‘พระราชวังเดิม’ อดีตที่ประทับพระเจ้าตากฯ ศูนย์กลางอำนาจกรุงธนฯ

‘พระราชวังเดิม’ อดีตที่ประทับพระเจ้าตากฯ ศูนย์กลางอำนาจกรุงธนฯ

เปิดประวัติศาสตร์พระราชวังเดิม ศูนย์กลางอำนาจกรุงธนบุรี ที่ประทับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แหล่งรวมเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของสยามประเทศ

KEY

POINTS

  • เหตุผลการย้ายเมืองหลวงจากอยุธยาสู่กรุงธนบุรี: ข้อดีทางภูมิศาสตร์และการเมือง 
  • ประวัติศาสตร์พระราชวังเดิมใน 4 ยุคสำคัญ: อยุธยา ธนบุรี วังหลัง-วังหน้า และยุคโรงเรียนนายเรือ 
  • เรื่องราวลับหลังการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สู่รัชกาลที่ 1 และการขยายอาณาเขตสยามประเทศ

ช่วงปลายเดือนธันวาคมของทุกปี ‘พระราชวังเดิม’ หรือที่นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า ‘วังเดิม’ ของกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร จะเปิดให้ประชาชนเข้าเยี่ยมฟรี ปีนี้ก็เช่นกัน เปิดให้เข้าชมกันได้ตั้งแต่วันที่ 14 - 28 ธันวาคม พ.ศ.2567 

เมื่อเป็นพระราชวังเดิมที่ประทับและว่าราชกิจของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ อีกทั้งยังเป็นสถานที่แบบ “หนึ่งปีชมได้แค่ช่วงเดียว” เลยกลายเป็นสถานที่ยอดฮิตสำหรับผู้ที่ใฝ่ใจในประวัติศาสตร์และโบราณคดี โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ จะพลาดไม่ได้  

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นสถานที่สำคัญมีพัฒนาการคู่เคียงมากับความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ วังเดิมซึ่งเป็นสถานที่ที่เผชิญความเปลี่ยนแปลงมามากเช่นกัน จึงเป็นสถานที่ที่ไม่ได้มีเพียงเรื่องราวเกี่ยวข้องกับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ 

แต่แน่นอนว่าเพราะเคยเป็นศูนย์กลางอำนาจของกรุงธนบุรีในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงกระทำภารกิจกอบกู้บ้านเมืองภายหลังจากเกิดเหตุการณ์การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 พ.ศ.2310 ซึ่งเป็นการเสียกรุงที่แตกต่างจากครั้งก่อนหน้าอย่างเมื่อ พ.ศ.2112 เพราะเป็นครั้งที่อยุธยาเสียหายยับเยินเกินกว่าจะกอบกู้ได้คืนดังเดิม ขุนนางข้าราชการ สมณชีพราหมณ์ นักปราชญ์ราชบัณฑิต สมัยนั้น เห็นพ้องต้องกันว่า ควรย้ายเมืองหลวงจากอยุธยาไปเป็นที่อื่น  

จาก ‘กรุงศรีอยุธยา’ ถึง ‘กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร’ 

พระราชพงศาวดารฉบับก่อนชำระ ระบุว่า แรกเริ่มเดิมทีนั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงมีแผนจะเสด็จกลับไปจันทบุรี เมืองซึ่งเป็นฐานอำนาจให้แก่พระองค์ในศึกคราวปราบสุกี้พระนายกองที่ค่ายโพธิ์สามต้นเมื่อ พ.ศ.2310 แต่เหล่าขุนนางข้าราชการและนักปราชญ์ราชบัณฑิตสมัยนั้นกราบทูลทัดทานให้ทรงเปลี่ยนพระราชหฤทัยจากจันทบุรีมาเป็นกรุงธนบุรี เพราะมีข้อดีหลายอย่าง สรุปได้ 2 ข้อใหญ่ ๆ ดังนี้ 

ประการแรก, ธนบุรีเป็นเมืองที่มีพื้นฐานเหมาะสมทั้งทางด้านภูมิศาสตร์ที่ตั้งและพื้นฐานทางเศรษฐกิจการค้าที่เชื่อมโยงกับการเป็นเมืองท่านานาชาติมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยเฉพาะการเป็นเมืองที่มีกลุ่มพ่อค้าชาวจีนเข้ามาบุกเบิกและตั้งรกราก ชาวจีนเหล่านี้เป็นฐานกำลังสนับสนุนให้แก่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่ก็ทรงมีเชื้อสายเป็นชาวจีนแต้จิ๋วอยู่ด้วย  

ประการที่สอง, ธนบุรีเป็นเมืองที่อยู่กับแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งถือเป็นเสมือน ‘เส้นเลือดใหญ่’ ของสยามประเทศ เป็นแผ่นดินตรงกึ่งกลางพอดี เหมาะแก่ภารกิจการฟื้นฟูบ้านเมือง และการส่งกำลังทัพออกไปปราบปรามเหล่าบรรดา ‘เจ้าก๊ก-นายชุมนุม’ ต่าง ๆ ที่ตั้งตนเป็นอิสระกันขึ้น ซึ่งได้แก่ ก๊กเจ้าพระพิมายในอีสาน, ก๊กเจ้าพระพิษณุโลกกับก๊กเจ้าพระฝางในหัวเมืองฝ่ายเหนือ, ก๊กเจ้านครศรีธรรมราชที่หัวเมืองปักษ์ใต้ เป็นต้น 

นั่นคือเรื่องในพระราชพงศาวดารฉบับก่อนชำระและเอกสารแวดล้อม แต่ในพระราชพงศาวดารฉบับชำระภายหลังในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ได้มีการตัดเนื้อความจากพระราชพงศาวดารฉบับก่อนหน้าออกอยู่ส่วนหนึ่ง ส่วนนั้นก็คือเรื่องที่ว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เมื่อชนะศึกสุกี้พระนายกองและได้สำรวจตรวจตราดูสภาพความเสียหายของกรุงศรีอยุธยาแล้ว ทรงมีพระราชปรารภจะเสด็จกลับไปจันทบุรี แต่ถูกเหล่าขุนนางข้าราชการและนักปราชญ์ราชบัณฑิตทักท้วง จึงเปลี่ยนมาเป็นกรุงธนบุรี พอตัดเนื้อความส่วนนี้ออกไปแล้ว ชนชั้นนำต้นกรุงรัตนโกสินทร์ก็ได้แต่งเรื่องเสริมเติมความเข้าไปใหม่  

จาก ‘กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร’ มาเป็น ‘กรุงเทพพระมหานคร’  

เรื่องที่แต่งเติมเสริมความใหม่ที่ว่านี้ก็คือเรื่องที่ว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้เสด็จไปประทับบรรทมหลับ ณ พระที่นั่งทรงปืน ในพระบรมมหาราชวัง (ปัจจุบันคือพื้นที่พระราชวังโบราณในอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา) แล้วทรงมีพระสุบินนิมิตว่า ผีอดีตกษัตริย์มาขับไล่ไม่ให้อยู่ เมื่อตื่นบรรทมแล้วรุ่งขึ้นก็เรียกประชุมปรึกษาเหล่าเสนาอำมาตย์ราชครู เห็นพ้องกันว่าเมื่อเจ้าของเดิมไม่ให้อยู่ก็จึงต้องเสด็จไปที่อื่น ที่นั่นคือกรุงธนบุรี 

กลายเป็นว่าความเปลี่ยนแปลงใหญ่อย่างการย้ายเมืองหลวงจากอยุธยาที่ตั้งมายาวนานกว่า 4 ศตวรรษ มาเป็นกรุงธนบุรี ถูกทำให้เป็นเรื่อง “โอละพ่อ!” เพียงเพราะมีผีมาเข้าฝันพระเจ้าตาก การเปลี่ยนแปลงใหญ่ครั้งนั้นกลายเป็นเพราะปีเป็นตัวต้นเหตุ แต่ก็เข้าใจได้ เพราะเป็นบันทึกเล่าจากแง่มุมของฝ่ายที่มายึดอำนาจโค่นล้มสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เมื่อ พ.ศ.2325 อีกต่อหนึ่ง จึง ‘ด้อยค่า’ การย้ายเมืองหลวงว่ามีสาเหตุเพียงเพราะ ‘ผี’ และเมื่อผีที่ว่านี้คือ ผีอดีตกษัตริย์อยุธยา ก็จึงเท่ากับใส่ความว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ไม่ได้รับความสนับสนุนหรือเห็นชอบจากกษัตริย์กรุงเก่า 

เมื่อการย้ายเมืองหลวงเป็นเรื่อง “โอละพ่อ!” อย่างนั้น ก็ง่ายที่จะย้ายไปเป็นอีกที่หนึ่ง คือการข้ามฟากจากฝั่งตะวันตกมาเป็นตะวันออก ตั้งพระบรมมหาราชวังใหม่ขึ้นที่บริเวณกรุงเทพฯ ปัจจุบัน การเปลี่ยนย้ายครั้งนี้ไม่มีเรื่องว่ามีผีอดีตกษัตริย์มาเข้าฝันชนชั้นนำองค์ใดแต่อย่างใด 

อนึ่ง ควรเข้าใจด้วยว่ากรุงธนบุรีเดิมนั้นหมายถึง 2 ฝั่งเจ้าพระยา นับรวมทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตก เพราะธนบุรีเดิมเป็นเมืองอกแตก มีแม่น้ำผ่ากลาง เหมือนอย่างเมืองอื่น ๆ เช่น เมืองพิษณุโลก, สุพรรณบุรี, ราชบุรี หรืออย่างเมืองเวียงจัน ซึ่งแต่เดิมก็รวมทั้งฝั่งหนองคายบางส่วนด้วย และก็เป็นเมืองหลวงเช่นกัน 

สิ่งที่รัชกาลที่ 1 กับกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (บุญมา) ทรงทำกันเมื่อ พ.ศ.2325 หลังจากปิดบัญชีล้มล้างอำนาจของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้สำเร็จ ที่คนชั้นหลังเข้าใจไปว่าเป็นการย้ายเมืองหลวงจากธนบุรีมาเป็นกรุงเทพฯ นั้นคือเข้าใจผิด!!! 

เพราะที่จริง กรุงธนบุรีคือทั้งสองฟากฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งตะวันออกสมัยกรุงธนบุรีก็เป็นที่ตั้งของชุมชนจีนแต้จิ๋วขนาดใหญ่ ซึ่งเมื่อรัชกาลที่ 1 ทรงย้ายข้ามฟากมานั้น ได้ให้ชุมชนจีนแต้จิ๋วเหล่านี้ย้ายไปร่นไปยังสามปลื้ม (ย่านสำเพ็งในปัจจุบัน)  

แนวคิดที่จะย้ายข้ามฟากมายังฝั่งตะวันออก เป็นสิ่งที่มีมาแต่เดิมในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ แล้ว เมื่อพ.ศ.2313 มีข้อมูลตามพระราชพงศาวดารระบุว่า ทรงติว่า “เมืองเก่าเล็กนัก” เมืองเก่าที่ว่านี้ก็คือเมืองบางกอกเก่าที่เป็นบ้านเมืองมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ครั้งนั้นด้วยข้อจำกัดได้แก้ไขโดยการขุดคูคลองและปรับปรุงป้อมเมืองเสียใหม่ 

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงเป็นผู้ชำนาญฝั่งตะวันออกมาแต่เดิม ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ทรงเสด็จออกจากอยุธยาไปหัวเมืองตะวันออก จึงทรงเห็นความสำคัญของพื้นที่ฝั่งตะวันออก ช่วงนั้นพม่ารามัญยังเข้มแข็ง หากมีศึกสงครามกับพม่ารามัญ ธนบุรีจะไม่ถูกปิดล้อมเหมือนอย่างอยุธยา เพราะสามารถข้ามฟากไปใช้พื้นที่ฝั่งตะวันออกสำหรับต่อสู้กับข้าศึกได้ เพียงแต่ในยุคนั้นฝั่งตะวันตกมีความพร้อมในด้านการเป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการได้มากกว่า เพราะมีพื้นฐานมาจากการเป็นบ้านเมืองสำคัญมาตั้งแต่สมัยอยุธยา  

นักวิชาการรุ่นหลังเชื่อว่า พระราชวังเดิมเป็นแค่ที่ประทับชั่วคราว จึงสร้างอย่างเรียบง่ายไม่หรูหราใหญ่โต เพราะสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงรอให้ ‘มหาอำนาจ’ คือจีนราชวงศ์ชิง ยอมรับและประกาศแต่งตั้งพระองค์เป็น ‘เสียมอ๋อง’ อย่างเป็นทางการ จึงค่อยจะสร้างพระราชวังใหม่ให้สมพระเกียรติ และเหมาะสมกับสถานะของกรุงธนบุรีที่เป็นมหาอำนาจใหม่ในภูมิภาคที่เกิดขึ้นมาแทนที่กรุงศรีอยุธยา (สมัยธนบุรี สยามขยายอำนาจไปไกลกว่าที่กษัตริย์อยุธยาในอดีตเคยทำมา สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงยึดล้านนา ล้านช้าง กัมพูชา และเวียดนามใต้ในบางช่วง เป็นสิ่งที่แม้แต่สมเด็จพระนเรศวรและรัชกาลที่ 3 ต่างก็ไม่เคยทำได้มาก่อน) 

ดังนั้น เมื่อถึงเดือนเมษายน พ.ศ.2325 ซึ่งเป็นช่วงหลังจากที่กองเรือสยามที่ไปจิ้มก้องเมืองจีนได้กลับมาถึงแล้ว โดยก่อนหน้านั้นมีกระแสข่าวแพร่มาจากเมืองจีนอยู่ก่อนแล้ว ถึงการที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ จะทรงสมหวังได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้ต้าชิง โดยจักรพรรดิเฉียนหลงได้พระราชทานตราตั้งมาให้เป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2324 แต่เมื่อกองเรือนี้มาถึงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ก็ถูกสำเร็จโทษไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

รัชกาลที่ 1 จึงทรงรับตราตั้งนี้แทนสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ และทรงมีพระราชสาส์นตอบกลับเมืองจีนไปว่า ทรงเป็นพระราชโอรสของ ‘เจิ้งเจา’ (สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ) และต่อมาก็สานต่อนโยบายข้ามฟากไปยังฝั่งตะวันออกที่มีอยู่เดิมในหมู่ชนชั้นนำสมัยธนบุรี  

อนึ่ง เมื่อเกิดการรัฐประหารขึ้นเมื่อ พ.ศ.2325 ฝั่งตะวันออกยังเกิดเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับฝ่ายรัฐประหารโดยตรง การย้ายข้ามฟากจากฝั่งตะวันตกมายังตะวันออก ยังถูกใช้เพื่อเป็นการสลายกลุ่มอำนาจเก่าที่เคยสนับสนุนการขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มาก่อนด้วย ชุมชนจีนแต้จิ๋วส่วนนี้มีผู้นำคือ ‘จันเหลียน’ หรือ ‘ตันเหลียง’ อดีตเจ้าเมืองจันทบุรีที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงแต่งตั้งภายหลังจากชนะศึกพระยาจันทบุรีเมื่อ พ.ศ.2310 ต่อมาเมื่อยกทัพไปตีเมืองพุทไธมาศ (ฮาเตียน) ได้เมื่อ พ.ศ.2314 สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ก็ได้แต่งตั้งจันเหลียนไปเป็น ‘พระยาราชาเศรษฐี’ ครองเมืองฮาเตียน 

แต่ต่อมาเมื่อเวียดนามยกทัพมาตีเมืองฮาเตียนกลับคืนไป พระยาราชาเศรษฐี (จันเหลียน) พาสมัครพรรคพวกถอยมาตั้งหลักอยู่ที่จันทบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงพิจารณาเห็นว่า เมืองฮาเตียนอยู่ไกลเมืองหลวงมาก แต่อยู่ใกล้ศัตรู ทั้งกัมพูชาและเวียดนาม แม้นว่าตีชิงกลับคืนมาได้ ก็จะถูกตีคืนกลับไปได้อีก จึงทรงให้พระยาราชาเศรษฐี (จันเหลียน) อพยพจากจันทบุรีมาอยู่ธนบุรี โดยพระราชทานที่ดินให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ฝั่งตะวันออก (ตรงพื้นที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามกับพระบรมมหาราชวังในปัจจุบัน) 

เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ถูกโค่นล้มลงเมื่อพ.ศ.2325 และรัชกาลที่ 1 ทรงต้องการที่ดินบริเวณบ้านพระยาราชาเศรษฐีสำหรับสร้างพระบรมมหาราชวังแห่งใหม่ ก็ได้ตกลงแลกเปลี่ยนกับพระยาราชาเศรษฐี (จันเหลียน) โดยการส่งพระยาราชาเศรษฐี (จันเหลียน) กลับไปครองเมืองฮาเตียน 

พระยาราชาเศรษฐี (จันเหลียน) เป็นบุคคลที่ยังคงจงรักภักดีต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นแน่ ไม่งั้นไม่ทำสิ่งที่รัชกาลที่ 1 ทรงพิโรธอย่างยิ่ง อย่างการย้ายข้างเมื่อไปครองฮาเตียนโดยได้หันไปเข้ากับราชวงศ์เหงียน ทำให้สยามเสียฮาเตียน เมืองท่าสำคัญอย่างฮาเตียนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเวียดนามใต้มาเท่าทุกวันนี้       

อย่างไรก็ตาม อย่างที่ได้เกริ่นไว้ตอนต้นว่า วังเดิมนอกจากเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องโดยตรงกับพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ แล้ว ยังมีประวัติศาสตร์อื่น ๆ เกี่ยวข้องด้วย ในบริเวณพื้นที่วังเดิมและข้างเคียงจึงเป็นสถานที่ที่มีประวัติความสำคัญเกี่ยวข้องกับบุคคลและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่อยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 5 

การแบ่งยุคสมัยของพื้นที่พระราชวังเดิม 

จากลำดับประวัติศาสตร์และสถาปัตย์ที่หลงเหลืออยู่ให้เห็นเป็นประจักษ์พยาน สิ่งที่คนรุ่นปัจจุบันจะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาตนเอง เมื่อเข้าไปชม จัดแบ่งได้ตามยุคสมัยออกได้เป็น 4 ยุคดังนี้ 

(1) ยุคอยุธยา 

ก่อนที่จะเป็นเมืองหลวงในสมัยกรุงธนบุรี สิ่งสำคัญยุคนี้ที่หลงเหลืออยู่มี ป้อมวิไชยประสิทธิ์, วัดมะกอก (วัดอรุณราชวราราม), วัดท้ายตลาด (วัดโมฬีโลกยาราม) ทั้งสองวัดนี้ (วัดอรุณฯ กับวัดโมฬีฯ) เดิมเป็นวัดในเขตพระราชฐานของกรุงธนบุรี เทียบความสำคัญวัดทั้งสองนี้ก็เป็นเปรียบเหมือนวัดพระศรีสรรเพชญ์กับวัดธรรมิกราชในเขตพระราชวังหลวงกรุงศรีอยุธยา ไม่ใช่แค่เป็นวัดที่ตั้งอยู่ชิดติดกับพระบรมมหาราชวัง หากยังเป็นสถานที่ที่เจ้านายนิยมเสด็จไปประกอบพิธีกรรมสำคัญทางศาสนา 

ส่วน ป้อมวิไชยประสิทธิ์ เป็นป้อมที่สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ถือเป็นส่วนหนึ่งของ ‘เมกะโปรเจกต์ของฟอลคอน’ (ออกญาวิไชยเยนทร์ อัครมหาเสนาบดีคนสำคัญในสมัยสมเด็จพระนารายณ์) ถึงแม้ว่าโปรเจกต์นี้จะเป็นที่ครหาว่าเป็นการฉ้อราษฎร์บังหลวงโกงกินบ้านเมืองของฝ่ายฟอลคอน เป็นข้ออ้างของออกพระเพทราชากับหลวงสรศักดิ์ในการกำจัดบทบาทและอิทธิพลของฟอลคอน แต่โปรเจกต์นี้ก็เป็นที่เรียกร้องต้องการสำหรับเมืองท่าหลายแห่ง 

ฉะนั้นแม้ว่าโปรเจกต์นี้จะถูกเลิกล้มไปในสมัยสมเด็จพระเพทราชา แต่ปรากฏว่าหลายเมืองที่ฟอลคอนเคยริเริ่มไว้ เจ้าเมืองและชนชั้นนำท้องถิ่นต่างก็สานต่อ จนเกิดเมืองป้อมกำแพงที่สำคัญของยุคสมัยทั่วราชอาณาจักร ไม่ว่าจะเป็นที่เมืองลพบุรี นครราชสีมา จันทบุรี นครศรีธรรมราช สงขลา และป้อมที่บางกอกนี้เองก็ได้รับการสานต่อเช่นกัน เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ นำทัพไปจันทบุรีก็ต้องเผชิญกับป้อมนี้ และเมื่อจะตั้งกรุงธนบุรี การมีป้อมนี้ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เมืองบางกอกมีความพร้อม 

เดิมป้อมเมืองบางกอกมี 2 ป้อม คือ ป้อมฝั่งตะวันออก (บริเวณท่าเตียนในปัจจุบัน) กับป้อมวิไชยประสิทธิ์ ซึ่งเดิมคือป้อมฝั่งตะวันตก สองป้อมนี้ขึงโซ่เข้าหากัน ภายหลังป้อมฝั่งตะวันออกถูกรื้อถอนไป ยังเหลือป้อมฝั่งตะวันตก คำว่า ‘ป้อมวิไชยประสิทธิ์’ นี้ เป็นชื่อที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงพระราชทานนามไว้ให้ เพราะคนรุ่นธนบุรียังมีความทรงจำรับรู้กันดีว่า เป็นป้อมแรกสร้างโดยออกญาวิไชยเยนทร์ คำว่า ‘วิไชย’ ก็คือออกญาวิไชยเยนทร์ คำว่า ‘ประสิทธิ์’ ก็คือ ตั้ง หรือสร้าง รวมความก็แปลว่า เป็นป้อมที่ออกญาวิไชยเยนทร์เป็นผู้สร้างนั่นเอง  

อนึ่ง การที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงพระราชทานนามป้อมไว้เช่นนี้ ยังเป็นสิ่งสะท้อนว่าเดิมทีแม้จะเป็นช่วงหลังรัฐประหารโดยฝ่ายศัตรูของฟอลคอนอย่างสมเด็จพระเพทราชา เป็นผู้ชนะ แต่ฟอลคอนหรืออกญาวิไชยเยนทร์ก็ยังไม่ถูกมองในฐานะผู้ร้ายในประวัติศาสตร์มากเท่าสมัยหลัง      

(2) ยุคกรุงธนบุรี หรือยุคเป็นเมืองหลวง 

สถานที่สำคัญที่หลงเหลือมี ‘อาคารท้องพระโรง’ กับ ร่องรอยกำแพงใบสีมาอยู่รอบอาคารกองทัพเรือ ซึ่งจะสังเกตเห็นได้เมื่อผ่านประตูจากวัดอรุณฯ ไปยังหน้าพระราชวังเดิม 

อนิจจา!!! เมื่อเทียบกับของในยุคอื่น วังเดิมกลับเหลือของในยุคสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ น้อยกว่าของในยุคอื่น อีกทั้งอาคารท้องพระโรงยังมีประเด็นว่าอาจเป็นของสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่จากการตรวจสอบของผู้เขียน เห็นว่าอาคารนี้ยังคงมีเค้าโครงเดิมของอาคารท้องพระโรงแบบที่น่าจะมีฟังก์ชั่นใช้งานจริงในสมัยธนบุรี และอาคารแบบนี้ไม่พบสร้างในสมัยหลังแล้ว เนื่องจากเป็นอาคารที่แสดงให้เห็นอิทธิพลจากอาคารท้องพระโรงหรือสถานที่ว่าราชกิจในสมัยอยุธยา 

ตัวอย่างเปรียบเทียบอาคารที่เป็นท้องพระโรงว่าราชกิจสมัยอยุธยา ซึ่งคนรุ่นสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ย่อมจะเคยได้พบเห็นมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ก็อย่างเช่น อาคารพระที่นั่งสุริยาศมรินทร์ ในพระราชวังหลวงของอยุธยา และอาคารพระที่นั่งดุสิตสวรรย์ธัญมหาปราสาท ที่พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ ลพบุรี ทั้งสองแห่งนี้เป็นอาคารมีอายุแรกสร้างในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท้องพระโรงที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้เคยเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์นั้น ก็คือท้องพระโรงพระที่นั่งสุริยาศมรินทร์ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ทรงใช้พระที่นั่งนี้เป็นที่ประทับว่าราชกิจ จึงทรงมีพระราชสมัญญานามว่า ‘สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศมรินทร์’  

อาคารท้องพระโรงในพระราชวังเดิมก็มีลักษณะเป็นอาคารรูปตัวทีแบบเดียวกับพระที่นั่งสุริยาศมรินทร์ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่เคยเป็นขุนนางในสังกัดฝ่ายสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ก็คงจะเก็บความประทับใจที่มีต่อพระที่นั่งสุริยาศมรินทร์ มาสร้างเป็นอาคารพระที่นั่งหรือท้องพระโรงของพระองค์เองเมื่อขึ้นครองราชย์ 
การประกอบพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ 2 ครั้งในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ คือพระราชพิธีปราบดาภิเษกเมื่อ พ.ศ.2310 กับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อพ.ศ.2312 ก็กระทำกันที่อาคารท้องพระโรงนี้เป็นแน่  เพราะรูปลักษณะเป็นอาคารเดียวที่เหมาะแก่การประกอบพระราชพิธีทั้งสองนี้ 

อนึ่งการประกอบพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ 2 ครั้งในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ยังเป็นต้นแบบอ้างอิงให้แก่การประกอบพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ 2 ครั้งในสมัยรัตนโกสินทร์อีกด้วย นั่นหมายความว่าอาคารท้องพระโรงที่พระราชวังเดิมนี้เป็นที่มาของขนบธรรมเนียมสำคัญของราชสำนัก จึงเป็นที่อ้างอิง และเมื่อมีความสำคัญเช่นนี้ก็จึงเข้าใจได้ว่า ทำไมจึงไม่มีการรื้อถอนเมื่อสิ้นอำนาจพระเจ้าตากสินฯ ไปแล้ว ไม่เพียงเท่านั้นชนชั้นนำกรุงรัตนโกสินทร์กลับยังคงรักษาไว้เป็นอย่างดี   

(3) ยุควังหลัง-วังหน้า 

สถานที่สำคัญที่สร้างขึ้นในยุคนี้และยังคงอยู่มาถึงรุ่นปัจจุบัน ก็ได้แก่ ศาลศีรษะปลาวาฬ, อาคารเก๋งคู่, ตำหนักพระปิ่นเกล้าฯ เป็นต้น 

สืบเนื่องจากภายหลังจากการโค่นล้มสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ขุดรากถอนโคนฝ่ายที่ยังจงรักภักดีต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ และชนชั้นนำใหม่ได้ย้ายข้ามฟากไปสร้างพระราชวังแห่งใหม่ขึ้นที่ฝั่งตะวันออกแล้ว ช่วงเวลานี้เองที่วังหลวงเดิมของกรุงธนบุรี กลายเป็น ‘พระราชวังเดิม’ ในทำนองคู่ตรงข้ามกับ ‘พระราชวังใหม่’ คือพระราชวังที่อยู่ฝั่งตะวันออกติดกับวัดพระศรีรัตนศาสดารามกับวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามในปัจจุบัน  

เดิมทีหลังพ.ศ.2325 วังเดิมอยู่ในความดูแลของวังหลัง (กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข) อยู่ช่วงหนึ่ง เพราะอยู่ใกล้ชิดติดกับวังหลังไปทางทิศเหนือ ฝั่งเดียวกัน เจ้านายวังหลังพระองค์แรกและพระองค์เดียวในสมัยรัตนโกสินทร์ ก็คือสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ (ทองอิน) ในอดีตเคยดำรงตำแหน่งเป็นพระยาสุริยอภัย นายกองส่วยหัวเมืองนครราชสีมา ผู้นำกำลังมาตีชิงกรุงธนบุรีไปจากกลุ่มพระยาสรรค์ ประวิงเวลารอให้กองทัพเจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ถอยกลับจากกัมพูชา ในเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อพ.ศ.2325 

กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข (ทองอิน) ย่อมเป็นผู้ชัยภูมิและสิ่งต่าง ๆ ของพระราชวังเดิมเป็นอย่างดี แต่ในช่วงเวลาอันสั้นที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของวังหลัง วังเดิมยังไม่ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างใด มากเท่ากับที่เกิดในช่วงหลัง  

ต่อมา วังเดิมก็ได้ถูกโอนย้ายไปเป็นที่ประทับของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เพราะอะไร ทำไม ถึงโอนย้ายไปเช่นนั้น เรื่องนี้ยาว แต่สรุปสั้น ๆ ได้ว่า เป็นเพราะความขัดแย้งระหว่างวังหลวง (พระพุทธยอดฟ้าฯ) กับ วังหน้า (ภายใต้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท) เมื่อปลายสมัยรัชกาลที่ 1 ครั้งหนึ่งถึงขั้นตั้งปืนใหญ่เล็งเข้าหากันเกือบจะเป็นสงครามกลางเมืองระหว่างวังหลวงกับวังหน้า 

เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (บุญมา) ทรงประชวรหนักใกล้จะสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ.2346 ได้เคยเปล่งวาจาสาปแช่งผู้ที่จะมาเป็นเจ้าเข้าครองวังหน้าที่ทรงสร้างไว้ต่าง ๆ นานา วังหน้าที่ทรงสร้างนั้นก็คือพระราชวังที่อยู่ฝั่งเดียวกับพระราชวังหลวงติดท้องพระเมรุ (สนามหลวง) (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร และโรงละครแห่งชาติกรมศิลปากร)  

คำสาปแช่งของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (บุญมา) เป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวาง โจษจันกันทั่วกรุงในชื่อ ‘อาถรรพ์วังหน้า’ โดยเนื้อหาก็คือทรงไม่ยอมรับให้คนที่ไม่ใช่เชื้อสายของพระองค์มาเป็นเจ้าครองวังหน้า ดังนั้นพระพุทธยอดฟ้าฯ รัชกาลที่ 1 จึงทรงชะลอการแต่งตั้งกรมหลวงอิศรสุนทร (รัชกาลที่ 2) ให้เป็นเจ้าอุปราชวังหน้า ตามธรรมเนียม 

แต่แล้วพระพุทธยอดฟ้าฯ ก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ของกรมหลวงอิศรสุนทรที่ทรงกราบทูลขอ แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องทรงไปประทับอยู่ที่อื่น ไปอยู่วังหน้าให้เป็นที่ติฉินหรือต้องอาถรรพ์คำสาปไม่ได้ ก็เลยต้องทรงเสด็จข้ามฟากมาประทับอยู่ที่วังเดิม เป็นเหตุให้วังเดิมได้อยู่ในความดูแลของวังหน้ามาตั้งแต่นั้น  

เพราะฉะนั้น ภายในอาคารท้องพระโรงถึงได้มีการประดิษฐานพระบรมรูปของรัชกาลที่ 2 เพราะเคยทรงประทับอยู่ที่นี่เมื่อครั้งยังทรงดำรงตำแหน่งเป็นอุปราชวังหน้า ก่อนเสด็จข้ามฟากไปขึ้นครองราชย์ เมื่อพระราชบิดาคือพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงสวรรคตเมื่อ พ.ศ.2352  ในปีเดียวกันนั้นเอง (ก่อนเดือนรัชกาลที่ 1 จะเสด็จสวรรคต) น้ำทะเลหนุนสูง แล้วได้มีปลาวาฬบรูด้าตัวหนึ่ง โผล่ขึ้นมาให้ชาววังหน้าที่วังเดิมได้เห็นเป็นอัศจรรย์ 

กรมหลวงอิศรสุนทร (รัชกาลที่ 2) ก็ได้ทอดพระเนตรเห็นเจ้าปลาใหญ่ตัวนี้ เมื่อเห็นเจ้านายทรงโปรดปราน เหล่าทหารกล้าของวังหน้าก็พากันลงเรือไล่ตามปลาวาฬนี้ไปจนถึงเกาะเกร็ด แล้วพบว่ามันเกยตื้นตายเสียแล้ว แต่ก็ได้นำมันขึ้นเรือกลับมาถวาย แต่หลังจากได้ปลาวาฬตัวนี้มาไม่นาน รัชกาลที่ 1 ก็สวรรคต เกิดเป็นความเชื่อว่าปลาวาฬตัวนี้มาบอกเหตุผลัดแผ่นดินและเป็นกฤดาภินิหาร (อันบดบังมิได้) ว่ากรมหลวงอิศรสุนทรจะได้ขึ้นเสวยราชสมบัติ ชาววังหน้าจึงได้สร้างศาลปลาวาฬขึ้นในวังเดิม      

ในช่วงที่ยังอยู่ภายใต้การดูแลของวังหน้านี้เอง สมัยรัชกาลที่ 3 ได้มีการสร้างอาคารที่เรียกว่า ‘ตำหนักเก๋งคู่’ เป็นอาคารแบบ 2 หลังคาตึกชิดกัน เนื่องจากรูปทรงศิลปะที่สะท้อนอิทธิพลจีนอย่างมาก จึงเคยเกิดความเชื่อว่าเป็นอาคารตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เพราะถูกนำไปโยงเข้ากับความเป็นจีนของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ แต่จากการตรวจสอบโดยนักประวัติศาสตร์และโบราณคดีหลายท่าน ได้ข้อสรุปว่าอาคารนี้เป็นของสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 เพราะตรงตามขนบความนิยมในราชสำนักรัชกาลที่ 3 ซึ่งก็เป็นช่วงสมัยที่ราชสำนักสยามนิยมจีนค่อนข้างมาก และไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นตำหนักที่ประทับของพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด ตรงข้ามกลับมีลักษณะสอดคล้องกับอาคารทหารยามรักษาการในพระราชวังมากกว่า 

หลังจากนั้น วังเดิมก็ยังคงเป็นสมบัติในความดูแลของวังหน้าเรื่อยมา จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว กษัตริย์วังหน้าในสมัยรัชกาลที่ 4 เพราะเมื่อแรกขึ้นเป็นวังหน้านั้น แม้ว่าพระปิ่นเกล้าฯ จะทรงให้เชิญพระภิกษุสงฆ์และพราหมณ์ราชครูมาทำพิธีแก้อาถรรพ์คำสาปของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (บุญมา) ไปแล้ว ทรงสามารถเสด็จเข้าไปประทับที่วังหน้าฝั่งตะวันออกได้โดยไม่เป็นที่ติฉินนินทาแก่ชาวกรุง แต่วังหน้าฝั่งตะวันออกที่ไม่มีเจ้านายอยู่ดูแลปกครองนั้นก็อยู่ในสภาพรกร้างไปเสียแล้ว พระปิ่นเกล้าฯ เมื่อแรกได้รับแต่งตั้งเป็นกษัตริย์วังหน้าจากพระเชษฐาธิราชของพระองค์คือ พระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 พระองค์ถึงกับดำรัสว่า “เออ... อยู่ดีๆ ก็ให้มาเป็นสมภารวัดร้าง” เหตุเพราะวังหน้าฝั่งตะวันออกเวลานั้นยังร้างอยู่นั่นเอง 

พระปิ่นเกล้าฯ ตั้งแต่เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็น ‘กรมขุนอิศเรศรังสรรค์’ ก็แสดงพระองค์เป็นเจ้านายที่โปรดศึกษาวิทยาการจากตะวันตก ทรงโปรดคบหากับชาวต่างชาติที่เข้ามากรุงเทพฯ เป็นเหตุให้ทรงเป็นผู้รู้ขนบธรรมเนียมและวิทยาการของชาติตะวันตกสมัยนั้นมาก ทรงริเริ่มหลายอย่างที่เป็นวิทยาการตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นการฝึกทหารแบบอังกฤษและอเมริกัน การต่อเรือกลไฟ และสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก 

พระปิ่นเกล้าฯ จึงทรงให้สร้างอาคารตำหนักที่ประทับของพระองค์ที่วังเดิมเป็นอาคารแบบสถาปัตย์อเมริกัน เรียกว่า ‘ตึกฝรั่ง’ หรือ ‘ตำหนักอเมริกัน’ ปัจจุบันเรียกกันว่า ‘ตำหนักพระปิ่นเกล้าฯ’ ตั้งอยู่ชิดติดกับอาคารท้องพระโรงเดิมของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ นับเป็นหนึ่งสถาปัตยกรรมแบบอเมริกันรุ่นแรก ๆ ที่สร้างโดยเจ้านายสยาม   

(4) ยุคโรงเรียนนายเรือ-ปัจจุบัน 

ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการยกเลิกตำแหน่งอุปราชวังหน้า มาสถาปนาตำแหน่งมกุฎราชกุมารขึ้นมาแทน โดยทรงแต่งตั้งเจ้าฟ้าวชิรุณหิศ เป็นสยามมกุฎราชกุมารองค์แรก วังเดิมได้ทรงพระราชทานให้แก่กองทัพเรือได้จัดตั้งเป็น ‘โรงเรียนนายเรือ’   
สถานที่สำคัญที่มีการสร้างขึ้นไว้ในวังเดิมช่วงนี้มี ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ตั้งอยู่หน้าอาคารท้องพระโรงทางทิศตะวันออก, ซุ้มประตูสามสมอ ที่กลายเป็นซุ้มประตูวังเดิมมาถึงยุคปัจจุบันนี้ด้วย, พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่ริมแม่น้ำเยื้องป้อมวิไชยประสิทธิ์, ปืนใหญ่หน้าตำหนักพระปิ่นเกล้าฯ, เรือนเขียว หน้าบริเวณเนินดินที่เรียกว่า เขาดิน, ศาลเจ้าพ่อหนู ที่ป้อมวิไชยประสิทธิ์,  ปืนใหญ่รุ่นศตวรรษที่ 19-20 ที่ติดตั้งไว้หลายกระบอกที่ป้อมวิไชยประสิทธิ์ เป็นต้น    

(5) สิ่งที่ไม่มีให้เห็นแล้วในปัจจุบัน แต่มีหลักฐานว่าเคยมีอยู่ที่วังเดิมหรือใกล้ชิดติดกัน  

ที่จริงมีหลายสิ่งอย่างที่ถูกรื้อถอนทิ้งไป ทั้งของในสมัยอยุธยาที่เป็นอาคารตึกที่ว่าการของเจ้าเมืองบางกอกสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ที่ถูกสร้างทับด้วยอาคารท้องพระโรงของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ หรืออย่างในช่วงสมัยที่ยังเป็นที่ประทับของเจ้านายวังหน้า วังเดิมก็ถูกแก้ไขปรับเปลี่ยนไปมากพอสมควร ซึ่งเป็นธรรมดาของยุคสมัยก่อนที่ยังไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับการอนุรักษ์เป็นโบราณสถาน 

ในจำนวนอาคารสถานที่หรือสิ่งต่าง ๆ ที่เชื่อแน่ได้ว่าเคยมีอยู่ในพื้นที่วังเดิมหรือเคยอยู่ใกล้ชิดติดกัน สิ่งที่เป็นของสำคัญในประวัติศาสตร์ มีชื่อปรากฏในเอกสารหลักฐานแต่ไม่ปรากฏสถานที่จริงในปัจจุบันนี้แล้ว อย่างน้อยมีอยู่ 5 สิ่งอย่างด้วยกัน ดังนี้

‘ตำหนักแพ’ ที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงโปรดประทับ ลอยอยู่เหนือลำน้ำเจ้าพระยาบริเวณหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในปัจจุบัน  
‘ตำหนักฝ่ายใน’ ของสมัยธนบุรี ที่เชื่อกันว่าอยู่ตรงบริเวณอาคารเรือนเขียวหรือใกล้กันนั้น

อาคารที่ทำการของเหล่าขุนนางเสนาบดีสมัยกรุงธนบุรี รวมทั้งพวกโรงช้างโรงม้าและโรงเรือพระที่นั่ง แน่นอนว่าอาคารที่ทำการเหล่านี้ย่อมถูกรื้อถอนย้ายข้ามฟากไปฝั่งตะวันออกกับรัชกาลที่ 1 ด้วย    

‘สุขศาลา’ สถานพยาบาลแบบตะวันตกสมัยใหม่แห่งแรกของสยาม สร้างและดำเนินการโดยหมอบรัดเลย์ อยู่ริมคลองบางกอกใหญ่ถัดจากป้อมวิไชยประสิทธิ์ ถูกรื้อทิ้งไปนานแล้ว น่าจะตั้งแต่หมอบรัดเลย์เสียชีวิตในสมัยรัชกาลที่ 5   

‘โรงพิมพ์หมอบรัดเลย์’ ที่อยู่กับ ‘สุขศาลา’ เป็นโรงพิมพ์สมัยใหม่ ดำเนินการตีพิมพ์หนังสือเป็นครั้งแรก หนังสือที่อยู่คู่สังคมสยามประเทศเรื่อยมาเป็นเวลาเกือบ 200 ปี จนกระทั่งถึงยุคโซเชียลมีเดีย ผู้คนเริ่มหันไปอ่านจากเทคโนโลยีออนไลน์อย่างในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีการพิมพ์นี้เป็นที่พูดถึงกันมากว่าเป็นจุดกำเนิดของโลกสมัยใหม่มาถึงทุกวันนี้ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเก็บรักษาเครื่องจักรแท่นพิมพ์ของหมอบรัดเลย์เอาไว้  เราจึงไม่มีโอกาสได้เห็นสิ่งอันให้กำเนิดโลกสมัยใหม่นี้ในปัจจุบันอีกแล้ว   

สุดท้าย สิ่งที่อยากฝากเอาไว้ ก็คือน่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่นี้มากขึ้น ถ้าหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลวังเดิมแห่งนี้ จะกรุณาเปิดให้ประชาชนได้เข้าชมฟรีตลอดปี ไม่ต้องรอจนถึงเดือนธันวาคมของทุกปีเหมือนที่เป็นมา    
  

เรื่อง: กำพล จำปาพันธ์
ภาพ: ศูนย์ภาพเครือเนชั่น (Nation Photo)
อ้างอิง
   Chin, James K. King Taksin and China: Siam-Chinese Relations During the Thonburi Period as Seen from Chinese Sources. London: University of London, 1993. 
   กำพล จำปาพันธ์. “การเมืองเบื้องหลังสถาปนาพระปิ่นเกล้าฯ” ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 42 ฉบับที่ 5 (มีนาคม 2564), หน้า 74-91. 
   กำพล จำปาพันธ์. “ความย้อนแย้งของพิธีบรมราชาภิเษกสมัยพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี” ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 40 ฉบับที่ 8 (มิถุนายน 2562), หน้า 86-99. 
   กำพล จำปาพันธ์. “จากอยุธยาถึงธนบุรี: ศักราช วันเดือนปี และลำดับเหตุการณ์สำคัญในพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ จากวันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ.2309 ถึงวันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2310 (วัดพิชัย/อยุธยา-จันทบุรี-ค่ายโพธิ์สามต้น-สถาปนากรุงธนบุรี)” ศิลปวัฒนธรรม (Silpa-mag.com) เผยแพร่ครั้งแรกวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563 https://www.silpa-mag.com/history/article_44788  
   กำพล จำปาพันธ์. “ศาลศีรษะปลาวาฬ วังเดิม แรกสร้างในสมัยไหน?” ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 40 ฉบับที่ 4 (กุมภาพันธ์ 2562), หน้า 10-11. 
   กำพล จำปาพันธ์. พระเจ้าตาก กษัตริย์นักการค้า และธนบุรีศรีมหาสมุทร. กรุงเทพฯ: มติชน, 2561. 
   กิตติ วัฒนะมหาตม์. วังเจ้า วังเดิม. กรุงเทพฯ: ประพันธ์สาส์น, 2540. 
   คึกฤทธิ์ ปราโมช. กฤษฎาภินิหารอันบดบังมิได้. กรุงเทพฯ: สยามรัฐ, 2533.
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา. ตำนานวังหน้า. กรุงเทพฯ: แสงดาว, 2553. 
   นิธิ เอียวศรีวงศ์. การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี. กรุงเทพฯ: มติชน, 2550. 
   ปรามินทร์ เครือทอง. ชำแหละแผนยึดกรุงธนบุรี. กรุงเทพฯ: มติชน, 2553. 
   ปรามินทร์ เครือทอง. พระเจ้าตากเบื้องต้น. กรุงเทพฯ: มติชน, 2557. 
   พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม). นนทบุรี: ศรีปัญญา, 2551.
   พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับหมอบรัดเลย์. กรุงเทพฯ: โฆสิต, 2549. 
   พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 2. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2534. 
   มูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม. นำชมพระราชวังเดิม (พระราชวังกรุงธนบุรี). กรุงเทพฯ: ไม่ระบุ, 2543. 
   วินัย พงศ์ศรีเพียร. (บก.). หมิงสือลู่-ชิงสือลู่ บันทึกเรื่องจริงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ตอนว่าด้วยสยาม และหนังสือระยะทาง ราชทูต ไปกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ตั้งแต่ ณ เดือน 8 ปีกุญตรีศก. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา, 2560.