29 ม.ค. 2568 | 16:49 น.
KEY
POINTS
วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช (ลำดับถัดไปขออนุญาตเรียกสั้นๆ ว่า ‘วัดพระมหาธาตุฯ’) ติดโผในรายนามสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ร่ำ ๆ จะได้ขึ้นทะเบียนเป็น ‘มรดกโลกทางวัฒนธรรม’ มานานหลายปี เป็นที่พูดถึงกันมาก่อนศรีเทพกับภูพระบาทที่ได้ขึ้นไปแล้วเสียอีก
ปีนี้ก็มีการดำเนินการกันอีกครั้ง ดังที่มีข่าวการนำเสนอวัดพระมหาธาตุฯ นครศรีธรรมราช ขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกกับที่ประชุมองค์การยูเนสโกไปเมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา ต่อมาในวันที่ 28 มกราคม 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงมีมติเห็นชอบเอกสารนำเสนอขอประกาศขึ้นทะเบียนมรดกโลก (Nomination Dossier) ฉบับสมบูรณ์ของแหล่งวัดพระมหาธาตุฯ ไปยังศูนย์มรดกโลก ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส เพื่อนำเสนอเข้าสู่กระบวนการพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก
ที่อื่นอาจจะเป็นปัญหาโดยตัวสถานที่ที่ยังไม่พร้อม แต่สำหรับวัดพระมหาธาตุฯ นครศรีธรรมราช เรื่องนั้นไม่ได้เป็นปัญหา เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่เล็งเห็นกันอยู่ คำถามที่หลายคนคาใจ จึงเป็นว่าทำไมวัดพระมหาธาตุฯ เมืองนคร ถึงยังไม่ได้เป็นมรดกโลกกับเขาซักที?
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะเข้าใจเรื่องเล็ก ๆ ที่ดูไม่สลักสำคัญ (แต่ที่จริงก็เอาเรื่องอยู่) เช่นนั้น จำเป็นต้องทบทวนอยู่เหมือนกันว่า สถานที่ที่เรากำลังกล่าวถึงกันอยู่นี้คืออะไร มีมรดกสำคัญอะไรที่ควรค่าแก่การทำนุบำรุงรักษากันสืบไป ไม่ว่าจะโดยวิธีการยกย่องให้เป็น ‘มรดกโลก’ หรือด้วยรูปแบบวิธีอื่น ๆ ต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่าในท่ามกลางสภาพความรับรู้ต่อชาวนครศรีธรรมราช หรือที่เรียกกันว่า ‘คนคอน’ ในปัจจุบันนี้ มีสิ่งที่บดบังความสำคัญของการเป็นสถานที่ประดิษฐานของ ‘พระทันตธาตุ’ อยู่ไม่น้อย
กล่าวกันว่ามี ๓ อย่างที่ถ้าเราอยากจะเข้าใจ ‘อัตลักษณ์ความเป็นคนคอน’ แล้ว ๓ อย่างนี้เป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้ หนึ่งเลยคือ ‘พระบรมธาตุเจดีย์’ ที่วัดพระมหาธาตุฯ สองคือ ‘ปืน’ และสามคือ ‘งัวชน’ (วัวชน-คนใต้ยังรักษาขนบคำเรียก ‘งัว’ แบบดั้งเดิม คำว่า ‘วัว’ ต่างหากล่ะที่เป็นคำใหม่ เพี้ยนมาจาก ‘งัว’ เช่นเดียวกับคนอีสานและสปป.ลาว ก็ออกเสียง ‘งัว’ ไม่มี ‘วัว’)
ในสามอย่างนี้ ‘ปืน’ กับ ‘งัวชน’ ดูจะเป็นของที่เข้ากันอยู่ เพราะเรื่องความเป็นนักเลงกับการพนันกล้าได้กล้าเสีย มันไปด้วยกัน แต่กับพระบรมธาตุเจดีย์ ซึ่งเป็นเรื่องของพุทธศาสนา เผิน ๆ เป็นเรื่องของวิถีการบำเพ็ญตนอยู่ในศีลธรรม ละเว้นจากการทำบาปหรือประพฤติชั่ว
แต่เราก็เห็นจากตัวอย่างในประวัติศาสตร์กันมามากแล้วว่า ทุกศาสนาล้วนมีช่วงเวลาที่ต้องพึ่งพาอาศัยความรุนแรงในการปกปักรักษาบางสิ่งบางอย่างให้คงอยู่ วัดกับนักเลงเลยไม่ใช่ของที่แยกขาดจากกันเสียทีเดียว เช่นเดียวกับที่ชาวคริสต์ก็เคยถึงขั้นมีอัศวินเทมพาร์ หรืออย่างอิสลามก็มีพวกจีฮัดหัวรุนแรง แน่นอนว่าสิ่งนี้ขัดแย้งกับหลักคำสอนของพระศาสดา และก็แน่นอนอีกเช่นกันว่า ศาสนาไม่ใช่เหตุปัจจัยเดียวที่เกี่ยวข้องกับวิถีนักเลง
เราอาจจะนึกถึงนครศรีธรรมราชในแง่ที่เป็นจังหวัดมีทะเลภาคใต้ แต่ที่จริงถ้าใครเคยไปสัมผัสจะรู้ว่า นอกจากทะเลแล้วยังมีภูเขา เป็นภูเขาหลักสำคัญของภาคใต้เสียด้วยคือ ‘เขาหลวง’ ภูเขานี้อยู่ในแนวแกนทิศที่สัมพันธ์กับพระบรมธาตุอีกต่างหาก และนอกจากนี้นครศรีธรรมราชในรุ่นปัจจุบันยังแตกต่างจากที่นักประวัติศาสตร์จะพบเห็นได้จากตัวบทในหลักฐานอดีตอยู่อย่างก็คือ การเป็น ‘สังคมเกษตร’ ไม่ใช่สังคมการค้าทางทะเลเหมือนอย่างในอดีต
เมื่อเป็นสังคมเกษตร ที่ดินก็เป็นปัจจัยสำคัญเป็นลำดับแรก ๆ แต่ในขณะเดียวกันปริมาณที่ดินทำกินกลับมีไม่สัมพันธ์กับจำนวนประชากร อย่างที่ ผศ.ปิยะชาติ สึงตี เคยแลกเปลี่ยนกับผู้เขียนว่า นครศรีธรรมราชในรุ่นหลังมีสภาพแบบว่า “ที่ดินน้อย แต่คนมาก และอำนาจรัฐก็ไม่เป็นหลักประกันให้แก่ผู้คนได้” ความรู้สึกที่ต้องปกปักรักษาที่ดินทำกินตลอดจนทรัพย์สินตกไปอยู่กับประชาชนที่ต้องดูแลกันเอง
สภาพเช่นนี้อันที่จริง เคยเกิดขึ้นกับทุกภูมิภาค อย่างภาคตะวันออก อีสาน และภาคเหนือ เมื่ออำนาจรัฐมีจุดบกพร่อง ก็นำไปสู่ความจำเป็นที่ชาวบ้านประชาชนจะต้องสร้าง ‘นักเลงท้องถิ่น’ ขึ้นมาเพื่อปกป้องตนเอง หรือพิทักษ์รักษาบางสิ่งบางอย่าง ยิ่งเมื่อการพัฒนาสมัยใหม่รุกล้ำเข้าไปทำลายวิถีดั้งเดิมมากเท่าไหร่ ความรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยของคนเล็กคนน้อยที่ไร้เสียงไร้อำนาจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกมีสิ่งที่ตนเองจะต้องปกปักรักษาสิ่งที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายส่งมอบมาให้แก่ตน จึงเป็นความรู้สึกโดยรวมที่นำมาสู่การสร้างความกลัวให้แก่คนภายนอกและควบคุมคนในด้วยกันเองไปในขณะเดียวกัน ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว
อีกอย่าง เราต้องไม่ลืมว่า ใต้ลงไปกว่านครศรีธรรมราชและพัทลุงนั้นคือถิ่นของ ‘คนต่างศาสนา’ ‘ต่างวิถีชีวิต’ และต่างจากคนแถบนครศรีธรรมราชขึ้นมาอีกสารพัด และแต่ไหนแต่ไรมา นครศรีธรรมราชก็ถูกส่วนกลางวางหมากให้เป็นผู้ควบคุมดูแลใต้ลงไปกว่านั้น และใต้ลงไปกว่านั้นก็ไม่ใช่จะยอมรับบทบาทนี้ของนครศรีธรรมราชแต่อย่างใด สิ่งนี้ก็เป็นมรดกทางวัฒนธรรมโดยอ้อมอีกประเภทหนึ่ง ที่ส่งผลต่อความเป็นนครศรีธรรมราช
แท้ที่จริงแล้ว ‘ความเป็นคนคอน’ แบบตามสำนวนที่ว่า “หน้าต่างมีหู ประตูมีกลอน คนคอนมีปืน” นั้น เป็นเพราะพวกเขาต้องอยู่กึ่งกลางระหว่างส่วนกลางกับ ‘ใต้ลงไปกว่านั้น’ ดังนั้น “หน้าต่างมีหู ประตูมีกลอนฯ” จึงไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับคนคอนเป็นการเฉพาะไม่เกี่ยวกับคนอื่นแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘คนอื่น’ ที่ว่านั้นคือ ‘ส่วนกลาง’ หรือศูนย์กลางอำนาจของประเทศนี้
จากเอกสารหลักฐานประเภทตำนาน กล่าวได้ว่าในอดีตสถูปประธานวัดพระมหาธาตุฯ จะเรียกกันว่า ‘พระบรมธาตุ’ หรือ ‘พระธาตุ’ ชื่อ ‘วัดพระมหาธาตุ’ เป็นนามพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 แต่ก่อนหน้านั้น นิยมเรียก ‘พระบรมธาตุ’ ชาวบ้านในท้องถิ่นก็ยังนิยมเรียก ‘พระบรมธาตุ’
ปัญหานี้ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาโดย ดร.เกรียงไกร เกิดศิริ และคณะ เมื่อเขียนรายงานการวิจัยที่ทำเกี่ยวกับสถูปประธานวัดพระมหาธาตุฯ จึงได้หวนกลับไปใช้คำว่า ‘พระบรมธาตุ’ โดยให้เหตุผลอ้างไปถึงธรรมเนียมของอยุธยาที่จะเรียก ‘พระมหาธาตุ’ เฉพาะกรณีเจดีย์ที่เป็นทรงปรางค์ เรียกเจดีย์ทรงระฆังว่า ‘พระบรมธาตุ’
ความเห็นของดร.เกรียงไกร เกิดศิริ และคณะ สอดคล้องกับเอกสาร ‘คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม: เอกสารจากหอหลวง’ ที่ระบุถึงพระมหาธาตุอันเป็นหลักเป็นประธานของกรุงศรีอยุธยา ๕ องค์คือ พระมหาธาตุวัดพระราม, พระมหาธาตุวัดมหาธาตุ, พระมหาธาตุวัดราชบูรณะ, พระมหาธาตุวัดสมณโกศ, พระมหาธาตุวัดพุทไสวรรย์ เป็นต้น
ทั้ง ๕ องค์ที่กล่าวมาล้วนเป็นเจดีย์ทรงปรางค์ ขณะเดียวกันก็ไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า อยุธยานิยามเรียกเจดีย์ทรงระฆังว่า ‘พระบรมธาตุ’ เพราะตาม ‘คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม: เอกสารจากหอหลวง’ ก็มีคำเรียกเจดีย์ทรงระฆังว่า ‘พระมหาเจดีย์ฐาน’ เช่นที่กล่าวถึงพระมหาเจดีย์ฐานที่เป็นหลักกรุง (ศรีอยุธยา) ๕ องค์ คือ พระมหาเจดีย์วัดสวนหลวงสพสวรรย์, พระมหาเจดีย์วัดขุนเมืองใจ, พระมหาเจดีย์วัดเจ้าพระยาไทย, พระมหาเจดีย์วัดภูเขาทอง, พระมหาเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล เป็นต้น
คำว่า ‘พระบรมธาตุ’ หรือ ‘พระบรมธาตุเจดีย์’ กลับพบหลักฐานกล่าวถึงเจดีย์ที่อยู่นอกพระนครศรีอยุธยา เช่นนอกจากกรณีพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราชแล้ว ก็มีพระบรมธาตุเมืองชัยนาทที่วัดพระบรมธาตุชัยนาท จังหวัดชัยนาท หรืออย่างพระบรมธาตุนครชุม จังหวัดกำแพงเพชร หรืออย่างกรณีวัดพระบรมธาตุเจดีย์เขียนบางแก้ว จังหวัดพัทลุง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กล่าวเฉพาะที่อยุธยานิยมเรียก ‘พระมหาธาตุ’ สำหรับกรณีเจดีย์ทรงปรางค์ ไม่ได้เรียก ‘พระบรมธาตุ’ ก็เป็นเหตุผลมากพอที่จะกลับไปเรียก ‘พระบรมธาตุ’ เพราะสถูปประธานวัดพระมหาธาตุฯ นี้มีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรมอยุธยาอยู่ไม่น้อย เป็นหนึ่งในพระบรมธาตุที่เคยมีความสำคัญในสมัยอยุธยา ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน นอกนั้นไม่พังร้างไป ก็อยู่ในสภาพที่ไม่ได้รับความสำคัญเฉกเช่นที่วัดพระมหาธาตุฯ นครศรีธรรมราช
นครศรีธรรมราชเป็นบ้านเมืองเก่าแก่มีมาก่อนสมัยอยุธยา จากเดิมที่เป็นมหาสถูปอยู่นอกตัวเมืองในสมัยเมืองพระเวียง ได้เปลี่ยนย้ายมาสู่การเป็น ‘วัดมหาธาตุ’ ตั้งอยู่ตรงบริเวณกึ่งกลางเมืองนครศรีธรรมราช สะท้อนว่าการขุดคูคลอง สร้างกำแพง ป้อมปราการ สำหรับประจำเมืองในรุ่นอยุธยาตอนต้น ได้มีการวางแผนผังโดยกำหนดให้วัดมหาธาตุฯ อยู่ตรงกึ่งกลาง เป็นหลักชัยประจำเมืองโดยตรง
พัฒนาการเช่นนี้พบเห็นได้ทั่วไป สภาพที่เขตอรัญญิกหรือพระธาตุนอกเมืองเมื่อตอนแรกสร้าง มามีความสำคัญจนกลายเป็นศูนย์กลางประจำเมืองไปในช่วงหลัง ตัวอย่างที่เห็นก็อย่างเช่น วัดป่าเลย์ไลยก์ ที่สุพรรณบุรี เดิมเป็นวัดอยู่นอกเมือง แต่ในช่วงหลังก็กลับเป็นวัดในตัวเมือง หรือแม้แต่อย่าง ‘วัดทาดหลวง’ (วัดพระธาตุหลวง-เขียนแบบไทย) ที่นะคอนหลวงเวียงจัน สปป.ลาว จากเดิมก็เป็นวัดนอกเมือง ตั้งอยู่เขตอรัญญิก บริเวณที่นาหลวงของ ‘บุรีจันอ้วยล่วย’ (สามัญชนที่ตั้งตัวเป็นกษัตริย์องค์แรกของเวียงจัน) ที่เรียกว่า ‘พูข้าวหลวง’ (บางแห่งว่า ‘ภูเขาหลวง’ หรือ ‘ภูเขาลวง’ ซึ่งไม่ถูก) แต่มาตอนหลัง ด้วยความที่วัดทาดหลวงเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแก่ประชาชนมาก ก็เกิดเป็นแหล่งย่านการค้า การคมนาคม ตลอดจนเศรษฐกิจสำคัญต่าง ๆ จนกลายเป็นย่านตัวเมืองแห่งหนึ่งของนะคอนหลวงเวียงจันมาเท่าทุกวันนี้
‘จารึกวัดเสมาเมือง’ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดพระมหาธาตุฯ เมืองนครศรีธรรมราช ได้บอกเล่าว่านครศรีธรรมราชเคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรใหญ่ในคาบสมุทรลายู มีกษัตริย์พระนามสอดคล้องกับเอกสารตำนานคือ ‘พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช’ คำว่า ‘ศรีธรรมาโศกราช’ นี้เป็นพระนามของกษัตริย์นครศรีธรรมราชต่อมาอีกหลายพระองค์ สื่อถึงการมีพระเจ้าอโศกของอินเดียโบราณเป็น ‘ไอดอล’
แต่นอกจากนี้ ศรีศักร วัลลิโภดม ยังเคยให้ข้อคิดเห็นว่า กษัตริย์เมืองนครศรีธรรมราชนอกจากจะเคยใช้พระนาม ‘ศรีธรรมาโศกราช’ แล้ว ยังเป็นไปได้ว่าจะมีอีกพระนามหนึ่งควบคู่กันด้วยคือ ‘พระเจ้ากรุงศรีวิไชย’ เพราะเป็นบ้านเมืองสำคัญของอาณาจักรศรีวิชัยมาก่อนด้วย สะท้อนความพยายามในการครองจิตใจของผู้คนทั้งฝั่งอันดามัน ที่นับถือพระเจ้าอโศก ตามขนบอินเดีย-ลังกา กับฝั่งคาบสมุทรและหมู่เกาะมลายู-ชวา ที่แต่เดิมเคยรวมตัวกันอย่างหลวม ๆ ภายใต้จักรวรรดิทางทะเลที่เรียกว่า ‘ศรีวิชัย’
ขณะเดียวกัน ‘คนคอน’ ในอดีต ไม่ใช่คนที่อยู่กับที่ มีคนคอนเดินทางไปมาหาสู่กับดินแดนต่าง ๆ มาก ทั้งดินแดนในคาบสมุทร หมู่เกาะ และภาคพื้นทวีป ในส่วนของภาคพื้นทวีปนั้นพบหลักฐานสำคัญที่เคยก่อปัญหาปวดตับปวดไตให้แก่นักประวัติศาสตร์โบราณคดีกันมามาก คือ ‘จารึกธานยปุระ’ พบที่เมืองโบราณดงแม่นางเมือง อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์
จารึกหลักนี้มีอายุราวพศว.17 มีเนื้อความตอนหนึ่งกล่าวถึง การนำเอาอัฐิธาตุของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชองค์หนึ่งมาบรรจุไว้ที่สถูปเมืองธานยปุระ (ปัจจุบันคือเมืองโบราณดงแม่นางเมือง อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์)
คำถามที่เกิดตามหลังจากพบจารึกหลักนี้ก็คือ ‘คนคอน’ ไปทำอะไรที่นครสวรรค์ ถ้าสามารถบรรจุอัฐิธาตุของกษัตริย์ตนที่นครสวรรค์ได้ ก็แสดงว่าเดิมอาจมีอำนาจมาถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา อย่างนั้นหรือ? แล้วพวกบ้านเมืองต่าง ๆ ในภาคกลางอย่างละโว้ (ลพบุรี), สุพรรณภูมิ, หรือแม้แต่อย่าง ‘อโยธยาศรีรามเทพนคร’ ที่ว่ากันว่ามีอยู่มาตั้งแต่พศว.16-17 โน่นล่ะ? ไหนจะเมืองพระบาง (นครสวรรค์) ยังเคยเป็นบ้านเมืองขึ้นกับแคว้นสุโขทัย-พิษณุโลก มาก่อนที่ขึ้นกับอยุธยาอีกล่ะ? คนคอนสมัยนั้นนำเอาอัฐิธาตุของกษัตริย์ตนผ่านบ้านเมืองเหล่านี้ไปได้อย่างไร?
นอกจากจารึกธานยุบุรีแล้ว จารึกสุโขทัยเองก็มีเนื้อความบางส่วนกล่าวถึง ‘คนคอน’ ที่มาในรูปพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางข้ามแคว้นข้ามแม่น้ำ ภูเขา ทะเล ไปยังที่ต่าง ๆ มาก จารึกหลักที่ ๑ ของสุโขทัย ก็มีกล่าวถึงพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีลทรงธรรมของกรุงสุโขทัยว่า “ทุกคนลุกมาแต่ศรีธรรมราชพุ้น”
ถึงแม้ว่าจารึกหลักนี้จะมีปัญหาว่า อาจไม่ได้สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย แต่ถึงจะสร้างขึ้นภายหลัง ก็สะท้อนถึงมุมมองความเชื่อที่ว่า นครศรีธรรมราชในอดีตเคยเป็นศูนย์กลางเผยแผ่พุทธศาสนา ซึ่งไม่ได้เป็นประเด็นที่คาดคิดกันไม่ถึงในความเป็นไปได้ เพราะนครศรีธรรมราชตั้งอยู่บนคาบสมุทร มีการติดต่อแลกเปลี่ยนกับอินเดียและศรีลังกามาก่อนบ้านเมืองอื่น ๆ เพราะอยู่ในเส้นทางคมนาคมการเดินเรือที่สะดวกกว่าบ้านเมืองในภาคพื้นทวีป
ตำนานที่กล่าวถึงพระเจ้าจันทรภาณุ กษัตริย์องค์หนึ่งของนครศรีธรรมราช เคยยกทัพไปตีศรีลังกาถึง ๒ ครั้ง ก็สอดคล้องกับ ‘จุลวงศ์’ และ ‘คัมภีร์มหาวงศ์ พงศาวดารลังกาทวีป’ แต่เรื่องที่พระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัยกับพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชร่วมกันไปช่วงชิงเอาพระพุทธสิหิงค์มาจากศรีลังกานั้น ยังคงเป็นตำนานที่ไม่มีหลักฐานอื่นมารองรับหรือยืนยันเป็นมั่นเหมาะแต่อย่างใด
แต่อย่างที่บอก เมื่อมีการเดินทางไปมาค้าขายติดต่อแลกเปลี่ยนกันมาก ก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายหรือไม่มีความเป็นไปได้ที่นักการศาสนาจะไปนำเอาพระพุทธรูปบางองค์ที่มีความสำคัญมาจากศรีลังกาได้ แต่จะใช่พระพุทธสิหิงค์ตามตำนานหรือไม่ นั่นอีกเรื่องหนึ่ง
นครศรีธรรมราชเป็นอาณาจักรท้องถิ่นหนึ่งเดียวที่เคยมีอำนาจเหนือคาบสมุทรมลายูตั้งแต่บางสะพานลงไปจนถึงเขตปลายด้ามขวาน (สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบัน) ถือเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาเถรวาทในคาบสมุทร และยิ่งเป็นตัวแทนของชาวพุทธมากขึ้นไปอีกเมื่อทางใต้ลงไปได้หันไปรับนับถือศาสนาอิสลาม
อย่างไรก็ตาม ควรกล่าวด้วยว่า เดิมนครศรีธรรมราชก่อนจะนับถือพุทธศาสนา ก็เคยเป็นเมืองพราหมณ์มาก่อน ดังจะเห็นได้จากร่องรอยที่ฐานพระสยม ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่เลย แค่หลังวัดพระมหาธาตุ นอกจากนี้ยังมีชุมชนริมฝั่งอ่าวไทยอยู่ข้างเคียงอีก เช่น โบราณสถาน ‘เขาคา’ (ในอำเภอสิชล), ‘ตุมปัง’ (ในพื้นที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์), ‘โมคลาน’ (ในอำเภอท่าศาลา), ‘เขาหรั่ง’ หรือ ‘เขาปะการัง’ (ในอำเภอหัวไทร)
รวมถึง ‘ช่องเขาคอย’ (ในอำเภอจุฬาภรณ์) ที่พบจารึกเก่าแก่ก็เป็นชุมชนโบราณเนื่องในศาสนาพราหมณ์ ในย่านตัวเมืองนครศรีธรรมราช ก็มีเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ ที่สร้างใหม่ โดยอิงเนื้อเรื่องใน ‘ตำนานพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราช’
อีกร่องรอยความทรงจำถึงการมาของพราหมณ์ก่อนพุทธ ก็ดังที่จะเห็นได้จากคำกลอนที่ว่าด้วยเมืองโมคลาน ที่อำเภอท่าศาลา ดังต่อไปนี้:
“ตั้งดินตั้งฟ้า ตั้งหญ้าเข็ดมอน
โมคลานตั้งก่อน เมืองคอนตั้งหลัง
ตั้งวัดพระธาตุ ตั้งบ้านตั้งวัง
เมืองคอนตั้งหลัง ตั้งวังไม่นาน”
แต่นอกเหนือจากฝั่งอันดามัน ฝั่งอ่าวไทยและเอเชียตะวันออก ซึ่งอิทธิพลจีนมีมากนั้น นครศรีธรรมราชก็รับเอาแบบแผนขนบธรรมเนียมมาปรับประยุกต์เข้ากับสภาพของท้องถิ่น ดังจะเห็นได้จากมีการนำเอาคติสิบสองนักษัตรตามคติจีน-ขะแมร์ มาใช้เป็นตราสัญลักษณ์ประจำหัวเมืองในอาณาจักร
ตามความใน ‘ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช’ และ ‘ตำนานพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราช’ ได้ระบุว่า พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงสร้างเมือง ๑๒ นักษัตร กำหนดให้ (๑) ‘ชวด’ เมืองสาย ถือตราหนู, (๒) ‘ฉลู’ เมืองตานี ถือตรางัว เมืองตานี, (๓) ‘ขาล’ เมืองกะลันตัน ถือตราเสือ, (๔) ‘เถาะ’ เมืองปะหัง ถือตรากระต่าย, (๕) ‘มะโรง’ เมืองไทร ถือตรางูใหญ่, (๖) ‘มะเส็ง’ เมืองพัทลุง ถือตรางูเล็ก, (๗) ‘มะเมีย’ เมืองตรัง ถือตราม้า, (๘) ‘มะแม’ เมืองชุมพร ถือตราแพะ, (๙) ‘วอก’ เมืองบันทายสมอ ถือตราลิง, (๑๐) ‘ระกา’ เมืองสะอุเลา ถือตราไก่, (๑๑) ‘จอ’ เมืองตะกั่วถลาง ถือตราสุนัข, (๑๒) ‘กุน’ เมืองกระ ถือตราหมู เป็นต้น
ถือเป็นของแปลกไปกว่าที่อื่น ที่อื่นไม่มีกำหนดเมืองขึ้นตามคติสิบสองนักษัตร เพราะสิบสองนักษัตรเป็นลำดับปีตามคติจีน ที่ขะแมร์รับสืบทอดเอามาแปลงเป็นภาษาของตน (ซึ่งเป็นภาษาที่ได้รับอิทธิพลจากภาษาสันสกฤตของอินเดียโบราณอีกต่อหนึ่ง) ถนอม พูนวงศ์ เสนอว่า อาจเพราะพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชยกทัพไปตีหัวเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ รวบรวมมาขึ้นกับนครศรีธรรมราชได้ในปีไหนใน ๑๒ ปีที่ทำศึก ก็กำหนดให้เมืองนั้น ๆ ใช้ตราปีนักษัตรตามปีที่ตีได้นั้น
การเป็นหัวเมืองใหญ่ที่เคยได้รับเครื่องราชบรรณาการจากเพื่อนบ้านนี้เอง เป็นที่มาของประเพณี ‘ชาพระธาตุ’ (บูชาพระธาตุ) ด้วยเครื่องมหัคฆภัณฑ์ สุรเชษฐ์ แก้วสกุล และสามารถ สาเร็ม ได้เคยชี้ให้เห็นว่า ‘มหัคฆภัณฑ์’ คือกลุ่มของที่ทำจากโลหะมีค่า ประกอบด้วยต้นไม้เงินต้นไม้ทอง เสาธงจำลอง พระเจดีย์จำลอง ตลอดจนข้าวของมีค่าอื่นๆ ปัจจุบันของเหล่านี้ทางวัดได้นำมาจัดแสดงในรูปพิพิธภัณฑ์วัดพระมหาธาตุฯ มีของหลากหลายยุคสมัยและหลายหลายแขนงศิลปกรรมให้ได้ชมเป็นที่เพลิดเพลินจำเริญใจยิ่งนักออเจ้า...
เมื่อกล่าวถึงประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราชและวัดพระมหาธาตุฯ แล้ว แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่กล่าวถึงความสำคัญของศรีลังกา เพราะเป็นบ้านเมืองที่สัมพันธ์กันมาก และส่งผ่านอิทธิพลใกล้ชิดถึงกัน เนื่องจากศรีลังกาในรุ่นหลังจากพระเจ้าทุฏฐคามมินีอภัย กษัตริย์สิงหลราชวงศ์ที่นับถือพุทธเถรวาท ได้รับชัยชนะในศึกยุทธหัตถีต่อพระเจ้าเอฬารราช กษัตริย์โจฬะ ที่นับถือพราหมณ์ ทำให้ฝ่ายพุทธครองความเป็นใหญ่เหนือศรีลังกา และกลายเป็นศูนย์กลางเผยแผ่พุทธศาสนาที่เรียกว่า ‘เถรวาทลังกาวงศ์’ แทนที่แคว้นมคธในอินเดีย
ถึงแม้ว่าเมืองนครศรีธรรมราชจะตั้งอยู่ฝั่งทะเลอ่าวไทย แต่มีเส้นทางโบราณตัดข้ามคาบสมุทร ทั้งทางบกและทางแม่น้ำ ทางบกก็เช่น ‘ช่องเขาคอย’ ทางแม่น้ำใหญ่ก็เช่น ‘แม่น้ำตรัง’ ที่มีข้อมูลว่าเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชมีอำนาจควบคุมเส้นทางแม่น้ำตรังอยู่จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ เป็นอย่างน้อย ดังเรื่องที่เจมส์ โลว์ (James Low) เมื่อใช้เส้นทางนี้จะไปพบเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ได้พบเรือของนครศรีธรรมราชและด่านควบคุมของเมืองนครศรีธรรมราชที่ตั้งอยู่ในเส้นทางนี้
การควบคุมเส้นทางแม่น้ำตรังนี้ถือได้ว่าเป็นกุญแจหลักสำคัญอันหนึ่งที่ก่อให้เกิดความมั่งคั่งรุ่งเรืองแก่เมืองนครศรีธรรมราช ดังจะเห็นได้จากการเปรียบเทียบกับไชยา แต่เดิมไชยากับนครศรีธรรมราชรุ่งเรืองมาคู่เคียงกัน แต่ตอนหลังเส้นทางข้ามคาบสมุทรได้เปลี่ยนจากกระบี่มาเป็นตรัง ทำให้นครศรีธรรมราชซึ่งเป็นเมืองใหญ่อยู่ใกล้แม่น้ำตรังกว่าไชยาได้เปรียบและพัฒนาสืบต่อมา ขณะที่ไชยาอยู่กับศรีวิชัยต่อมา ติดต่อแลกเปลี่ยนกับศรีลังกาน้อยลง
‘พระทันตธาตุ’ เอง ตามตำนาน ก็ระบุว่านำมาจากอินเดียจะไปศรีลังกา โดยนางเหมมาลากับเจ้าธนกุมาร ได้นำเอาพระทันตธาตุลงเรือสำเภาลอยลำมาอับปางลงในเขตฝั่งของคาบสมุทรที่อยู่ภายใต้อำนาจของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช และได้ฝังพระทันตธาตุไว้ที่หาดทรายแก้ว นางเหมมาลากับเจ้าธนกุมารนั้นบางฉบับว่าเป็นพี่น้องกัน บางฉบับก็ว่าเป็นสามีกับภรรยา แต่จะอย่างไรก็ตามเถอะ ทุกตำนานตรงกันว่าผู้นำในการนำเอาพระทันตธาตุมาขึ้นฝั่งนครศรีธรรมราชนี้คือนางเหมมาลา (บางฉบับว่า ‘เหมชาลา’)
‘ตำนานอุรังคธาตุ’ (บางฉบับ) ของทางฝั่งอีสาน-ล้านซ้าง ก็กล่าวถึงบทบาทของสตรีคือนางอินทสว่างลงรอด มเหสีนางแก้วของบุรีจันอ้วยล่วย ก็มีเรื่องว่าเคยสัมผัสแตะต้องพระบรมธาตุ นั่นคือสมัยก่อนเขาไม่ได้ห้ามสตรีเข้าใกล้หรือแม้แต่สัมผัสพระบรมธาตุ
รูปแบบเจดีย์ทรงระฆังโอคว่ำก็ชัดเจนว่าเป็นแบบลังกา อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพระสถูปประธานมีรายละเอียดองค์ประกอบอย่างอื่นอีกที่ต้องกล่าวไว้ในที่นี้ด้วยคือ
(๑) ฐานประทักษิณเป็นแบบลังกา
(๒) ชุดฐานรองรับองค์ระฆัง ตัวองค์ระฆัง บัลลังก์ สร้างตามอย่างลังกา
(๓) ส่วนยอด เป็นงานบูรณะสมัยอยุธยา พบจารึกเป็นหลักฐานหลายชิ้นด้วยกัน
(๔) วิหารล้อมรอบสถูปประธานที่เรียกว่า ‘ทับเกษตร’ หรือที่มีอีกคำเรียกว่า ‘พระระเบียงตีนธาตุ’ เป็นงานสร้างที่มีรากฐานมาจากการบูรณะสมัยอยุธยา แต่มีความเชื่อกันว่าสร้างสมัยธนบุรี เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ชนะศึกปราบเจ้านครหนู ก็อาจมีการบูรณะวิหารทับเกษตรด้วยก็อาจเป็นได้
(๕) วิหารพระทรงม้ากับวิหารเขียน เป็นงานสร้างสมัยอยุธยา มีรอยพระพุทธบาทจำลอง มีบันไดที่คล้ายกับเป็นทางขึ้นเดิมสู่องค์ระฆังพระบรมธาตุ ข้างบันไดมีทวารบาลที่มีการสร้างความเชื่อว่าเป็นท้าวขัตุคามกับท้าวรามเทพ (ที่รวมร่างกันเป็น ‘ท้าวจตุคามรามเทพ’ นั่นแหล่ะ) แต่ทั้งสองท้าวนี้ก็พบมีที่เขาขุนพนมด้วย อดรวมร่างด้วย เพราะเขาขุนพนมมุ่งเน้นนำเสนอตำนานใหม่เรื่องพระเจ้าตากสินฯ มาผนวชอยู่ที่นั่น
ความเหมือนที่แตกต่างของพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราชนี้ได้รับการยืนยันจากหลักฐานจดหมายเหตุของชาวศรีลังกาเอง โดยวิลพาเค (Vilbaga) ขุนนางศรีลังกาที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีและขอพระภิกษุสงฆ์จากอยุธยาในสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศไปฟื้นฟูพุทธศาสนาที่ศรีลังกา ได้เคยแวะพักและซ่อมแซมเรืออยู่ที่นครศรีธรรมราช ได้มีบันทึกกล่าวถึงพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราชว่า สูงใหญ่ทัดเทียมกับมหาเจดีย์รุวันเวลิเสยะที่นครโปลนนารุวะของศรีลังกา
ประเพณีแห่ผ้าไป ‘ชุธาตุ’ (บูชาพระธาตุ) ก็เป็นประเพณีที่อ้างอิงความสืบเนื่องมาจากตำนาน ที่กล่าวถึงการนำผ้าลงเรือผ่านมาจากศรีลังกาแล้วมาล่มลง ต่อมาได้มีการนำเอาผ้าเหล่านั้นแห่มาห่มคลุมพระธาตุ ซึ่งสะท้อนบทบาทในอดีตของเมืองนครศรีธรรมราชในฐานะเป็นเมืองใหญ่ควบคุมเส้นทางตัดข้ามคาบสมุทรอย่างแม่น้ำตรัง
อย่างไรก็ตาม การแห่ผ้าพระธาตุไม่ได้แห่มาเฉพาะเพื่อห่มคลุมองค์พระบรมธาตุเจดีย์ หากแต่ยังมีการห่มคลุมเจดีย์บรรจุอัฐิบุคคลสำคัญที่เป็นบรรพชนของแต่ละคนด้วย ประเพณีแห่ผ้าพระธาตุเป็นการผสมผสานกันระหว่างพุทธกับผีนั่นเอง
ดังที่แสดงให้เห็นไว้ข้างต้นก็คือในความเป็นศรีลังกา มีความเป็นอยุธยาปะปนอยู่ด้วย เพราะสมัยอยุธยา ราชสำนักที่ส่วนกลางได้ให้ความสำคัญแก่พระบรมธาตุเจดีย์เมืองนครศรีธรรมราชมาก จนดูเหมือนอย่างอยุธยาจะยอมรับความยิ่งใหญ่ในอดีตของนครศรีธรรมราชอยู่โดยนัยด้วย ดังจะเห็นได้จากการให้เป็นหัวเมืองเอกที่มีบทบาทควบคุมหัวเมืองอื่นในภาคใต้ตลอดมา
นอกจากจารึกที่เกี่ยวข้องกับการบูรณะโดยราชสำนักอยุธยาแล้ว ราชสำนักอยุธยายังมีบทบาทบาทมากต่อการฟื้นพุทธศาสนาด้วยวิธีการที่เรียกว่า ‘กัลปนา’ ถวายข้าพระโยงสงฆ์ วัด และที่ดินสำหรับทำการผลิตหุงหาอาหารเพื่อถวายเป็นจังหันแก่นักบวชในศาสนสถาน พบการกัลปนาในภาคใต้โดยเฉพาะแถบไชยา นครศรีธรรมราช ลงไปจนถึงพัทลุง เกือบทุกครั้งของการกัลปนาจะพบการกล่าวถึงการบุกรุกทำลายและปล้นสะดมภ์จากคนต่างศาสนา
‘คนต่างศาสนา’ ที่ว่านี้เรียกโดยรวมว่า ‘อุชงคตนะ’ บ้าง, ‘แขกสลัด’ บ้าง, ‘ยักษ์ตีชวา’ บ้าง ผู้คนเหล่านี้มาจากไหน ดินแดนต้องสงสัยมีตั้งแต่จากเกาะชวา, ยะโฮร์, ไทรบุรี, มะละกา ฯลฯ รูปแบบการรุกรานของกองทัพที่มาจากบ้านเมืองทางใต้ลงไปและหมู่เกาะ แตกต่างจากสงครามพม่าที่อยุธยาเผชิญ เพราะเมื่อสงครามจบลง ก็จะมีการกวาดต้อนผู้คนของบ้านเมืองฝ่ายแพ้ไปเป็นกำลังของบ้านเมืองที่ชนะ แต่การรุกรานที่นครศรีธรรมราชกับพัทลุงเผชิญในสมัยอยุธยานั้น เมื่อสงครามจบลงแล้ว มักจะนำไปสู่การส่งคนของบ้านเมืองที่ชนะเข้ามาตั้งรกรากในดินแดนของเมืองที่แพ้
ดังนั้น การกัลปนาตามวิถีดั้งเดิมของศาสนา ที่มุ่งเน้นส่งคนเข้าไปตั้งชุมชน จึงเป็นวิธีการเหมาะสมที่สุดเท่าที่คนในราชสำนักอยุธยาจะคิดอ่านได้ในสมัยนั้น และในกระบวนการกัลปนาหัวเมืองภาคใต้นี้จะเห็นได้ว่า อยุธยาค่อนข้างจะให้ความสำคัญแก่วัดพระมหาธาตุเมืองนครศรีธรรมราช และอีกวัดคือวัดเขียนบางแก้วที่พัทลุง (ปัจจุบันคือวัดพระบรมธาตุเจดีย์เขียนบางแก้ว อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง)
ทั้ง ๆ ที่เคยยิ่งใหญ่และเป็นอิสระมายาวนานบนคาบสมุทร แต่ทำไมพอถึงราวปลายพศว.๑๙ นครศรีธรรมราชกลับเสื่อมถอยลง จนต้องหันไปพึ่งพาอำนาจของอยุธยา จนถูกผนวกรวมเข้ากับอาณาจักรอยุธยาในเวลาต่อมา
เรื่องนี้ตำนานได้อธิบายว่า เป็นเพราะนครศรีธรรมราชเผชิญโรคห่าระบาดหนักมาก ผู้คนล้มตายไปมาก ขณะที่พระเจ้าอู่ทอง สามารถรับมือและจัดการกับโรคห่าได้ดีกว่า และได้ยื่นความช่วยเหลือต่าง ๆ นานา นอกจากนี้ในประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา ยังมีบุคคลสำคัญที่มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับการถูกส่งมาจากอยุธยาเพื่อไป ‘เซฟนคร’ หรือด้วยวัตถุประสงค์อื่น เช่น การลงโทษเนรเทศ เป็นต้น
บุคคลเหล่านี้มีทั้งคนที่มีไม่มีตัวตนอย่างศรีปราชญ์ และบุคคลที่มีตัวตน อาทิ ‘ออกญารามราชท้ายน้ำ’ ขุนศึกสมัยสมเด็จพระนเรศวร, ‘ออกญาเสนาภิมุข’ (ยามาดะ นากามาสะ) สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง, ‘ออกญารามเดโช’ สมัยสมเด็จพระนารายณ์, ‘เจ้าพระยาไชยาธิเบศร์’ สมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นการอธิบายแต่ด้านที่อยุธยาส่งมาคนลงมามีอิทธิพลในเมืองนครศรีธรรมราช ยังไม่ค่อยมีคำอธิบายด้านที่คนจากนครศรีธรรมราชขึ้นมามีอิทธิพลต่ออยุธยาเท่าไรนัก
อย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่า ‘คนคอน’ เนื่องจากมีความชำนาญในการเดินเรือและทำมาค้าขาย จึงเป็นที่ต้องการของบ้านเมืองในภาคพื้นสมุทร อีกทั้งนักบวชทั้งพราหมณ์ พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา และนักโฮดาในศาสนาอิสลาม ต่างเป็นกลุ่มที่ได้รับอนุญาต (ในระดับสากล) ให้สามารถเดินทางจาริกแสวงบุญไปยังบ้านเมืองต่าง ๆ มาก
ตาม ‘ตำนานพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราช’ ได้กล่าวว่ามีการส่งพราหมณ์อินเดียจากนครศรีธรรมราชขึ้นมาที่อยุธยา สำหรับทำหน้าที่ดูแลการส่งข้าวของจากอยุธยาไปถวายแด่พระเทวรูป ณ สถานโบสถ์พราหมณ์ที่นครศรีธรรมราช (คาดว่าคือเทวสถานหอพระนารายณ์กับหอพระอิศวร ในตัวเมืองนครศรีธรรมราช)
พระภิกษุรูปสำคัญที่มีเรื่องว่าพื้นเพเดิมอยู่ที่นครศรีธรรมราช ได้เดินทางมาที่อยุธยา ก็มีเช่น พระอาจารย์สี (บางแห่งเขียน ‘ศรี’) ในสมัยอยุธยาตอนปลาย แรกเริ่มเดิมทีจำพรรษาอยู่ที่วัดพรหมกัลยาราม (วัดใหม่ศรีโพธิ์ในปัจจุบัน) ต่อมาได้เลื่อนเป็นพระสังฆราชา เจ้าอาวาสวัดพนัญเชิง เมื่อพม่าล้อมกรุงใกล้กรุงแตกพ.ศ.๒๓๑๐ พระอาจารย์สีกับลูกศิษย์ลูกหาและญาติโยมได้อพยพลี้ภัยกลับไปอยู่นครศรีธรรมราช และเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ตีก๊กเจ้านครหนูแตก ก็ได้อาราธนาพระอาจารย์สีมาเป็นพระสังฆราชาที่กรุงธนบุรี มีบทบาทในการฟื้นฟูพุทธศาสนาสมัยธนบุรี
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของบทบาทสตรี หนึ่งในพระสนม ๔ องค์ ของกษัตริย์อยุธยา องค์หนึ่งมาจากนครศรีธรรมราช คำว่า ‘แม่หยัว’ ที่กร่อนมาจาก ‘แม่อยู่หัว’ ก็เป็นคำกร่อนตามสำเนียงคนใต้ คนสุพรรณ คนลพบุรี คนสุโขทัย ไม่มีกร่อนแบบนี้
มีเรื่องสตรีแล้ว ก็มีเรื่องของคนหลากหลายทางเพศ (Lgbtq+) ‘ท้าวพรหมกันดาล’ หรือ ‘ท้าวทรงกันดาล’ (อู่) ก็เป็นอีกบุคคลสำคัญที่ถูกลืมไปในประวัติศาสตร์อยุธยา-นครศรีธรรมราช เรียกได้ว่าเป็น ‘ตัวละครลับ’ หนึ่งใน ‘คนคอน’ ที่อยุธยา สำหรับผู้เขียนเห็นว่าเป็นตัวละครในประวัติศาสตร์ไทยสมัยอยุธยาที่มีความน่าสนใจยิ่งกว่า ‘แม่หยัว’ ใด ๆ
ไม่ใช่เฉพาะแต่สำหรับชาวนครศรีธรรมราช พระบรมธาตุเจดีย์เมืองนครศรีธรรมราชเป็นสิ่งสำคัญระดับภูมิภาคที่เรียกว่า ‘คาบสมุทรมลายู’ หรือ ‘คาบสมุทรไทย’ (เดิมไม่ได้แบ่งเป็นตอนบนเป็นคาบสมุทรไทย ตอนล่างเป็นคาบสมุทรมลายูหรอกนะขอรับ)
จากเดิมที่เป็นมหาสถูปอยู่นอกตัวเมืองตามคติลังกาในสมัยเมืองพระเวียง สู่การเป็น ‘วัดมหาธาตุ’ อยู่ตรงกึ่งกลางเมืองในสมัยอยุธยา เป็นสิ่งสะท้อนการรับอิทธิพลและปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย, ลังกา, จีน, ขะแมร์, ศรีวิชัย, ชวา, มลายู, อยุธยา, ธนบุรี, รัตนโกสินทร์ เป็นต้น
ช่วงหลังมานี้ชาวทุ่งสง มีแนวคิดที่จะแยกตัวเป็นเอกราชจากนครศรีธรรมราช แต่ก็ติดขัดตรงที่ประชาชนส่วนหนึ่งรู้สึกว่าหากแยกออกไปแล้ว จะทำให้ตนต้องแยกจากพระบรมธาตุด้วย หรอบเดียวกับชาวบัวใหญ่ไม่ปรารถนาแยกตัวเป็นอิสระจากนครราชสีมา เพราะกลัวว่าจะไม่ได้เป็นลูกหลานย่าโม ต้องรอจนกว่าชาวอำเภอที่คิดอ่านเป็นเอกราชนี้จะมีประดิษฐกรรมทางวัฒนธรรมอย่างอื่นมาแทนที่ความสำคัญได้ แต่คงยากเพราะประดิษฐกรรมแบบนี้มีพื้นฐานมาจากความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทนหรือบดบังได้
แต่อย่างไรก็ตาม อย่างที่บอกคืออันพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราชนี้มีความสำคัญระดับภูมิภาค ต่อให้ไม่ใช่ ‘คนคอน’ ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเข้าถึงได้ การปล่อยให้คนไม่ว่าที่ใดอยู่อย่างโดดเดี่ยวต้องต่อสู้กับความขัดแย้งทางสังคมวัฒนธรรมเพียงลำพังนั้นขนาดคนโบราณรุ่นอยุธยา เขายังรู้เลยว่าไม่ควรประพฤติทำแบบนั้น
มากกว่าการเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม การเป็นมรดกโลกอาจเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยตอบโจทย์ในเรื่องนี้ได้ เป็นเรื่องที่ควรสนับสนุนและหาหนทางกันต่อไป...
เรื่อง: กำพล จำปาพันธ์
ภาพ: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
อ้างอิง:
Noonsuk, Wannasarn. (Ed.). Peninsular Siam and Its Neighborhoods: Essays in Memory of Dr. Preecha Noonsuk. Nakhon Si Thammarat: Cultural Council of Nakhon Si Thammarat Province, 2017.
The Crystal Sands: The Chronicles of Nagara Sri Dharrmaraja. Edited and translated by David K. Wyatt, Ithaca, New York: Southeast Asia Program Department of Asian Studies Cornell University, 1975.
เกรียงไกร เกิดศิริ. พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช: มรดกพุทธศาสนา สถาปัตยกรรม ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาเถรวาทแห่งคาบสมุทรภาคใต้. นครศรีธรรมราช: สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช, 2561.
จดหมายเหตุเจมส์ โลว์. แปลโดย นันทา วรเนติวงศ์, กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2542.
ชวน เพชรแก้ว และ ปรีชา นุ่นสุข. กำแพงเมือง: มรดกทางวัฒนธรรมของชาวนคร. นครศรีธรรมราช: วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, 2520.
ชุกรี, อิบรอฮีม. ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรมลายูปะตานี. แปลโดย หะสัน หมัดหมาน และ มะหามะชากี เจ๊ะหะ, ปัตตานี: สถาบันสมุทรรัฐเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, 2541.
ตำนานพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราช. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนกร, 2473.
ถนอม พูนวงศ์. ประวัติศาสตร์เมืองนครศรีธรรมราช. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์, 2550.
นิธิ เอียวศรีวงศ์. “นครศรีธรรมราชในราชอาณาจักรอยุธยา” กรุงแตก, พระเจ้าตากฯ และประวัติศาสตร์ไทย: ว่าด้วยประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์นิพนธ์. กรุงเทพฯ: มติชน, 2538.
บัญชา พงษ์พานิช. เรียนรู้ บูชา พระบรมธาตุเมืองนคร. นครศรีธรรมราช: วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร, 2547.
ประชุมพงษาวดารปากใต้ในสยามประเทศ (ฉบับชำระใหม่). กรุงเทพฯ: สยามปริทัศน์, 2566.
ประภัสสร์ ชูวิเชียร. พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช มหาสถูปแห่งคาบสมุทรภาคใต้. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, 2553.
ปิยะชาติ สึงตี. “การศึกษาเปรียบเทียบบทบาทของเมืองท่าปัตตานี นครศรีธรรมราช และสงขลา ระหว่าง พ.ศ.2133-2231” ปริญญานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2550.
รวมเรื่องเมืองนครศรีธรรมราช. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2505.
ศรีศักร วัลลิโภดม. “นครศรีธรรมราชกับประวัติศาสตร์ไทย” อู่อารยธรรมแหลมทองคาบสมุทรไทย. กรุงเทพฯ: มติชน, 2546.
สุรเชษฐ์ แก้วสกุล และ สามารถ สาเร็ม. มหัคฆภัณฑ์วัณณนา: เครื่องพุทธบูชาพระมหาธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช. นครศรีธรรมราช: อักษรการพิมพ์, 2565.