07 มี.ค. 2562 | 10:10 น.
จินตนัดดา ลัมะกานนท์ หรือที่เรารู้จักเธอในชื่อ “แป้งโกะ” กลายเป็นที่รู้จักเป็นวงกว้างจากการได้เล่นเอ็มวีเพลง “เบา เบา” ของวงซิงกูล่าร์ ซึ่งในเวลาเดียวกันตอนนั้นเธอก็เริ่มต้นปล่อยคลิปการร้องเพลงของตัวเองลงบนสื่ออนไลน์อย่างยูทูบ จนมีคนติดตามเป็นจำนวนมากและกลายเป็น “เน็ตไอดอล” คนโปรดของหนุ่มๆ หลายๆ คน นอกจากหน้าตาน่ารักๆ ที่ว่าแล้วนั้นเสียงร้องกับความชอบที่ไม่เหมือนใคร กลายเป็นความพิเศษที่ทำให้เธอสามารถสร้างลายเซ็นต์ของตัวเองบนวงการบันเทิงได้ไม่ยาก ปัจจุบันแป้งโกะ เป็นทั้งนักร้อง นักแสดงร่วมถึงเป็นนักศิลปะ (อีกมุมหนึ่งที่หลายคนยังไม่รู้) และผลงานออกมาอย่างเรื่อยๆ วันนี้เราได้มีโอกาสนั่งพูดคุยกับเธอคนนี้ในหลายประเด็น เธอจะมีความเห็นอย่างไรกับคำว่า “เน็ตไอดอล” ที่ปัจจุบันมันกลายเป็นคำในแง่ลบ รวมถึงเล่าย้อนกลับไปว่างานศิลปะ, ดนตรี และการแสดง ทำให้อดีตคนที่ติสท์แบบไม่แคร์ใครสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองบนเส้นทางบันเทิงได้อย่างไร The People : อัปเดตชีวิตช่วงนี้หน่อย แป้งโกะ : ก็ช่วงนี้ใช่ไหมคะ เพิ่งมีเป็น Cover project ค่ะ ก็ 3 เพลงเพิ่งปล่อยออกมาสดๆ ร้อนๆ เลย แล้วก็ตอนนี้ก็มีละครออนแอร์อยู่ แต่ว่าก็ใกล้จะจบเต็มทีแล้วค่ะ คือจริงๆ เรื่องงานแสดง ตั้งแต่ปีที่แล้วก็เหมือนแบบ...เหมือนเวลามีคนส่งบทมาให้ เราก็ดูเวลาที่เราได้ด้วย ก็พยายาม เรื่องไหนน่าสนใจจริงๆ เราก็เล่น แต่ว่าก็พยายามรับให้มันมีช่วงว่างบ้างอะไรบ้าง มันจะได้เหมือนแบบมาโฟกัสเรื่องเพลงได้ แต่ว่าสรุปก็ไม่ค่อยว่างเลย เพลงก็เลยหายไปแป๊บหนึ่ง แต่ว่าถามว่าถ้าหลังจากนี้อยากโฟกัสอะไร ก็แอบอยากกลับมาโฟกัสเรื่องเพลงเหมือนกัน เพราะว่ารู้สึกว่าสุดท้ายมันก็ยังเป็นสิ่งที่เราชอบทำอยู่ค่ะ The People : ย้อนความกลับไปหน่อยอะไรดลใจให้ตั้งกล้องถ่ายคลิปตัวเองจนกลายเป็นเน็ตไอดอล แป้งโกะ : คือจริงๆ ช่วงนั้นคนไทยยังไม่ค่อยมีทำมั้ง แต่แป้งเป็นคนที่ชอบร้องเพลง แต่ว่าตอนเด็กๆ จะไม่ค่อยกล้าแสดงออกกับใคร อย่างเช่น มีวงกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยชื่อวงว่าวง ‘ออด๊าซ’ ค่ะ ตอนนั้นวงออกัสกำลังดังใช่ไหม แล้วก็ไม่เคยได้เล่นเลย พอจะเล่นปุ๊บ เราก็จะตื่นเต้น กลัวเวที มันก็เลยมีความรู้สึกว่าเออ เราชอบร้องคนเดียวอยู่ที่บ้าน แล้วก็อัดไว้ฟังเองบ้างอะไรบ้าง เคยมีคนชวนไปประกวด ก็ไม่กล้าไป ก็กลายเป็นว่าโอเคเออ เราอัดแล้ว เราโอเค เรารู้สึกว่าเราพอใจอยู่คนเดียวแล้ว เราไม่ตื่นเต้นด้วย เราก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นทางที่ดีที่สุดที่เราจะได้ร้องเพลง แล้วก็ช่วงนั้นเนี่ยกระแส Youtube เหมือนเมืองนอกมันเริ่มมาเยอะแล้ว เมืองไทยตอนนั้นที่แป้งได้ดูก่อนที่ตัวเองจะทำ cover อีกก็คือ Room39 ก็เหมือนแบบเป็น channel แรกๆ ที่เราไป follow ด้วย ก็เลยลองๆ ทำแล้วก็ลองๆ ดู ก็เออ มันก็ได้อยู่นะ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะอัพโหลดลงไปนะคะ เพราะว่าอย่างที่บอกว่าเราก็กลัวว่าเดี๋ยวคนจะแบบ...แกเป็นใคร มาลงอะไร คือตอนนั้นมันไม่ได้เหมือนกับว่าทุกคนมีสื่อเป็นของตัวเองเหมือนตอนนี้ The People : ถ้าวันนั้นไม่ได้ลงคลิป คิดว่าทุกวันนี้จะทำอะไร แป้งโกะ : แป้งว่าจริงๆ ถ้าตอนนั้นเราไม่ได้ลงนะคะ ก็คง...ไม่ได้มาเป็นนักร้อง พูดตรงๆ The People : สมมติว่าถ้าอยู่ในยุคนี้ คิดว่าจะได้เป็นเน็ตไอดอลไหม แป้งโกะ : ถ้าอยู่ในยุคนี้เอาจริงๆ แป้งก็ว่าไม่นะคะ คือแป้งว่าสมัยนั้นคนใช้อินเทอร์เน็ตก็จะใช้เป็นเหมือนแบบ Pantip Hi5 เด็กๆ หน่อยก็จะมีแบบ Sanook Dek-D MThai ใช่ไหมคะ แต่ว่าไม่ได้ใช้ในการพรีเซนต์ตัวเองออกมาขนาดนั้นค่ะ มันก็จะมีพวกไดอารี่ออนไลน์ แต่ว่าแป้งก็เชื่อว่าทุกคนไม่ใช่คนที่จะชอบมานั่งอ่านอะไรมาก ก็เลยรู้สึกว่าเออ ถ้าเป็นสมัยนี้ เอาจริงๆ เราก็สู้เขาไม่ได้นะ เหมือนเด็กเดี๋ยวนี้บางทีเป็นใครก็ไม่รู้ แต่ว่าไอเดียเขาสร้างสรรค์มากเลยในการที่เขาจะทำคอนเทนต์ ทำอะไรให้ตัวเองน่าสนใจขึ้นมา แล้วก็แป้งรู้สึกว่า...ไม่รู้ ความคิดสร้างสรรค์เขาไปไกลกว่าเรามาก เมื่อก่อนเราโชคดีที่คนกลุ่มนี้ยังไม่เยอะมาก เราชอบเขียนเรื่องราว ชอบถ่ายรูป การที่เมื่อก่อนแป้งพกกล้องไปเดินห้าง ทุกคนมองว่ามันเป็นความแปลกเหมือนแบบทำไมต้องพกกล้องไปทุกที่ด้วย เป็นนักท่องเที่ยวเหรอ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ทุกคนมีกล้อง ทุกคนถ่ายรูปสวย ทุกคนสามารถสร้างสรรค์อะไรก็ทำลงเน็ต ซึ่งแป้งว่าแบบโห ถ้ามองว่าเป็นคู่แข่ง นี่คือคู่แข่งเยอะมาก ถ้าเดี๋ยวนี้คงมีสิทธิ์ที่คนจะรู้จักเรา แต่อาจจะไม่ได้เยอะเท่าเมื่อก่อน