06 มี.ค. 2568 | 11:30 น.
“ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกมาโดยตลอด ตอนเด็ก ๆ ต้องย้ายบ้านหลายครั้ง เพราะการทำงานของพ่อ จำได้ว่าไปไม่ต่ำกว่า 3 ประเทศ 4 ทวีป พ่อกับแม่ส่งฉันเข้าเรียนในโรงเรียนท้องถิ่น แน่นอนว่าฉันต้องฝึกพูดภาษาให้ได้ภายในไม่กี่วัน มันยากมาก แต่ฉันไม่มีทางเลือกมากนัก
“ฉันต้องปรับตัวตลอดเวลา ทั้งภาษา วัฒนธรรมที่แตกต่าง แต่การศึกษาทำให้ฉันมาอยู่ ณ จุดนี้ ต้องขอบคุณพ่อที่เห็นคุณค่าของการเรียน และทำให้ข้อจำกัดของการเป็นลูกสาวหายไป พ่อมีแต่สนับสนุนอยากให้ลูกทุกคนเรียนหนังสือสูง ๆ (เธอมีพี่น้อง 3 คน ผู้หญิง 2 ผู้ชาย 1) และฉันก็เห็นแล้วว่าความคิดของพ่อถูกต้องทุกอย่าง” ไทย ลี (Thai Lee) CEO บริษัท SHI International ผู้มีความมั่งคั่งอันดับ 4 ของสหรัฐฯ จากการจัดอันดับของนิตยสาร Forbes
ไทย ลี เกิดที่กรุงเทพมหานคร เมื่อปี 1958 ในครอบครัวปัญญาชน พ่อเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง มักเดินทางไปทั่วโลกเพื่อแนะนำแผนพัฒนาประเทศหลังสงครามของเขาเอง และนั่นทำให้เธอมาเกิดมาประเทศไทย จนได้รับการตั้งชื่ออย่างตรงไปตรงมาว่า ‘ไทย’ ความเกี่ยวข้องกับประเทศไทยของเธอจึงเป็นแค่ช่วงสั้น ๆ หลังจากเกิดได้ไม่นาน ครอบครัวลีก็โยกย้ายกลับไปยังเกาหลีใต้อีกครั้ง จากนั้นก็เดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐอเมริกาอย่างเต็มตัวเพื่อเข้าเรียนในระดับมัธยมปลาย
ลีเป็นคนรอบคอบ คิดอะไรอย่างตรงไปตรงมา ขยันเรียน และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันอยู่เสมอ นี่เสียงชื่นชมที่เธอได้รับมาโดยตลอด
“ถ้าคุณอยู่ในเกาหลีใต้ คุณต้องคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากเกาหลีเหนือรุกราน” เพราะอย่าลืมว่าช่วงเวลาที่เธอเกิดเพิ่งผ่านพ้นสงครามเกาหลีไปไม่นาน จึงเป็นเหตุผลให้เธอมักคิดอะไรอย่างละเอียด หล่อหลอมตัวตนของเด็กน้อยคนนี้ให้เติบโตมาอย่างแข็งแกร่งอย่างในทุกวันนี้
เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เธอย้ายไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา เข้าเรียนมัธยมปลายที่เมืองแอมเฮิร์สต์ รัฐแมสซาชูเซตส์ จากนั้นจึงลงทะเบียนเรียนที่วิทยาลัยแอมเฮิร์สต์ และได้รับปริญญาสองใบในสาขาชีววิทยาและเศรษฐศาสตร์ ทำให้เธอกลายเป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในแอมเฮิร์สต์เลยก็ว่าได้
ส่วนเบื้องหลังว่าทำไมลีจึงเลือกเรียนควบปริญญาสองใบ ไม่ใช่เพราะความเก่งเพียงอย่างเดียว เธอแค่อยากหลีกเลี่ยงวิชาที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารให้มากที่สุด เพราะเธอเองก็เป็นแค่ชาวเอเชีย จากบ้านเกิดมาไกล แถมยังภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง กลัวว่าจะต้องออกไปพูดหน้าชั้นอยู่ร่ำไป นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอจึงเลือกเรียนทั้งชีววิทยาและเศรษฐศาสตร์ควบคู่กัน
“ฉันไม่ค่อยรู้จักนักศึกษาคนอื่นเท่าไหร่ เลยพยายามเลี่ยงสาขามนุษยศาสตร์ให้ได้มากที่สุด ฉันเป็นแค่คนขี้ขลาดคนหนึ่งเท่านั้นเองค่ะ” ลีให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสารมหาวิทยาลัยอย่างตรงไปตรงมา
“เพราะฉันตั้งใจที่จะได้เกรดดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนั้นฉันรู้ว่าโอกาสที่ดีที่สุดที่จะประสบความสำเร็จสำหรับฉันคือการเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง เพราะหลังจากตัดอาชีพที่ฉันไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ออกไปทั้งหมดแล้ว ฉันก็เหลือแค่อาชีพนี้ นั่นคือการเป็นนักธุรกิจ”
นอกจากปริญญาสองใบแล้ว เธอยังขึ้นแท่นสตรีผู้สร้างฐานะขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองจนติด 1 ใน 10 อันดับมหาเศรษฐีของสหรัฐฯ แต่ใช่ว่าการเป็นนักธุรกิจจะทำให้เธอห่างไกลจากสถาบันที่เธอจบมา ลีมักกลับมายังสถาบันแห่งนี้อยู่เสมอ ทำหน้าที่กรรมการมูลนิธิคอยดูแลความเป็นไปของมหาลัยอยู่ไม่ห่าง จนได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยแอมเฮิร์สต์ในปี 2014 รางวัลศิษย์เก่าดีเด่น โรงเรียนธุรกิจฮาร์วาร์ด และผู้ประกอบการแห่งปีของ Ernst & Young ในปี 2012
ในปี 1989 ลีแต่งงานกับลีโอ โคกวน ( Leo Koguan) ทนายความ ที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และเป็นผู้ก่อตั้งร่วมและประธานของ SHI International ทั้งคู่หย่าร้างกันในปี 2002 มีลูกด้วยกันสองคน ปัจจุบัน ลีอาศัยอยู่ในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา และยังคงทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ แต่เธอได้วางเป้าหมายเอาไว้ว่าการทำงานทุกวันอาจไม่ใช่ทางออก จึงพยายามหางานอดิเรกอย่างอื่นทำอยู่เสมอ เช่น การอ่านหนังสือพัฒนาความรู้
หลังจากเรียนจบจากแอมเฮิร์สต์ เธอยังไม่หยุดการเรียนรู้ เพราะเชื่อตามคำสอนของพ่อว่าการศึกษาสามารถเปลี่ยนชีวิตของคนคนหนึ่งได้อย่างมหาศาล ดังนั้น ทุกครั้งที่ลีได้รับเชิญออกไปกล่าวถึงความสำเร็จของเธอในเวทีต่าง ๆ สิ่งหนึ่งที่เธอมักจะยกมาพูดถึงเสมอคือเรื่องราวของ ‘พ่อ’
พ่อของเธอเกิดในครอบครัวยากจน ณ เวลานั้นเกาหลีใต้ยังเป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ที่ยากไร้ และพ่อของเธอเองก็ได้รับผลกระทบเช่นนั้นมาเต็ม ๆ
“ครอบครัวของพ่อไม่สามารถส่งเสียให้พ่อเรียนหนังสือได้ จะเรียนชั้นประถมยังเป็นเรื่องยาก แต่ความขยันของพ่อก็ทำให้เขาไม่ย่อท้อ พ่อมักทำงานรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่เสมอ อ่านหนังสือช่วงกลางคืน อาศัยเพียงแสงไฟเพียงน้อยนิด และเข้าสอบระดับชาติเพื่อหลีกหนีความยากจน และพ่อก็ทำสำเร็จ พ่อได้รับทุนการศึกษาเต็มจำนวน”
พ่อของลีเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยฮิโรชิม่า ประเทศญี่ปุ่น แต่เนื่องจากภัยสงคราม เขาจึงถูกส่งตัวกลับเกาหลีใต้ และเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุระเบิดปรมาณูนิวเคลียร์ที่ซัดถล่มเมืองแห่งนี้ หลังจากนั้นพ่อของเธอก็ได้รับโอกาสไปเล่าเรียนที่สหรัฐฯ อีกครั้ง
“มันเป็นประเทศที่สาม และภาษาที่สามของพ่อ”
หลังจากพ่อของเธอเรียนจบจึงกลับมายังเกาหลีใต้ เพื่อช่วยพัฒนาประเทศให้รอดพ้นจากความยากจน
“หากคุณสามารถเอาชนะความยากจนด้วยอุดมการณ์อันแข็งแกร่งนั้นได้ และยอมทุ่มเททุกอย่างให้กับมันมากพอ เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากบ่วงดังกล่าว ก็จงใช้โชคของคุณให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ทำให้สังคมเปลี่ยนไปเหมือนที่พ่อของฉันเคยทำ”
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเข้าเรียน MBA จากโรงเรียนธุรกิจฮาร์วาร์ด และนั่นทำให้เธอกลายเป็นหญิงชาวเกาหลีคนแรกที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันที่มีชื่อเสียงแห่งนี้
“ฉันเข้าเรียนที่โรงเรียนธุรกิจฮาร์วาร์ดด้วย เผื่อไว้ในกรณีที่อาจล้มเหลวในการเป็นผู้ประกอบการ ฉันก็จะมีบางอย่างที่พึ่งพาได้
“กลไกการรับมือกับความยากลำบากหรือในสถานการณ์เลวร้ายของฉันเกิดขึ้นจากประสบการณ์ส่วนตัวล้วน ๆ แล้วเราก็โชคดีที่เกิดมาในครอบครัวนี้ ครอบครัวที่มีพ่อเป็นต้นแบบ เราโชคดีมากที่สามารถหลีกหนีจากข้อจำกัดของผู้หญิง ข้อจำกัดที่สังคมมักชี้นิ้วว่าผู้หญิงไม่เควรทำสิ่งไหน ชะตากรรมของพวกเธอถูกกำหนดไว้แล้ว แต่สำหรับฉัน ตัวตนของฉันในปัจจุบันนั้นมาจากประสบการณ์ในวัยเด็กของฉันทั้งหมด และกลไกรับมือกับทุกอย่างเป็นสิ่งที่ฉันสร้างขึ้นมาเอง”
วัยเด็กของเธอไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องโยกย้ายไป 4 ประเทศ 4 ทวีปที่แตกต่างกัน และนั่นทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกตลอด 30 ปีแรกของชีว
“เราทุกคนเดินตามรอยเท้าพ่อ เพราะเชื่อมั่นในพลังของการศึกษา”
บริษัท SHI International ก่อตั้งขึ้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของสองสามีภรรยา แม้พวกเขาจะหย่าร้างกันแล้ว แต่ธุรกิจยังคงดำเนินต่อไป โดยแบ่งเรื่องส่วนตัวออกจากงานอย่างชัดเจน (ลีถือหุ้น 60% ในขณะที่อดีตสามีถือหุ้น 40%) ต้องบอกว่าทั้งสองมีความโชคดีอีกอย่าง เพราะบริษัท SHI International เติบโตขึ้นมาจากตัวแทนจำหน่ายซอฟท์แวร์ที่กำลังประสบปัญหาอย่างหนักกับยอดขายที่ลดฮวบลงทุกวัน จนกระทั่งเธอและสามีเข้ามาซื้อกิจการในราคาถูกแสนถูก ช่วงแรกที่เปิดบริษัท ลีสัมภาษณ์พนักงานทุกคนด้วยตัวเธอเอง เพราะเชื่อว่าการจะเปิดรับใครเข้ามาทำงานด้วยกัน จะต้องรู้จักกันก่อน ไม่มีพนักงาน หรือผู้บริหารคนไหนควรได้รับอภิสิทธิ์ชน ทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกัน
“เราไม่มีที่จอดรถสำหรับผู้บริหาร... เราไม่มีค่าตอบแทนผู้บริหารพิเศษ เราพยายามทำให้แน่ใจว่าทุกคนมีค่าเท่าเทียมกัน”
ย้อนกลับไปอีกนิด หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ เธอไปทำงานที่ Daesung Industrial Co. ในกรุงโซล เพื่อเก็บเงินสำหรับเรียนต่อ MBA และในที่สุด เธอก็สำเร็จการศึกษาจาก Harvard Business School ในปี 1985
หลังจากนั้น เธอไม่ได้รีบเร่งสร้างธุรกิจของตัวเอง แต่เลือกเส้นทางที่ช่วยปูพื้นฐานให้เธอกลายเป็นนักธุรกิจที่แข็งแกร่ง ลีใช้เวลาสองปีที่ Procter & Gamble กับผลิตภัณฑ์อย่าง Always และ Crest ก่อนจะไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกสองปีที่ American Express
“ฉันรู้ว่าฉันต้องการเตรียมตัวให้พร้อม” เธอเล่า “ฉันให้เวลาตัวเองเรียนรู้ธุรกิจในวัย 20 ปี เมื่อถึง 30 ฉันต้องมีบริษัทของตัวเอง และเมื่อถึง 40 ฉันต้องมีครอบครัว”
ในปี 1989 แผนระยะยาวของเธอก็ค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่าง เธอแต่งงานกับ ลีโอ โคกวน ทนายความจากโคลัมเบีย ผู้มีฝันอยากเป็นผู้ประกอบการเช่นกัน และในปีเดียวกันนั้นเอง เธอก็เจอธุรกิจที่ใช่ – Lautek บริษัทซอฟต์แวร์เล็ก ๆ ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ที่มีแผนกชื่อ Software House แม้จะมีลูกค้าไม่มาก แต่กลับมีบริษัทใหญ่อย่าง AT&T และมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ IBM ที่ถือเป็นโอกาสมหาศาล
ทั้งสองคนตัดสินใจซื้อธุรกิจนั้นในราคาต่ำกว่า 1 ล้านดอลลาร์ โดยใช้เงินออมและเงินกู้ก้อนเล็ก ๆ และเปลี่ยนชื่อใหม่ให้สะท้อนถึงความฝันระดับโลกของลี – Software House International หรือ SHI
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ ลีไม่ได้เป็นคนหลงใหลเทคโนโลยีมาตั้งแต่ต้น เธอยอมรับว่า “ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องเทคโนโลยีเลย” ในช่วงเริ่มต้น แต่สิ่งที่เธอสนใจคือการสร้างธุรกิจ และสิ่งที่ทำให้ SHI แตกต่างจากบริษัทอื่น ไม่ใช่เทคโนโลยีล้ำสมัย แต่เป็น ‘การบริการลูกค้า’ ที่เหนือกว่า
เมลิสสา เกรแฮม พนักงานคนแรกของ SHI เล่าว่า ตอนเริ่มต้นพวกเขาแทบไม่มีอะไรเลย ไม่มีสินค้าคงคลัง ไม่มีงบตลาด ไม่มีการโปรโมต แต่มีบางสิ่งที่สำคัญที่สุด “เรามีคนที่ต้องการทำให้สิ่งนี้ประสบความสำเร็จ”
ลีให้พนักงานของเธอมีอิสระในการตัดสินใจ “เธอแยกพนักงานขายภายนอกออกไป และบอกกับพวกเขาว่า ‘คุณคือประธานบริษัทของคุณ’” เกรแฮมกล่าว “การได้รับอำนาจในลักษณะนี้มีความสำคัญมาก”
ด้วยแนวคิดนี้ SHI เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ หนึ่งในจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญคือ วันศุกร์วันหนึ่ง ลูกค้ารายใหญ่ของ SHI โทรมาบอกว่า บริษัทของเขาใช้เงินหลายล้านเหรียญซื้อฮาร์ดแวร์จากเจ้าอื่น แต่พวกเขาอยากซื้อจาก SHI แทน และต้องเริ่มส่งสินค้าให้ได้ตั้งแต่วันจันทร์
ทีมงานของลีที่ไม่เคยขายคอมพิวเตอร์มาก่อน ทุ่มสุดตัวเพื่อทำให้มันเกิดขึ้น และในที่สุด ลูกค้ารายนั้นก็กลายเป็นหนึ่งในสามลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ SHI
ปี 2008 ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ Hal Jagger ผู้บริหารจาก Business Objects เสนอไอเดียให้ SHI สร้างแผนกใหม่ที่มุ่งเน้นบริการให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก แม้เศรษฐกิจจะย่ำแย่ ลีก็ตัดสินใจลุย เธอทุ่มเงินขยายธุรกิจโดยไม่ก่อหนี้ และในเจ็ดปีต่อมา แผนกนี้สร้างรายได้กว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์
เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนผ่านไปสู่คลาวด์และโมเดลสมัครสมาชิก SHI ก็ปรับตัวไปด้วย พวกเขาไม่ได้ขายซอฟต์แวร์เพียงอย่างเดียว แต่เริ่มให้บริการด้านไอทีครบวงจร ตั้งแต่การจัดการทรัพย์สินไอที การดูแลศูนย์ข้อมูล ไปจนถึงความปลอดภัยไซเบอร์
“ธุรกิจของเราเปลี่ยนแปลงมาตลอด และเราจะเปลี่ยนแปลงต่อไป” เธอตั้งเป้าหมายว่ายอดขายของ SHI จะสูงถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2019 และดูเหมือนเป้าหมายนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว
ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา SHI เติบโตจากบริษัทเล็ก ๆ กลายเป็นองค์กรระดับโลก และลีได้สร้าง ‘ครอบครัว’ ที่สองขึ้นมา ไม่ใช่แค่ลูกสองคนที่บ้าน แต่เป็นพนักงาน 3,000 คนที่ทำงานเคียงข้างเธอ
แม้จะทำงานหนักแทบไม่หยุด เธอก็ยังหาเวลาบริจาคให้การกุศล โดยเฉพาะด้านการศึกษาและงานวิจัยโรคมะเร็ง
“ฉันทำตามทุกสิ่งที่ฉันต้องการแล้ว” ลีหัวเราะ “สร้างธุรกิจ แต่งงาน มีลูก” ตอนนี้สิ่งที่เธออยากทำมากที่สุด อาจเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด อยากใช้เวลากับตัวเอง อ่านหนังสือ และอาจจะได้พักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์บ้าง”
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
อ้างอิง