PURPEECH : ศิลปินที่ไม่ได้ทำแค่เพลง แต่เป็นเพื่อนร่วมทางในทุกจังหวะชีวิต

PURPEECH : ศิลปินที่ไม่ได้ทำแค่เพลง แต่เป็นเพื่อนร่วมทางในทุกจังหวะชีวิต

'Purpeech' ศิลปินที่ไม่หยุดนิ่งในการค้นหาตัวเอง กับเส้นทางดนตรีที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ ความฝัน และความมุ่งมั่น ที่จะอยู่เคียงข้างผู้ฟังในทุกห้วงอารมณ์

KEY

POINTS

  • 5 หนุ่มวง Purpeech เริ่มต้นจากการเป็นกลุ่มเพื่อนที่เล่นดนตรีด้วยกัน พวกเขาทำเพลงแรกเพราะอยากมีเพลงเป็นที่ระลึกก่อนจบการศึกษา
  • ‘หากจะเพียงขอ’ เพลงที่มีเรื่องจริงเป็นแรงบันดาลใจ และทำให้พวกเขามุ่งมั่นสู่การเป็นศิลปิน
  • ส่วนใหญ่บทเพลงของ Purpeech ช่วยปลอบโยนผู้ฟังในทุกช่วงอารมณ์ ไม่ว่าจะเศร้าหรือสุข และเติบโตไปกับผู้คน

จากกลุ่มเพื่อนนักศึกษาที่เล่นดนตรีที่ร้านเหล้าเชียงใหม่ สู่วงอินดี้ที่มีเพลงฮิตติดชาร์ตนับล้านวิว ‘Purpeech’ คือตัวอย่างของความฝันที่เริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ แต่เติบโตขึ้นด้วยมิตรภาพที่ไม่เคยจางหาย

Purpeech (เพอพีช) ประกอบด้วยสมาชิก 5 คน ได้แก่ เล็ก-ศราวุฒิ สุยะเขต (ร้องนำ), ยีนส์-ภูริช สมชื่อ (คีย์บอร์ด), เซ้นต์-สิทธิโชค ตาสา (กีตาร์), คอมพ์-ทรรศนะ เพ็ญจันทร์ (เบส) และเจมส์-จักรพรรณ ธนาศุภณัฏฐ์ (กลอง)

พวกเขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เป็นศิลปิน บางคนตั้งใจจะเป็นครูดนตรี บางคนไม่แน่ใจกับอนาคตของตัวเอง แต่เมื่อได้ลองทำเพลง ก็ทำให้ความฝันที่อยู่ในใจทั้ง 5 คน เริ่มก่อตัวขึ้นมา นั่นคือ การอยากเป็นศิลปิน 

บทสัมภาษณ์นี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 5 หนุ่มวง Purpeech ตั้งแต่จุดเริ่มต้น แรงบันดาลใจ ความหมายของเพลง และเส้นทางสู่การเป็นศิลปิน ที่ถ่ายทอดความรู้สึกผ่านเสียงเพลงอย่างจริงใจเปรียบเสมือน ‘เพื่อนที่อบอุ่น’ ที่คอยอยู่เคียงข้าง

PURPEECH : ศิลปินที่ไม่ได้ทำแค่เพลง แต่เป็นเพื่อนร่วมทางในทุกจังหวะชีวิต

The People : พวกคุณรู้จักกันได้อย่างไร

ยีนส์ : พวกผมเรียนครูดนตรีที่ปลายทางจบมาเป็นครูสอนดนตรีโดยตรง แต่ว่าน้องคอมพ์เรียนศิลปศาสตร์บัณฑิตเป็นดนตรีเพียว ๆ ความเข้มข้นก็จะเยอะกว่า พวกผมเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน 

เซ้นต์ : ตอนเรียนมหา’ลัย มีเล่นดนตรีด้วยกันบ้างแต่น้อยมาก เช่นงานในคณะ ซึ่งนาน ๆ ทีถึงจะได้เล่นด้วยกัน

ยีนส์ : มีเซ้นต์เล่นดนตรีกลางคืน แต่พวกผมยังไม่มีใครเล่น เซ้นต์ก็มาชักชวนเพื่อน ให้มาเล่นดนตรีด้วยกัน เซ้นต์ชวนเจมส์ไปซื้อกลอง ชวนเล็กซื้อกีต้าร์ ชวนผมไปซื้อคีย์บอร์ดไปเล่นที่ร้านเหมือนกันครับ 

เซ้นต์ : แต่ว่ายังไม่ได้ทำวงด้วยกัน มีแค่ผมกับเล็กทำเป็นคัฟเวอร์เพลงลงเพจ เพราะตอนนั้นกระแสเพลงคัฟเวอร์มาแรง แต่พอทำไปสักพักรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเติบโต

เล็ก : มันก็ได้แค่นั้นฮะ ทุกวันนี้เพจนั้นก็ได้ผันตัวมาเป็น Purpeech พวกเราก็ยังใช้ไอดีเดิม

PURPEECH : ศิลปินที่ไม่ได้ทำแค่เพลง แต่เป็นเพื่อนร่วมทางในทุกจังหวะชีวิต

The People : อยากเป็นศิลปินกันอยู่แล้วหรือเปล่า ทำไมถึงเลือกเรียนครูดนตรี

เซ้นต์ : ผมอยากเป็นศิลปินอยู่แล้ว แต่คิดในใจ ไม่ได้บอกใคร ส่วนที่เลือกเรียนครูดนตรี เพราะสมมติว่าเป็นศิลปินแล้ว ถ้าถึงเวลามันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด อย่างน้อยเราก็ยังมีใบประกอบวิชาชีพครูรองรับอยู่

เจมส์ : ผมไม่ได้คิดเป็นศิลปินตั้งแต่แรก ที่เรียนครูดนตรีเพราะว่าชอบดนตรีเฉย ๆ ตอนอยู่มัธยมก็อยู่วงโยธวาทิตด้วย แล้วไม่รู้จะเรียนอะไร ก็เลยเลือกครูดนตรี แล้วหลัง ๆ พอได้มาเล่นดนตรีกับเพื่อนก็เพิ่งมีความรู้สึกว่า เราก็คงอยากเป็นศิลปินอยู่แล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก ๆ 

ยีนส์ : ของผมไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองอยากเป็นศิลปินตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ผมรู้สึกว่าผมชอบอัดเพลงตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว อัดจากโปรแกรมการาจแบนด์ (GarageBand) ในไอโฟน 4 น่าจะเริ่มตอนมัธยมตอนต้นทำมาเรื่อย ๆ ตอนมหา’ลัยก็อัดเพลงอีก ให้เล็กถ่ายคลิปบ้าง ไปอัดเพลงหน้าโรงเรียนกับเซ้นต์บ้าง แต่ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะได้มาเป็นศิลปินจริง ๆ

เล็ก : ผมไม่ได้เป็นคนที่เรียนเก่งอะไรเลย  ม.ปลายก็เรียนได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เริ่มเล่นกีต้าร์ก็เล่นงู ๆ ปลา ๆ ผมไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าอยากเป็นศิลปิน จริง ๆ อาจจะคิดแต่มันอยู่ไกลตัวอย่างที่เซ้นต์บอก แต่ผมเริ่มเขียนเพลงมาตั้งแต่มอปลายแล้วครับ เขียนมาเรื่อย ๆ

คอมพ์ : ผมก็เคยคิดอยากจะเป็นครูดนตรี แต่เรามันกล้าได้กล้าเสียอยู่แล้ว ก็เลยมาเลือกศิลปศาสตร์บัณฑิตไปเลย แต่ตอนเด็ก ๆ พ่อตั้งชื่อให้ว่าคอมพ์ฮะ ก็เลยอยากมาเป็นวิศวะคอมพิวเตอร์กับโปรแกรมเมอร์ แต่พอรู้ว่าการนั่งคอมฯ ทั้งวันกับการเขียนโค้ดมันลำบากปุ๊บ ผมก็เลย เอ้ย! เลิกดีกว่าเลยมาเล่นดนตรี

PURPEECH : ศิลปินที่ไม่ได้ทำแค่เพลง แต่เป็นเพื่อนร่วมทางในทุกจังหวะชีวิต

The People : แล้วมาเล่นดนตรีด้วยกันได้อย่างไร

เล็ก : จริง ๆ พวกผมมีความฝันอยากมีเพลงของตัวเอง ตั้งแต่เรียนปี 1 ผมกับเซนต์เขียนเพลงกันมาสักพักเลยคิดว่าลองทำแบบจริงจังกันไหม แล้วเรารู้จักพี่ที่เขาจัดงานอีเวนต์ที่ร้านเหล้าเพื่อกระตุ้นให้นักดนตรีที่เชียงใหม่เอาเพลงมาแข่งกัน เซ้นต์มีเพลงอยู่พอดีชื่อก็เลยไปลองแข่งดู แล้วก็ชนะ

เซ้นต์ : แรก ๆ ที่เราทำ เราไปหยิบคนมามั่วซั่ว ไปดึงคนเก่งด้านนู้นด้านนี้มา แต่เรารู้สึกว่าเคมีมันไม่เข้ากัน แล้วก็ลืมคิดถึงคนใกล้ตัว เพราะตอนนั้นก็เกรงใจเพราะต่างคนต่างก็มีวงของตัวเอง 

เล็ก : เพจเราชื่อ ‘Story Sixtynine’ แล้วก็ทำเพจมาเรื่อย ๆ มีเจน 1 เจน 2 เราหาสมาชิกมาตลอด แต่ก็ทำเพลงไม่ได้สักที เลยมาจบที่เจน 4 เราก็เอาเพื่อนเรานี่แหละ น่าจะคุยกันง่ายดี เพราะเห็นปลายทางร่วมกัน เริ่มอัดเพลงแรกกับรุ่นพี่ในโฮมสตูดิโอเล็ก ๆ เกิดมาเป็นเพลงแรกชื่อ ‘ตอนนั้นในวันนี้’ ซึ่งยังไม่มีชื่อวงด้วยซ้ำ

The People : แล้วที่มาของชื่อวง Purpeech คืออะไร

เล็ก : เราก็ตั้งชื่อวงมั่ว ๆ เอาชื่อวงตามร้านเหล้าที่เชียงใหม่ที่เราไปเล่นมาบ้าง แต่ก็ไม่เวิร์คสักที เราชอบตัว P แล้วก็ชอบคำว่า พีช (peach) แต่พีชอย่างเดียวมันสั้นไปก็เลยไปดูมาว่าอีโมจิหัวใจสีไหนยังไม่โดนจอง ยีนส์เลยไปดูดวงมาว่าวงเราถูกโฉลกกับสีอะไร พอดีกับยังไม่มีวงไหนใช้อีโมจิหัวใจเป็นสีม่วง ผมก็เลยนี่แหละ เอา purple peach แต่มันยาวไปเลยตัด ple ตรงกลางออก แล้วเปลี่ยนเป็น double e 

The People : พอได้ชื่อวงมาแล้วทำอย่างไรต่อ

เล็ก : พอได้ชื่อวงมา เราก็ลงเพลงในแอปฯ ฟังใจก่อน แต่นึกขึ้นได้ว่ายังไม่มีปกเพลง

ยีนส์ : มันจะมีวันหนึ่งที่พวกผม 4 คน บังเอิญเล่นดนตรีที่ร้านพร้อมกันเวลาเดียวกันก็เลยให้พี่เขาถ่ายรูปให้ แล้วก็สลับกันป้อนเฟรนช์ฟรายส์

PURPEECH : ศิลปินที่ไม่ได้ทำแค่เพลง แต่เป็นเพื่อนร่วมทางในทุกจังหวะชีวิต

เซ้นต์ : เหมือนช่วงนั้นกระแสเพลงอินดี้ lo-fi (Low Fidelity หรือเพลงที่คุณภาพไม่ค่อยดี มีเสียงรบกวน เนื่องจากอัดด้วยอุปกรณ์ราคาถูก) กำลังมา พวกเราก็เลยไม่ได้ให้ความใส่ใจกับคุณภาพสักเท่าไหร่ (หัวเราะ)

ยีนส์ : ตอนนั้นน้องคอมพ์เป็นคนอัดเบสให้ แต่ว่ายังไม่ได้เข้ามาอยู่ในวง

เล็ก : น้องคอมพ์เป็นคนสุดท้าย เข้ามาตอนเพลงที่ 2 ตอนนั้นไม่กล้าชวนเพราะเขามีวงเป็นหลักเป็นแหล่ง

The People : เล่าการทำ MV เพลง ‘ตอนนั้นในวันนี้’ ที่เป็นเพลงแรกให้ฟังหน่อย

เล็ก : พอเพลงติดชาร์ตอันดับที่ 20 ในฟังใจ ผมรู้สึกได้ว่าเพลงนี้มันต้องมี MV ก็เลยไปชวนเพื่อนในสาขาคนหนึ่งที่ชอบถ่ายรูปมาช่วยถ่าย MV ให้แล้วค่าตอบแทนเป็นการเลี้ยงข้าว ผมไปซื้อหนอนทอดให้กิน แต่เพื่อนดันแพ้หนอน (หัวเราะ) 

พวกเราหาสถานที่ถ่ายทำกัน ตอนนั้นไม่มีประสบการณ์อะไรเลย คิดแค่ว่าอยากได้บรรยากาศที่มันลึกลับ เพราะเพลงมันช้า ๆ เนิบ ๆ สุดท้ายได้เป็นที่ห้วยตึงเฒ่า ประจวบเหมาะกับที่ตอนนั้นทำงานร้านเหล้าด้วย ผมก็ไปยืมพร็อพ (อุปกรณ์ประกอบฉาก) ยืมเก้าอี้ และไปถ่ายแบบแทบไม่มีเนื้อเรื่องในหัวด้วยซ้ำครับ รู้แค่ว่าอยากให้ทุกอย่างเป็นสีม่วง แล้วก็ให้เพื่อนไปตัดต่อ

ยีนส์ : สีม่วงที่ตั้งใจมันดันเห็นไม่ชัด เพราะช่วงนั้นฝุ่นเยอะมาก แล้วมันกลบความเป็นสีม่วง มีคนมาคอมเมนต์ว่า “มู้ดดีมากเลย มีหมอกด้วย” ที่ไหนได้ จมูกแทบพังเพราะ PM 2.5 แต่ว่าออกมาสวยนะ สีมันแบบเทาม่วง

เล็ก : นางเอก MV ก็เป็นเพื่อนกัน ส่วนกระจกที่เห็นใน MV จริง ๆ คือกระจกจากตึกเรียน เป็นกระจกตรงบันไดที่เขียนว่า “วันนี้แต่งตัวเรียบร้อยหรือยัง” จำได้ว่าตอนดึก ๆ ไปแกะน็อตขโมยมาใช้ก่อน แต่ผมเอาไปไว้ที่เดิมแล้วนะครับ หมุนใส่คืนกับมือ

The People : ก่อนที่เราจะเริ่มทํา MV หรือปล่อยเพลง เราตั้งเป้าหมายอย่างไรกับเส้นทางสู่ศิลปิน

เล็ก : ตอนนั้นถามว่าจริงจังไหม ผมก็ทำเต็มที่ แต่คำว่าศิลปินตอนนั้นมันดูไกลตัวมาก ๆ ครับ ตอนนั้นก็เลยไม่ได้ตั้งเป้าไกลขนาดนั้น

ยีนส์ : ตอนที่ผมรู้สึกว่าอยากจะเริ่มเป็นศิลปินจริง ๆ คือเพลงที่สองครับ เพลงแรกแค่อยากมีผลงานเป็นที่ระลึกกับเพื่อนก่อนเรียนจบ พอมีเพลงหนึ่งก็ทำให้มันเต็มที่ทุกอย่าง

เซ้นต์ : ตอนนั้นเราคิดแค่ทีละขั้นตอน ทำอันนี้เสร็จก็ไปต่ออันนั้น เราไม่ได้วางแผนไปไกลขนาดนั้น แต่บังเอิญมันดันไปได้ดี

เล็ก : แต่พอได้มาเจอกับเพื่อน ได้คุยกันเรื่องความฝัน ได้เจอคนไทป์เดียวกัน หรือว่าเจอคนที่คิดเหมือนกัน เลยทำให้เรากล้าพูดสิ่งที่อยู่ลึก ๆ ออกมา

เซ้นต์ : คนคิดเหมือนเหมือนกัน ฝันเหมือนกันได้มาเจอกัน รวมกัน ความฝันมันเริ่มก่อตัว

PURPEECH : ศิลปินที่ไม่ได้ทำแค่เพลง แต่เป็นเพื่อนร่วมทางในทุกจังหวะชีวิต

The People : พอทำเพลงที่สอง ‘หากจะเพียงขอ’ ตั้งเป้าหมายอย่างไร

ยีนส์ : เพลงแรกได้ 10,000 วิว พอปล่อยเพลงที่สองได้สักแป๊บหนึ่งมันไปถึงแสน ก็รู้สึกว่าเราคงจริงจังกับสิ่งนี้ได้แล้ว ควรคิดว่าเราจะเป็นศิลปินในอนาคตอย่างไร ตอนนั้นเริ่มมีกลุ่มแฟนคลับด้วยครับ เขาส่งขนมให้จากที่กรุงเทพฯ ด้วยตอนนั้น

เล็ก : ผมเคยตั้งคำถามว่าถ้าสักวันหนึ่งเราดังและเพลงเราถึงล้านมันจะรู้สึกอย่างไร เพลงที่สองมันตอบคำถามนี้ได้ ผมจําได้ว่า ตอนนั้นดีใจมากแบบคำว่ามากยาว ๆ ได้เลย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนฟังขนาดนี้ มันตอกย้ำว่าเราทำได้ แล้วเราก็ภูมิใจ อย่างตอนเราไปที่ที่ไม่รู้จักแล้วเราได้ยินเสียงเพลงเรา มันดีใจที่สุด บางคนอาจจะยังร้องเพลงเราไม่ได้ แต่แค่บังเอิญผ่านไปได้ยินเพลงเราผมก็ดีใจน้ำตาจะไหล 

เซ้นต์ : พอคนมารู้จักเราในผลงานเพลงที่ 2 เขาก็เริ่มอยากรู้จักเรามากขึ้น แล้วก็ย้อนกลับไปดูเพลงแรก มันก็ทําให้วนไปเรื่อย ๆ พอเราปล่อยเพลงใหม่ คนก็ยังกลับไปฟังเพลงเก่าอยู่ แล้วพอเพลงถึงล้านวิวมันไม่ได้ดีใจกันแค่ 5 คน แต่แฟนคลับที่เขาคอยเชียร์เขาแท็กมาว่าถึงล้านแล้ว จากตอนแรกที่ Purpeech หาความหมายวงไม่เจอ แต่หลังจากที่เรารู้ว่ามีแฟนคลับที่น่ารักมันมีความหมายนะครับ 

อีกเรื่องคือตอนนั้นพอเราทำแล้วมันผลิดอกออกผลให้รุ่นพี่รุ่นน้องในวงการนักดนตรีเชียงใหม่ได้เห็นครับ แล้วทุกคนก็เลยหันมาทําเพลงพร้อม ๆ กัน ในวงการเชียงใหม่ตอนนั้นมันสนุกมากเลยครับ ทุกคนปล่อยเพลงกัน

The People : มองคำว่า ‘ศิลปิน’ เปลี่ยนไปจากเดิมไหม

เล็ก : ช่วงแรกคำว่าศิลปินมันดูไกลตัวมาก พอก้าวเข้ามาทําเพลงได้ประมาณหนึ่งกลับไม่กล้าเรียกตัวเองว่าศิลปิน ผมยังเขิน ๆ เพราะรู้สึกว่ามันเป็นคําที่ผยองตนเกินไป แต่ทุกวันนี้กลับกันนะ ผมภูมิใจกับผลงานที่เราได้ทํามาก ๆ จนกล้าเรียกตัวเองว่าผมเป็นศิลปินได้อย่างเต็มปาก ลูกพ่อเป็นศิลปินนะ ลูกแม่เป็นศิลปิน ผมภูมิใจมาก ๆ

เซ้นต์ : ยิ่งเวลามันเดินไปเรื่อย ๆ พอย้อนดูตัวเองเมื่อก่อน รู้สึกว่าเรากับเพื่อน ๆ พยายามมามากเหมือนกัน จนเราสามารถกลับไปบอกไอ้เด็กคนนั้นได้ว่าเราสมควรได้รับมันแล้ว

คอมพ์ : ด้วยความที่เราอยากจะเป็นศิลปินตั้งแต่เด็ก ตอนที่ได้เป็นจริง ๆ ในช่วงแรก ยังแทบไม่เชื่อเลย รู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน แต่พอใช้ชีวิตและทำเพลงไปเรื่อย ๆ เราก็เริ่มภูมิใจกับทุกผลงานที่ปล่อยออกมา ความภูมิใจนี้ทำให้มองคำว่าศิลปินไม่ได้ดูไกลเหมือนตอนเด็ก ๆ อีกแล้ว

The People : เคยมีจังหวะชีวิตที่ยากลำบากไหม แล้วผ่านมาได้อย่างไร

เล็ก : มันก็ยากทุกจังหวะ เพราะทุกครั้งที่มีเพลงที่สําเร็จ มันจะมีอีกด้านหนึ่งที่คิดว่าแล้วถ้าวันหนึ่งมีเพลงที่มันไม่สําเร็จจะทําอย่างไร เราจะยังสําเร็จต่ออยู่ไหม 

ยีนส์ : วิธีปลอบของผมคือผมจะเป็นคนหนึ่งที่กอดเพื่อนบ่อยครับ กอดทุกคน

เจมส์ : ด้วยความที่เป็นเพื่อนสนิทกัน บางทีเราพูดปลอบใจน่ารัก ๆ ไม่เป็น

PURPEECH : ศิลปินที่ไม่ได้ทำแค่เพลง แต่เป็นเพื่อนร่วมทางในทุกจังหวะชีวิต

เซ้นต์ : มันคงเขินที่จะพูดดี ๆ ด้วยกันเหมือนครอบครัว แต่มันก็รู้เองได้โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรเยอะเพราะเราก็รู้สึกว่าเพื่อนให้กำลังใจอยู่

เล็ก : การทำวงดนตรีนี่ยากมากเลยนะ ไม่ได้ยากในการผลิตผลงาน แต่ยากที่จะอยู่ด้วยกัน

ยีนส์ : ด้วยความที่พวกผมเลือกเพื่อนมาทำวง ไม่ได้เลือกจากคนเก่ง มันเลยทำให้พวกผมที่เป็นเพื่อนกันมาก่อนสามารถคุยกันได้

มันมีคำหนึ่งที่เล็กชอบพูดบ่อย ๆ แล้วผมชอบมากคือถ้าสมมติวันหนึ่งเราทะเลาะกัน ให้เราถอดคำว่า Purpeech ออกไป เราก็จะเหลือแค่คำว่าเพื่อน

The People : ลองนิยาม Purpeech ใน 1 ประโยค

ยีนส์ : แรก ๆ จะชอบตอบว่า กลุ่มเพื่อนจากเชียงใหม่ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยเป็นเพื่อนละ (หัวเราะ)

เล็ก : เอาเป็นคำว่า ‘เพื่อนที่อบอุ่น’ ผมคิดว่าเพลงของ Purpeech เป็นเพื่อนสําหรับคนฟังในหลาย ๆ จังหวะ มันไม่ได้ซ้ำเติมเขาจนจมดิน แต่มันเป็นเพลงที่เป็นเพื่อนกัน ยามเศร้าก็ฟัง Purpeech ยามสุขก็ฟัง Purpeech วันไหนอย่างไรก็ฟัง Purpeech ได้ตลอด

The People : เพลงไหนที่สะท้อนความเป็น Purpeech ได้ดี

เจมส์ : ผมคิดว่าทุกเพลง

ยีนส์ : จริง ๆ มันก็เป็น Purpeech ในแต่ละช่วงเวลา เพลงแรกก็อาจจะเป็น Purpeech ในช่วงแรก กลาง ๆ หน่อยอาจจะเป็น Purpeech ช่วงหม่น ๆ กับ Purpeech ช่วงมีความสุข แต่ทุกอย่างล้วนเป็นจังหวะชีวิต

เซ้นต์ :  อยู่ที่ว่าคุณอยากจะให้เพลงนั้นทำหน้าที่ไหนกับคุณ

เล็ก : คุณอาจจะฟัง ‘ทิ้งไว้อย่างพอใจ’ กับ ‘รักรออยู่ไม่ไกล’ แล้วก็ ‘ถ้าเธออยู่ตรงนี้’ ตอนเศร้า แต่เอาจริง ๆ ไม่ว่าสุขหรือเศร้า เพลงเราจะปลอบใจคุณได้แน่นอน 

The People : ‘ตกกะใจทำกันได้ลง’ กลิ่นอายของเพลงแตกต่างจากเพลงก่อนหน้านี้ของ Purpeech อย่างไร

คอมพ์ : เพลงนี้เราตั้งใจทำให้มันแตกต่างด้วยครับ

เล็ก : พอจบอัลบั้มแรกของ Purpeech ไป ได้มีโอกาสไปเล่นหลาย ๆ ที่ก็รู้สึกว่าอยากให้คนเห็น Purpeech ในเฉดสีที่มันสดใสมากขึ้น ชัดเจนมากขึ้น ก็เลยทําเพลง ‘นี่ฉันเอง’ กับ ‘ตกกะใจทำกันได้ลง’ ให้มันสนุกขึ้น เราตั้งใจให้มันแตกต่างกัน

ยีนส์ : เป็นกลิ่นใหม่ ๆ กลิ่นจบอัลบั้มแรกครับ

The People : ที่ลองทำเพลงแบบใหม่ ๆ กลัวแฟนคลับคิดว่า Purpeech เปลี่ยนไปบ้างไหม

คอมพ์ : กลัวครับ แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงลองทําอะไรใหม่ ๆ แปลก ๆ 

เล็ก : ทุกวันนี้ก็ยังคิดนะครับ เวลาใครถามว่าเราทำเพลงแนวไหน เราไม่เคยตอบได้ชัดเจนเลย แต่เราก็อยากทำความรู้จักกับหลาย ๆ คนมากขึ้น ส่วนแฟนเพลงเก่า ๆ เราก็ยังมีเพลงเดิม ๆ ให้พวกเขาฟังเสมอ  

ยีนส์ : มันรู้สึกดีที่ได้ลอง ดีกว่ามานั่งเสียใจทีหลัง ตอนนี้พวกผมก็ยังค้นหาอยู่ว่า Purpeech คืออะไร

เซ้นต์ : เราก็ยังเป็นเหมือนเดิมครับ เป็นเพื่อนอยู่ข้างคนฟังเหมือนเสมอ แค่เติบโตขึ้นตามเส้นทางที่เราเดินไป  

เล็ก : ผมรู้สึกว่าถ้าสักวันหนึ่งเราเจอทางเราจริง ๆ เราอาจจะไม่ได้สนุกกับการค้นหาแล้วก็ได้ แต่ทุกวันนี้ เรายังค้นหาแล้วมีความสุขอยู่  

Purpeech ยังเป็นเพื่อนที่คอยปลอบโยนทุกคนอยู่ตลอด ผมคิดว่าการปลอบมันไม่ได้มีแค่การลูบหลัง หรือการโอบกอด บางทีเราอาจพาทุกคนออกมาสนุกหรือเต้นไปพร้อมกับเราก็ได้

คอมพ์: อาจพูดได้ว่า เราทำเพลงตามจังหวะชีวิต ตอนนั้นชอบแนวไหน ก็เป็นแบบนั้นครับ

PURPEECH : ศิลปินที่ไม่ได้ทำแค่เพลง แต่เป็นเพื่อนร่วมทางในทุกจังหวะชีวิต

The People : จากที่เป็นนักดนตรีกลางคืนเล่นตามร้าน ตอนนี้กำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่รู้สึกอย่างไรบ้าง

เจมส์ : ขอบอกก่อนว่ากว่าที่จะมาเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ของเราได้ เราได้พยายามกันอย่างเต็มที่ เต็มที่ตั้งแต่ทําเพลงแรกเลย พยายามทุกทาง พยายามตลอด จนมาถึงคอนเสิร์ตใหญ่ก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองแล้วก็ภูมิใจกับเพื่อน ๆ กับน้องด้วยครับ เราพยายามกันขนาดนี้ก็สมควรที่จะเกิดขึ้นแล้ว

เล็ก : อีกอย่างหนึ่งที่ภูมิใจมาก ๆ คือภูมิใจกับแฟนคลับที่เริ่มเชียร์เรามาตั้งแต่แรก ๆ รวมถึงแฟนคลับที่เพิ่งรู้จักกัน หรือใครก็ตามที่เคยฟังเพลงของเรา ก็อยากให้ทุกคนภูมิใจไว้ว่าครั้งหนึ่งเคยทําให้วงน้อย ๆ วงนี้ได้มีคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเองเป็นครั้งแรกและเป็นคอนเสิร์ตที่โคตรจะ Purpeech 

คอนเสิร์ตจัดวันที่ 21 มิถุนายนนี้นะครับ เจอกันที่เซ็นเตอร์พอยท์ บางนา เราจะสัญญาว่าจะเต็มที่มาก ๆ และวันนั้นเราอยากเห็นทุกคนมีความสุขมาก ๆ เช่นกันครับ

PURPEECH : ศิลปินที่ไม่ได้ทำแค่เพลง แต่เป็นเพื่อนร่วมทางในทุกจังหวะชีวิต

The People : ตลอดการใช้ชีวิตที่ผ่านมา ที่ได้ทดลองเป็นครูดนตรี ได้ปล่อย MV แรก ได้ลองทำทุกอย่างจนมาถึงศิลปิน สิ่งที่แต่ละคนได้เรียนรู้คืออะไร

คอมพ์ : กล้าคิด กล้าทํา กล้าเสี่ยงลงมือทําครับ

ยีนส์ : ผมได้เรียนรู้ว่าการรักตัวเอง การใช้ชีวิตวันนี้ให้ดี มันจะส่งผลให้อนาคตเราเป็นคนที่ดี

เจมส์ : เรียนรู้ที่จะยอมรับครับ เข้าใจแล้วก็เรื่องการเลือกที่จะปฏิบัติตัวในที่ต่าง ๆ อย่างเช่น มีเรื่องหนึ่งที่เราไม่ชอบมาก ๆ แต่ว่าเราก็ยอมรับและทำความเข้าใจ และจัดการกับตัวเอง

เซ้นต์ : ตั้งแต่ทํางานมาจนถึงทุกวันนี้ ผมรู้สึกว่าอันดับแรกที่สําคัญคือสุขภาพ เพราะว่ามันคือสารตั้งต้นที่ทําให้เรามีโอกาสทำหลายอย่างในชีวิต อันดับที่ 2 คือการควบคุมอารมณ์ให้ดี เพราะอารมณ์มีผลต่อสิ่งแวดล้อมมาก ๆ แล้วก็อันดับที่ 3 ก็คือ คำสอน เพราะผมรู้สึกว่าคําสอนบางอย่างเอามาปรับใช้ได้ทุกมุม มันทําให้เรามองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าเป็นอีกอย่างโดยสิ้นเชิงเลย

อีกอย่างคือเพื่อน ๆ นี่แหละครับ ผมรู้สึกว่าแต่ละคนก็มีจุดแข็ง จุดดีที่น่าเอามาปรับใช้กับชีวิตตัวเอง แต่ผมไม่จะบอกนะครับว่าจุดแข็งคนไหนเป็นอย่างไร ผมจะสังเกตแล้วเอามาปรับใช้เอง

PURPEECH : ศิลปินที่ไม่ได้ทำแค่เพลง แต่เป็นเพื่อนร่วมทางในทุกจังหวะชีวิต

เล็ก : ขอบคุณทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต ขอบคุณทุกปัญหา ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้ผมเป็นตัวผมในทุกวันนี้ ทุกครั้งที่ได้วิ่งไล่ตามหาอะไรสักอย่าง ผมจะมีความสุขมากกับการได้ค้นหาสิ่งที่เป็นตัวเอง ค้นหาแนวเพลง ค้นหาทุกอย่างในชีวิต วันไหนที่รู้สึกท้อแท้หรือหวั่นใจก็ชอบมองย้อนกลับไปตัวเองว่า เฮ้ย! วันนั้นเราก็ผ่านมาได้ วันนี้เราต้องผ่านไปได้ ผมเชื่อว่าข้างหน้าก็คงมีปัญหาขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ แต่ก็จะผ่านไปได้ครับ 

เคยมีแฟนคลับชอบมาบอกว่าขอบคุณที่ทําเพลงขึ้นมาทําให้เขาหายจากการเป็นโรคซึมเศร้า หรือว่าทําให้เขามีความสุข รู้สึกรักตัวเองขึ้นมา เราเองก็อยากขอบคุณทุกคนเหมือนกันที่ทําให้เพลงของเรามีความหมายกับทุกคนมาก ๆ ในวันนี้เช่นกันครับ

ผมก็เลยอยากขอบคุณเพื่อน ๆ ขอบคุณตัวเอง ขอบคุณแฟนคลับ ขอบคุณทุกคนที่ทําให้ได้มาอยู่ตรงนี้ ได้มีคอนเสิร์ตใหญ่เป็นของตัวเองครั้งแรกครับ 

ภาพ : ดำรงฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม