตั้งให้มุ่งสู่ทางออกแบบสองรัฐ ต่อมาในปี 2010 เขาร่วมก่อตั้ง ‘Maiyet’ ธุรกิจแฟชั่นหรูที่สร้างความร่วมมือกับช่างฝีมือในประเทศกำลังพัฒนาเพื่อส่งเสริมการพึ่งพาตนเองและการเป็นผู้ประกอบการ
ล่าสุด ผ่านมูลนิธิ KIND ลูเบตซกีได้เปิดตัวโครงการ ‘Empatico’ แนวคิดที่เขาบ่มเพาะมากว่าทศวรรษ ด้วยศักยภาพที่จะช่วยให้เด็กหลายสิบล้านคนค้นพบความเป็นมนุษย์ของกันและกัน ผ่านเครื่องมือฟรีสำหรับครูในการเชื่อมต่อห้องเรียนของพวกเขากับห้องเรียนอื่น ๆ ทั่วประเทศและทั่วโลก
ความสำเร็จของลูเบตซกีได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง นิตยสาร ‘Time’ จัดให้เขาเป็นหนึ่งใน 25 ผู้บุกเบิกนวัตกรรมทางสังคม และ ‘Advertising Age’ ยกย่องให้เขาเป็นหนึ่งใน ‘Creativity 50’ นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัลผู้ประกอบการแห่งปีจากทั้งนิตยสาร ‘Entrepreneur’ และ ‘Ernst & Young’
เมื่อมองย้อนกลับไป มรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ลูเบตซกีได้รับจากพ่อของเขาอาจไม่ใช่บทเรียนในการทำธุรกิจ แต่เป็นการเรียนรู้ว่าแม้ในยามที่มืดมิดที่สุด ‘ความเมตตา’ และ ‘ความหวัง’ ยังคงเป็นแสงสว่างที่จะนำทางเราไปข้างหน้า พ่อของเขาเลือกที่จะไม่ให้ประสบการณ์อันเลวร้ายในสงครามทำให้จิตใจขมขื่น แต่กลับใช้มันเป็นแรงผลักดันในการสร้างชีวิตที่เปี่ยมด้วยความหมายและการแบ่งปัน
ปัจจุบัน ด้วยมูลค่าทรัพย์สินส่วนตัวที่ 2.1 พันล้านดอลลาร์ตามรายงานของ ‘Forbes’ ลูเบตซกียังคงยึดมั่นในหลักการที่ว่าความสำเร็จทางธุรกิจและการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมสามารถเดินเคียงคู่กันได้ เขาเชื่อว่าทักษะที่สำคัญที่สุดสำหรับคนรุ่นใหม่ไม่ใช่แค่ความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี แต่ความฉลาดทางอารมณ์ ความกล้าหาญ ความน่าเชื่อถือ และที่สำคัญที่สุดคือความเมตตา
“ถ้าชีวิตของผมสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นได้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” ลูเบตซกีกล่าว เรื่องราวของเขาไม่เพียงแต่เป็นตำนานความสำเร็จทางธุรกิจ แต่ยังเป็นพิมพ์เขียวของการใช้ความเมตตาเป็นเข็มทิศนำทางในโลกธุรกิจ พิสูจน์ให้เห็นว่าการสร้างผลกำไรและการสร้างโลกที่ดีขึ้นไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกัน
.
เรื่อง: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ: Getty Images
.
อ้างอิง:
Dore, Kate. “Self-Made Billionaire Daniel Lubetzky Shares His No. 1 Tip for Success.” CNBC, 26 Oct. 2023, www.cnbc.com/2023/10/26/self-made-billionaire-daniel-lubetzky-shares-his-no-1-tip-for-success.html. Accessed 21 Feb. 2025.
Horatio Alger Association. “Daniel Lubetzky.” Horatio Alger Association of Distinguished Americans, horatioalger.org/members/detail/daniel-lubetzky/. Accessed 21 Feb. 2025.