10 มี.ค. 2563 | 21:08 น.
ก่อนยุคแสงสว่างทางปัญญา หมอดูถือเป็นวิชาชีพที่มีความสำคัญสูงมาก และได้รับบทบาทสำคัญในราชสำนักต่าง ๆ ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาเริ่มตั้งแต่เวลาขึ้นครองราชย์ ไปจนถึงเรื่องของนโยบาย และการทำศึก พลังของโหราศาสตร์ได้รับการเชื่อถือมาก จนในบางสังคมมีคำสั่งห้ามการดูดวงของพระราชาสุ่มสี่สุ่มห้า และบ้างก็ต้องปิดบังเวลาเกิดที่แท้จริง เพื่อมิให้หมอดูของศัตรูรู้ชะตาของตนเอง แต่เมื่อวิทยาศาสตร์ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญ และโหราศาสตร์กลายเป็นศาสตร์ที่ถูกมองว่า ขาดเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มารองรับ ในประเทศที่มีความก้าวหน้าเช่นนั้น เมื่อได้รู้ว่า ผู้นำของตนยังคงเชื่อในโหราศาสตร์อย่างหัวปักหัวปำอยู่ ย่อมกลายเป็นเรื่องอื้อฉาว เช่นกรณีของ โรนัลด์ เรแกน ประธานาธิบดีลำดับที่ 40 ของสหรัฐฯ กับโจน ควิกลีย์ (Joan Quigley) หมอดูจากแคลิฟอร์เนีย “กล่าวได้ว่า ทุกการเคลื่อนไหวและการตัดสินใจสำคัญ ๆ ของสองสามีภรรยา (โรนัลด์ และแนนซี) เรแกน ในระหว่างที่ผมทำหน้าที่เป็นเลขาธิการใหญ่ทำเนียบขาว จะต้องผ่านตาผู้หญิงรายหนึ่งจากซานฟรานซิสโก ผู้ร่างแผนภูมิโหราศาสตร์เพื่อให้แน่ใจว่า ดวงดาวต่าง ๆ จะเรียงตัวร่วมกันส่งเสริมกิจการต่าง ๆ กล่าวให้ชัดก็ตั้งแต่ วอลล์สตรีต ไปจนถึงวอชิงตัน” โดนัลด์ รีแกน (Donald Regan) อดีตเลขาธิการใหญ่ทำเนียบขาวของเรแกน กล่าวในบันทึกความทรงจำของเขา (The New York Times) รีแกนยังกล่าวว่า เรื่องที่ครอบครัวเรแกนเชื่อหมอดูเป็นความลับสำคัญของทำเนียบ และหมอดูคนนี้ก็เป็นคนจัดตารางเวลาทั้งหมดให้เรแกน ตั้งแต่เวลาการประชุม การอภิปรายหาเสียง การผ่าตัดรักษามะเร็ง และเวลาการกล่าวสาบานตน โดยยกตัวอย่างกรณีหลังชนะการเลือกตั้งตำแหน่งผู้ว่ารัฐแคลิฟอร์เนียในปี 1966 เรแกนมีวาระต้องเข้าสาบานตนในเวลาเที่ยงคืนหนึ่งนาทีของวันที่ 2 มกราคม 1967 แต่เรแกนกลับถ่วงเวลาออกไปอีก 9 นาที ตามคำแนะนำของหมอดูสาวรายนี้ หลังเรื่องราวที่ครอบครัวเรแกนใช้หมอดูในการบริหารประเทศเผยแพร่ออกไปเป็นครั้งแรกทาง Newsweek ช่วงกลางปี 1988 ทั้งคู่ก็ถูกทั้งล้อเลียนและวิจารณ์อย่างจริงจัง เช่น New York Post ขึ้นพาดหัวว่า “หมอดูเป็นคนบริหารทำเนียบขาว” ตลกบางคนก็นำไปล้อว่า เรแกนน่าจะตั้งตำแหน่งรัฐมนตรี “หมอผีวูดู” ขึ้นมาอีกตำแหน่ง ฝ่ายผู้นำศาสนาคริสต์ก็ประณามว่า การใช้หมอดูเป็นการใช้ศาสตร์ของปีศาจ ขณะที่สมาชิกสมาพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกันก็โจมตีว่า รัฐบาลดำเนินนโยบายด้วยการชี้นำจากความเชื่อ “แฟนตาซี” และปล่อยให้การตัดสินใจสำคัญ ๆ ซึ่งจะส่งผลต่ออนาคตของประเทศต่อไปตกอยู่ในมือของนักต้มตุ๋น ฝ่ายทำเนียบขาวออกมายอมรับว่า แนนซี เรแกน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งนั้นมีความสนใจเรื่องโหราศาสตร์จริง โดย มาร์ลิน ฟิตซ์วอเทอร์ (Marlin Fitzwater) โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า “เป็นความจริงที่นางเรแกนสนใจเรื่องโหราศาสตร์ ซึ่งเป็นเช่นนั้นมาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์พยายามลอบสังหารในเดือนมีนาคม 1981 เธอเป็นห่วงสวัสดิภาพของสามีเป็นอย่างมาก และโหราศาสตร์ก็เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงความกังวลในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ของสามี” (The New York Times) ด้านประธานาธิบดีเรแกนยืนยันว่า “ไม่มีนโยบายหรือการตัดสินใจใด ๆ ของผมที่ได้รับอิทธิพลจากโหราศาสตร์” พร้อมยืนยันว่า การเลื่อนเวลาสาบานตนไม่เกี่ยวกับคำทำนายใด ๆ และฝ่ายโฆษกก็อธิบายเสริมว่ามันเป็นเกมการเมืองอย่างหนึ่ง เพื่อป้องกันการแต่งตั้งโยกย้ายเจ้าหน้าที่ในวินาทีสุดท้ายของผู้ว่าคนเก่าที่กำลังจะหมดวาระจากพรรคตรงข้ามเท่านั้น ขณะที่แนนซีซึ่งว่ากันว่า รู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างยิ่งที่เรื่องนี้เป็นที่รับรู้ของภายนอก ก็ออกมาแก้ต่างในหนังสือบันทึกความทรงจำของตัวเองในปีต่อมาว่า “แม้โหราศาสตร์จะเป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจเรื่องตารางการทำงานของรอนนี (โรนัลด์ เรแกน) แต่มันไม่ใช่ปัจจัยเดียว และมันก็ไม่มีส่วนกับการตัดสินใจทางการเมืองต่าง ๆ” (Los Angeles Times) เรแกนเป็นชาวเมืองแทมปิโก (Tampico) รัฐอิลลินอยส์ เกิดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1911 เวลา 4 นาฬิกา 16 นาที ตามเวลาท้องถิ่น (เวลาตกฟากที่แน่ชัดสำคัญมากสำหรับการดูหมอ) พ่อเขาเป็นคนขายรองเท้าที่ติดเหล้าแล้วก็ขายไม่เก่งด้วย ครอบครัวของเรแกนจึงมีพื้นฐานที่ค่อนข้างลำบาก แต่เขาก็ได้ดีในวงการสื่อ เริ่มจากการจัดรายการวิทยุ ก่อนไปเล่นภาพยนตร์ในบทที่ส่วนใหญ่เป็นคนดี ง่าย ๆ ไม่คิดอะไรมาก แล้วข้ามฟากมาเล่นการเมือง ส่วน โจน ควิกลีย์ เกิดเมื่อวันที่ 10 เมษายน 1927 เวลา 16 นาฬิกา 17 นาที ตามเวลาท้องถิ่น ในแคนซัสซิตี รัฐมิสซูรี พ่อของเธอเป็นทนายความ และยังเป็นเจ้าของโรงแรมในซานฟรานซิสโก เล่าเรียนในโรงเรียนเอกชนโดยมีโชเฟอร์เดินทางไปรับไปส่ง ก่อนจบประวัติศาสตร์ศิลปะจาก Vassar College สถาบันการศึกษาชั้นสูงสำหรับผู้หญิงในอดีต (ปัจจุบันเป็นสหศึกษาแล้ว) ควิกลีย์สนใจเรื่องโหราศาสตร์ตามแม่ จนไปฝากตัวเป็นศิษย์ของหมอดูชื่อดังรายหนึ่ง ในขณะที่พ่อของเธอไม่ได้เห็นด้วยเลย เธอจึงต้องแอบเรียนดูหมอและฝึกฝนวิชาอย่างลับ ๆ หลังเรียนจบก็ได้เป็นนักเขียนคอลัมน์หมอดูให้กับนิตยสาร Seventeen เธอมีโอกาสได้รู้จักกับแนนซีผ่าน เมิร์ฟ กริฟฟิน (Merv Griffin) พิธีกรรายการทอล์กโชว์ที่เป็นลูกค้าคนหนึ่งของเธอ และเธอก็ได้เป็นแขกประจำรายการของกริฟฟิน นอกจากนี้ ควิกลีย์ยังเป็นรีพับลิกัน จึงไปช่วยเรแกนหาเสียงตอนชิงตำแหน่งผู้ว่ารัฐแคลิฟอร์เนีย ตามด้วยการหาเสียงคราวชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และได้สานสัมพันธ์กับแนนซีอย่างใกล้ชิดก็เมื่อเกิดเหตุลอบสังหารเรแกนในปี 1981 หลังแนนซีถามว่า ถ้าหากดูดวงล่วงหน้าจะรู้มั้ยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้น ซึ่งควิกลีย์ตอบว่า “แน่นอน” หลังจากนั้น เธอก็กลายเป็นคนสนิทของแนนซีที่คอยดูฤกษ์ยามให้กับเรแกนเสมอมา (แม้ว่าควิกลีย์จะเคยพูดคุยกับเรแกนเพียงครั้งเดียว แต่เธอก็มีสายตรงผ่านแนนซี และก็เป็นที่รู้กันว่าเรแกนมักจะปรึกษาภรรยาอยู่เสมอ) ด้วยความที่พื้นเพของควิกลีย์ค่อนข้างดี ทำให้เป็นที่ไว้วางใจของครอบครัวเรแกน ซึ่งเชื่อถือเรื่องดวงมานานแล้ว ในอัตชีวประวัติของเรแกนก็บอกว่า คาร์โรล ไรเตอร์ (Carroll Righter) หมอดูชื่อดังในแคลิฟอร์เนีย เป็นหนึ่งในเพื่อนที่ดีของเขา และในฮอลลีวูดยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 หมอดูไม่ได้ถือว่าเป็นพวกประหลาดหรือนักต้มตุ๋น (สมัยนั้นการนั่งทางในสื่อสารกับผียังเป็นที่นิยมกันอยู่ แม้กระทั่ง เซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ ผู้แต่ง เชอร์ล็อก โฮล์มส์ [1859-1930] ก็เชื่อในเรื่องนี้) โรนัลด์ และแนนซี เรแกน ซึ่งต่างเป็นนักแสดงที่เติบโตมาในช่วงเวลาดังกล่าว จึงไม่แปลกที่ทั้งคู่จะมีสายสัมพันธ์อันดีกับหมอดู และยิ่งเมื่อทั้งคู่ต้องเผชิญกับวิกฤตในชีวิตอย่างการถูกลอบสังหาร แนนซีที่รู้สึกขาดความมั่นใจกับระบบความปลอดภัยของรัฐจึงต้องหันหน้าไปพึ่งหมอดูแทน แต่ควิกลีย์ไม่ใช่หมอดูพื้น ๆ ที่รับดูหมอให้กับใครก็ได้ เธอเคยให้สัมภาษณ์สมัยที่เรื่องแดงใหม่ ๆ ว่า เธอเป็นฝ่ายเลือกลูกค้าเอง โดยคนคนนั้นต้องเป็นคนที่น่าสนใจไม่ใช่ว่าชาวบ้านร้านตลาดจะเดินดุ่ม ๆ มาขอดูหมอกับเธอได้ เหมือนกรณีของเรแกนที่เธอเป็นฝ่ายเข้าหาเองด้วยการไปอยู่ในเครือข่ายหาเสียง ก็เป็นเพราะเธอเห็นว่า “เขามีชายที่มีดวงบรรเจิดที่สุดของประเทศนี้เท่าที่ฉันเห็นในรอบร้อยปี” อย่างไรก็ดี หลังข่าวที่ควิกลีย์ไปมีส่วนเกี่ยวพันกับการตัดสินใจของทำเนียบขาว แนนซีก็ตัดสัมพันธ์กับเธอ แม้เธอจะมีชื่อเสียงเป็นที่สนใจของสาธารณะอยู่ระยะหนึ่ง แต่ความสนใจก็ค่อย ๆ จางหายไปตามลำดับ จนขึ้นศตวรรษที่ 21 เธอก็เปิดรับดูดวงออนไลน์ ทั้ง ๆ ที่ขัดกับอุดมคติของเธอ และดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตลงในปี 2014 ทำให้ชื่อของควิกลีย์กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งหนึ่ง