29 พ.ค. 2562 | 16:43 น.
แม้จะจบการศึกษาเพียงชั้นมัธยมต้น มีฐานะแค่ปานกลาง และเคยผ่านชีวิตคู่ที่ไม่ค่อยสมหวัง แต่ชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยวอย่าง “อุ๋ย” ก็ยังคงมีความเป็นอยู่เรียบง่ายไม่ลำบากลำบน เธออยู่บ้านช่วยพี่สาวขายของและไข่ไก่ จนกระทั่งวันหนึ่งระหว่างทางกลับจากไปเยี่ยมบ้านพี่ชาย ชีวิตเธอก็ถูกกดทับจนดิ่งลงจุดต่ำสุด จากสิ่งเล็ก ๆ น้ำหนักไม่ถึงสองกรัมที่เรียกว่า “ยาไอซ์” การตัดสินใจยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหาไม่ขอต่อสู้คดี ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา แต่นั่นก็ยังคงหมายถึง 2 ปี 9 เดือน ช่วงเวลาที่เธอถูกจำกัดอิสรภาพ และถูกตัดสินให้พรากจากลูกน้อยทั้งสามคน หนึ่งในนั้นเพิ่งมีอายุเพียงแค่ไม่กี่เดือนตอนที่ผู้หญิงวัยสามสิบคนนี้ก้าวผิดพลาดไป “ถ้าเราทำผิดจริงก็ต้องยอมรับ” อุ๋ยพูดตรงไปตรงมาอย่างซื่อ ๆ เธอยอมรับว่าจุดเริ่มต้นมาจากการที่เป็นคนสูบบุหรี่มาก่อน และอยู่ใกล้เพื่อนสนิทที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ทำให้เธออยากรู้อยากลอง พอได้ลองแล้วรู้สึกสนุก เลยเริ่มใช้ยามาเรื่อย ๆ บางครั้งเธอบอกกับตัวเองว่าไม่ได้ติดยา แต่เมื่อรู้ตัวอีกทีก็แทบจะขาดมันไม่ได้ จากที่เสพเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อความสนุกสนาน พอได้รู้จักคนในวงการยิ่งทำให้หาของได้ง่าย และมีราคาถูกลง เธอยิ่งใช้มากขึ้น เก็บไว้กับตัวเองเยอะขึ้น กลายเป็นวงจรที่พาตัวเธอดำดิ่งลงไปเรื่อย ๆ อุ๋ยบอกว่าตอนนั้นเงินทองที่หาได้ส่วนใหญ่หมดไปกับยาเสพติด ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับคิดแล้วเธอคิดได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่ตอนนั้นเธอก็ยังไม่ยอมหยุดแม้มีเพื่อนรักของเธอที่ต้องโทษคดียาเสพติด พยายามจูงใจชวนให้เธอเลิก น่าเสียดายที่สิ่งที่ทำให้หยุดเสพได้คือลูกกรง ที่ต้องแลกมาด้วยอิสรภาพของเธอ วันแรกที่เข้าไปทุกอย่างในชีวิตเธอต้องปรับเปลี่ยนชีวิตความเป็นอยู่ใหม่หมด มีการตรวจค้นตัวนับจำนวนคนตลอดเวลา อาหารการกินเป็นเวลา จากห้องนอนส่วนตัวกลายเป็นต้องหลับนอนร่วมกับคนอื่นอีกเกือบ 2 โหล แม้จะงุนงงในช่วงแรก ด้วยความที่เธอเป็นคนเรียบง่ายไม่ค่อยยึดติดอะไร เธอใช้เวลาไม่นานเพื่อปรับตัวและยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่สิ่งเดียวที่เธอยังห่วงและไม่อาจวางใจได้คือครอบครัว ทั้งลูกสามคนที่เธอฝากไว้ให้พ่อแม่เป็นคนเลี้ยง ทั้งตัวพ่อแม่ของเธอเองมีภาระเพิ่มขึ้น เธอเลยสัญญาว่าจะไม่ก้าวพลาด ไม่กระทำผิดซ้ำอีกแล้ว เพื่อออกไปเป็นกำลังช่วยพ่อแม่และครอบครัวให้เร็วที่สุด “ก่อนมาอยู่ในนี้เคยดูเรื่อง Prison Break ชอบไมเคิล สกอฟิลด์ มาก คิดว่าได้กลับออกไปจะดูอีกสักรอบ จริง ๆ แล้วในเรือนจำไม่ได้น่ากลัวอย่างในหนังเลย สะอาดกว่ามาก ทั้งเรือนนอน ห้องน้ำ แผนกทำอาหารทำขนม เพราะการใช้ชีวิตอยู่รวมกันเป็นร้อย ๆ คน ความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ตอนแม่มาเยี่ยมครั้งแรก เรารีบบอกเลยว่าไม่ต้องเป็นห่วง ข้างในสะอาดมาก ไม่ต้องกลัวคำว่าคุก” ภาพความเป็นจริงเรือนจำแตกต่างจากในจินตนาการของคนทั่วไปมาก ทั้งในเรื่องความสะอาด การรักษากฎระเบียบ รวมไปถึงการดูแลความเป็นอยู่ของคนในนั้นไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน โดยเฉพาะน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามา อุ๋ยเปรียบเทียบอย่างติดตลกว่าการมาอยู่ข้างในนี่ เหมือนเข้าโรงเรียนประจำ ที่มีเพื่อนร่วมโรงเรียนเป็นร้อยชีวิต บางคนโชคดีอยู่ไม่นานก็จบการศึกษาได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอกอีกครั้ง ด้วยการที่เธอเป็นคนร่าเริง มีเสียงหัวเราะอยู่ตลอดเวลา ทำให้เข้ากับเพื่อนได้ง่าย กิจกรรมที่เธอถนัดเป็นพิเศษคือการร้องเพลง ร่วมกับทางวงดนตรีซังเตแบนด์ ซึ่งช่วยทำให้ไม่รู้สึกเครียดมาก แต่สิ่งเดียวที่เธอคิดถึงอยู่ตลอดเวลาคือ ลูก ๆ ของเธอ แม้ว่าเธอเข้ามาอยู่ในนี้ขณะลูกยังจำความไม่ได้ แต่แม่ก็พาลูกมาเยี่ยมอยู่อย่างสม่ำเสมอทำให้ลูกชายวัยสองขวบจำหน้าแม่ของเขาได้ “ไม่เคยเลย ไม่เคยแอบร้องไห้แม้แต่ครั้งเดียว เราบอกกับตัวเองว่าทุกอย่างอยู่ที่การยอมรับ ถ้ารับได้เราก็อยู่อย่างมีความสุข ถ้าใจเราทุกข์ทุกอย่างก็ทุกข์ไปหมด อยู่ที่ไหนก็ได้ถ้าใจเราสุขเราก็เป็นสุข แล้วรู้จักพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส การมีวิชาชีพ การฝึกอาชีพ เรารีบเก็บเกี่ยวไว้ โอกาสที่จะเสียเงินไปเรียนเองมันยาก คอร์สหนึ่งราคาหลายหมื่น แถมเรียนแล้วจะได้เอาไปใช้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่อยู่ในนี้มีทั้งการอบรมอาชีพ อบรมการทำสมาธิช่วยขัดเกลาจิตใจ มีวงดนตรีมาเล่นให้ฟัง มันเป็นโอกาสดี ๆ ให้พวกเราผู้ก้าวพลาด” วิชาชีพที่ผู้ก้าวพลาดอย่างอุ๋ยเลือกเรียนรู้คือการชงกาแฟ ที่เธอได้โอกาสจากทางเรือนจำ ในการไปฝึกอาชีพโดยมีอาจารย์มาฝึกสอนการชงกาแฟประเภทต่าง ๆ แบบตัวต่อตัว ซึ่งคอร์สนี้ถ้าไปเรียนข้างนอกอาจจะมีค่าใช้จ่ายหลายหมื่นบาท รวมกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อย่างเช่นค่านมที่หมดไปเกือบวันละ 40 ลิตร เธอได้ใช้วิชาการชงกาแฟในเวลาดูแลผู้มาเยี่ยมชมภายในเรือนจำ ที่เธอทำได้ดีและได้รับคำชมอยู่จากผู้ที่ได้มาลองชิมกาแฟฝีมือเธออยู่บ่อยครั้ง ทำให้เธอค้นพบว่าตัวเองฝันอยากเป็นบาริสต้า ทางเรือนจำจังหวัดจันทบุรี ได้รับการสนับสนุนจาก กรุงศรี ออโต้ ในการสร้างร้านกาแฟบนต้นไม้ Inspire by Princess บริเวณ โครงการเรือนจันแลนด์ เพื่อให้ผู้ก้าวพลาดได้มีโอกาสฝึกฝนทักษะที่เรียนรู้ ทั้งพนักงานเสิร์ฟ คนขาย คนปรุงอาหาร เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับนำไปประกอบอาชีพสร้างรายได้เลี้ยงตัวเองหลังได้รับชีวิตใหม่เมื่อออกจากที่นี้ไป และที่ร้านกาแฟสดนี้เองที่อุ๋ยได้ใช้เป็นที่พัฒนาฝึกฝนประสบการณ์การชงกาแฟอยู่อย่างสม่ำเสมอ “อยู่ข้างนอกเราไม่มีเงินมีโอกาสได้เรียนคอร์สชงกาแฟแพง ๆ เป็นหมื่นแน่ ทุกวันนี้ถ้ามีอบรมเรื่องอะไรเราเอาหมด เรามีความคิดที่จะเปิดร้านกาแฟ แต่ขอใช้เวลาเก็บตังค์เก็บทุนก่อนดีกว่า เพราะมันใช้ทุนพอสมควร อย่างเราฐานะปานกลางต้องค่อย ๆ เก็บไป แต่ความฝันเราก็ยังคงอยู่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง” แต่กว่าจะถึงวันที่ได้รับอิสรภาพ เธอต้องผ่านอะไรมามากมาย จากวันแรก ๆ ที่เข้าไปเธอเล่าให้ฟังว่าเธอแอบขีดกำแพงเพื่อนับวันเวลาที่ผ่านไปเหมือนในภาพยนตร์หลายเรื่อง แต่พอทำได้ไม่นานก็เลิกไป แล้วหันไปโฟกัสกับกิจกรรมและงานที่อยู่ตรงหน้า ทั้งการฝึกอาชีพ จัดบูธเพื่อรับแขก ซึ่งพวกเธอต้องแบ่งหน้าที่และช่วยกันทำเองทั้งหมด ช่วยให้ได้ฝึกความรับผิดชอบมากขึ้น สิ่งที่เธอฝันว่าจะทำเป็นอย่างแรกเมื่อได้รับโอกาสใหม่คือ การกลับบ้านไปกราบพ่อแม่และหาลูกน้อยทั้งสาม แล้วมองหาลู่ทางประกอบอาชีพสุจริต “เรามีครอบครัวเป็นหลัก สองปีเก้าเดือน ถ้าคิดว่านานก็นาน ถ้าคิดว่าแป๊บเดียวก็ไม่นาน อยู่ที่ว่าออกไปแล้วเราพร้อมที่จะเป็นคนดีประกอบอาชีพสุจริตหรือเปล่า เราบอกกับตัวเองว่า ไม่เอาอีกแล้ว ไม่กลับไปยุ่งกับยาเสพติดอีก เรากลัวติดคุก การติดคุกไม่ได้น่ากลัวอะไร แต่การที่เราขาดอิสรภาพ แทนที่จะมีโอกาสไปหาเงินให้ลูกได้กินนม ได้ไปเที่ยว ไปเรียนหนังสือ เรากลับต้องมาอยู่ในนี้ แล้วมันลำบากกับพ่อแม่เราที่อายุเยอะแล้ว เรื่องนี้เลยช่วยให้เราคิดได้” การก้าวพลาดในวันนั้น ช่วยให้เธอคิดได้ว่าไม่ควรใช้ชีวิตสนุกไปวัน ๆ ต้องรู้จักวางแผนอนาคต ขยันทำงานที่ถูกกฎหมายเพื่อให้ครอบครัวอยู่สบาย ที่ผ่านมาเธอได้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เอาบทเรียนที่มีประโยชน์ในครั้งนี้มาปรับใช้ แล้วกำหนดอนาคตใหม่เอง ด้วยการเลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เปิดรับโอกาสดี ๆ ที่เข้ามาในชีวิต “จริง ๆ ดีใจนะที่โดนจับ ถ้าไม่โดนจับในวันนั้น วันนี้จะเป็นยังไงก็ไม่รู้ อาจจะเสียคนไปมากกว่านี้ บางครั้งในสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็มีสิ่งที่ดีที่สุดซ่อนอยู่ เหมือนทำธุรกิจแล้วเจ๊งสักครั้ง ก็จะรู้แล้วว่าทำไมถึงเจ๊ง เราทำกรรมอะไรเราต้องยอมรับว่าผลจะเป็นอย่างนั้น คนที่ยังไม่เลิกยุ่งเกี่ยวขอให้เลิกเถอะ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือครอบครัว เวลาที่เราเดือดร้อน พวกเพื่อนตายที่มาชวนเราเสพเขาไม่เดือดร้อน ไม่มาหาเราหรอก สุดท้ายเหลือแค่ครอบครัวที่เดือดร้อนกับเรื่องที่เราก่อขึ้น ถ้าเลิกได้เลิกเถอะ เพื่ออนาคตของเรา และคนที่เรารัก”