19 ก.ย. 2566 | 14:13 น.
- ดาวหางฮัลเลย์จะเข้าใกล้โลกมากที่สุดทุก ๆ 75 -76 ปี
- ในช่วงชีวิตของคนคนหนึ่ง เราอาจได้เห็นดาวหางนี้ได้เพียง 1 - 2 ครั้ง
- เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ คือชายหนุ่มที่ยอมล่องเรือดูดาวเพื่อรวบรวมรายชื่อดาวในซีกโลกใต้ ก่อนจะมาเจอดาวหางฮัลเลย์
ในช่วงชีวิตหนึ่งจะมีเพียง 1 - 2 ครั้ง ที่เราอาจได้เห็น ‘ดาวหางฮัลเลย์’ ที่ใช้เวลาโคจรเข้าใกล้โลกประมาณ 75-76 ปี
เอกลักษณ์ของดาวดวงนี้ถูกนำไปใช้กิมมิคในเพลงดาวหางฮัลเลย์ของ fellow fellow เพลงรักที่ไม่มีคำว่ารักที่เพิ่งปล่อยมาเพียง 2 สัปดาห์ แต่กลับเป็นกระแสไวรัลในติ๊กต็อกและพุ่งขึ้นเป็นอันดับ 2 ท็อปชาร์ตเพลงของยูทูบ (YouTube) ประเทศไทย
แต่จริง ๆ แล้ว ชื่อ ‘ฮัลเลย์’ มาจาก ‘เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์’ (Edmond Halley) นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษมากความสามารถที่เติบโตขึ้นมาในยุคที่วงการวิทยาศาสตร์กำลังเปลี่ยนแปลง
เพราะขนาดเจ้าของชื่อดาวหางนี้ เขายังมีโอกาสได้ดูดาวหางนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น…
เด็กหนุ่มที่เกิดมาในยุคปฏิวัติวิทยาศาสตร์
ฮัลเลย์เป็นลูกชายของช่างทำสบู่และเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เขาลืมตาดูโลกในปี 1656 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาปฏิวัติวิทยาศาสตร์และวางรากฐานแนวคิดสมัยใหม่ให้วงการ และรู้ตัวเองก่อนเข้าโรงเรียนว่า เขาสนใจคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์
พออายุได้ 17 ปี เขาได้รับข้อเสนอจาก ‘จอห์น แฟลมสตีด’ (John Flamsteed) นักดาราศาสตร์ประจำราชวงศ์คนแรก และยังเป็นสมาชิกของ ‘ราชสมาคมลอนดอน’ สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งชาติที่ส่งเสริมการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในอังกฤษให้เข้าเรียนที่ ‘วิทยาลัยควีนส์คอลเลจ’ (Queens College)
ระหว่างเรียนวิทยาลัย บางครั้งฮัลเลย์ก็พกอุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ที่พ่อซื้อให้ไปดูปรากฏการณ์ต่าง ๆ บนท้องฟ้า ไปเยี่ยมหอดูดาว ‘รอยัลกรีนิช’ สถานที่ทำงานของอาจารย์แฟลมสตีด และยังมีโอกาสตีพิมพ์งานวิจัยเรื่องจุดมืดบนดวงอาทิตย์ด้วย
ล่องเรือดูดาว
หลังจากฝึกวิชาร่วมกับอาจารย์มาสักพัก ก็ถึงเวลาที่ฮัลเลย์จะเริ่มต้นโชว์ความสามารถด้านดาราศาสตร์ของตัวเอง นั่นก็คือการออกล่องเรือแล้วใช้กล้องโทรทรรศน์ดูดาวเพื่อรวบรวมรายการดาวฤกษ์แถบซีกโลกใต้
แรงบันดาลใจของการเดินทางครั้งนี้ก็คือ แฟลมสตีด อาจารย์ของเขานั่นเอง
ฮัลเลย์นั่งเรือไปยังเกาะเซนต์เฮเลนา ซึ่งอยู่ทางใต้สุดของอังกฤษ ตั้งแต่ปี 1676 และกลับมาถึงในปี 1678 แม้ฟ้าฝนระหว่างเดินเรือจะไม่ค่อยเป็นใจ แต่ชีวิตบนเรือก็ทำให้เขาเรียนรู้หลาย ๆ อย่าง
เขาปรับปรุงเครื่องวัดทิศทาง บันทึกข้อสังเกตเกี่ยวกับมหาสมุทรและบรรยากาศ ทั้งยังเริ่มบันทึกลองจิจูดท้องฟ้าและละติจูดของดาวฤกษ์ 341 ดวง และสังเกตการโคจรของดาวพุธที่ดูคล้ายกับดาวศุกร์เพื่อวัดขนาดระบบสุริยะจนสามารถตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นแรกได้ในปลายปี 1678
เพราะความสามารถที่โดดเด่น ทำให้พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 มีพระราชกฤษฎีกาให้มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดมอบปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิตให้กับฮัลเลย์ และได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของราชสมาคมลอนดอนด้วยการเป็นหนึ่งในสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดของราชสมาคมในวัย 22 ปี
ครั้งแรกที่ได้เจอกับไอแซก นิวตัน
การศึกษาอย่างไม่หยุดยั้งของฮัลเลย์นำมาสู่การเดินทางครั้งสำคัญ คือ การไปพบ ‘ไอแซก นิวตัน’ เพื่อพูดคุยและแลกเปลี่ยนทฤษฎีการโคจรของดาวเคราะห์ ครั้งนี้ฮัลเลย์ไม่ได้ไปคนเดียว แต่ไปพร้อมกับ ‘คริสโตเฟอร์ เรน’ และ ‘โรเบิร์ต ฮุค’ เพื่อนร่วมรุ่นของเขา
ปี 1684 ฮัลเลย์ ‘คริสโตเฟอร์ เรน’ และ ‘โรเบิร์ต ฮุค’ เพื่อนร่วมรุ่นของเขาพยายามหาคำตอบพิสูจน์ว่า แรงโน้มถ่วงแบบใดที่จะทำให้ดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์ได้
และคำตอบที่ดีที่สุดคือการไปพบ ‘ไอแซก นิวตัน’ เพื่อพูดคุยและแลกเปลี่ยนทฤษฎีการโคจรของดาวเคราะห์
หลังจากนิวตันแสดงวิธีคำนวณ ทั้งสามคนลองกลับมาทบทวนทฤษฎีก็ยังไม่พบคำตอบ จนสุดท้ายฮัลเลย์ก็เพิ่งรู้ว่า เขาคำนวณผิดพลาดไป ทั้งสองคนจึงร่วมขยายการศึกษาเรื่องกลศาสตร์บนท้องฟ้า จนกลายเป็นผลงานชิ้นเอกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดชิ้นหนึ่งชื่อว่า ‘ปรินซิเปีย’ ที่ถูกนำมาตีพิมพ์ในปี 1687
พอผ่านช่วงนั้น ฮัลเลย์ก็สร้างผลงานที่มีชื่อเสียงอีกมากมาย เช่น แก้ไขวารสาร ‘Philosophical Transactions’ ซึ่งเป็นตารางคณิตศาสตร์ประกันภัยฉบับแรก ๆ ของโลก และตีพิมพ์แผนภูมิอุตุนิยมวิทยาฉบับแรก รวมถึงวัดเข็มทิศในมหาสมุทรแอตแลนติกใต้และยังระบุลองจิจูดและละติจูดของท่าเรือที่เขาเดินทางได้อย่างแม่นยำ
นักดาราศาสตร์ฮัลเลย์สู่ดาวหางฮัลเลย์
ฮัลเลย์เป็นดาวหางที่มีชื่อเสียงที่สุด เพราะดาวดวงนี้ทำให้นักดาราศาสตร์เข้าใจเป็นครั้งแรกว่า ดาวหางอาจปรากฏบนฟากฟ้าของเราซ้ำแล้วซ้ำอีก
ซึ่งฮัลเลย์คือผู้ชี้ทางสว่างใช้ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงและการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ของนิวตันคำนวณวงโคจรของดาวหางหลายดวงและพบว่า วงโคจรของดาวหางที่สว่างในปี 1531, 1607 และ 1682 มีความคล้ายคลึงกัน
เขายังบอกอีกว่า ดาวทั้งสามดวงนั้น แท้จริงแล้วคือดาวดวงเดียวกันที่เดินทางไปกลับ และยังทำนายได้ถูกอีกว่า ดาวหางนี้จะกลับมาปรากฏให้ชาวโลกเห็นอีกครั้งในปี 1758 หรือใช้ระยะห่างในการปรากฏตัวแต่ละครั้งราว ๆ 75 – 76 ปี
จึงมีการตั้งชื่อดาวดวงนี้ว่า ดาวหางฮัลเลย์ ตามชื่อของ เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ เพื่อเป็นเกียรติให้แก่เขา
ดาวหางนี้ถูกพบครั้งสุดท้ายบนฟากฟ้าในปี 1986 และจะกลับมาส่องแสงให้ชาวโลกเห็นอีกครั้งในปี 2061
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น เว็บไซต์ spaceth.co บอกว่า สิ่งที่ดาวหางฮัลเลย์ทิ้งไว้ให้เราทุกปี คือ ฝนดาวตกจากฝุ่นของดาวดวงนี้ โดยจะเห็นปีละ 2 ครั้ง คือเดือนพฤษภาคม เป็นฝนดาวตกกลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ และครั้งที่สองในเดือนตุลาคม เป็นฝนดาวตกกลุ่มดาวนายพราน
เพราะสำหรับคนคนหนึ่ง ถ้าเราได้เจอใครสักคนที่พร้อมจะรอดูดาวหางดวงนี้ไปด้วยกัน เหมือนที่เพลงบอกไว้ก็คงดีเหมือนกัน
เรื่อง : ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์
ภาพ : แฟ้มภาพจาก Getty Images
อ้างอิง :