16 มี.ค. 2568 | 17:00 น.
KEY
POINTS
มีคนอยู่สองประเภทในโลกของไวน์ - คนที่ดื่มไวน์เพราะความเคยชิน และคนที่หลงรักไวน์จนอยากเรียนรู้ทุกแง่มุม
แจนซิส โรบินสัน (Jancis Robinson) อยู่ในประเภทหลังอย่างไม่ต้องสงสัย และไม่ได้เป็นแค่คนที่หลงใหลไวน์ แต่เธอเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงวิธีที่โลกนี้จะพูดถึงไวน์
ถ้ามีใครสักคนที่สามารถเขียนสารานุกรมไวน์ที่ครอบคลุมทุกแง่มุม ตั้งแต่พันธุ์องุ่นที่แทบไม่มีใครรู้จัก ไปจนถึงแนวคิดเรื่องการผลิตไวน์อย่างยั่งยืน (sustainable winemaking) นั่นคงเป็นเธอ ไม่ใช่เพราะเธอรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับไวน์ แต่เพราะเธอมีสิ่งสำคัญกว่านั้น - ความกระหายที่จะเรียนรู้ และความสามารถในการทำให้เรื่องซับซ้อนกลายเป็นเรื่องเข้าใจง่าย
"ไวน์ควรเป็นของทุกคน ไม่ใช่แค่ของคนกลุ่มอภิสิทธิ์เท่านั้น" แจนซิส ประกาศย้ำเตือนในเรื่องนี้
เธอไม่ได้เกิดมาในตระกูลที่ปลูกองุ่น ไม่ได้เติบโตมากับถังไวน์ในห้องใต้ดินของบ้าน และไม่ได้มีโอกาสลิ้มรสไวน์ชั้นเลิศตั้งแต่ยังเด็ก เธอเป็นเพียงนักศึกษาคณิตศาสตร์และปรัชญาจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ที่บังเอิญค้นพบว่า มีบางสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นได้มากกว่าตัวเลขและแนวคิดเชิงปรัชญา
สิ่งนั้นคือ Chambolle-Musigny Les Amoureuses 1959 !
ไวน์เบอร์กันดีขวดนั้น ที่ดื่มกับเพื่อนหนุ่มของเธอ ไม่ได้เป็นเพียงของเหลวที่หมักจากองุ่น แต่เป็นเสมือนหน้าต่างที่เปิดออกสู่โลกใหม่ โลกที่มีรสชาติ มีเรื่องราว และมีความเป็นมามากมายเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด ในค่ำคืนที่เธอจิบไวน์ขวดนั้นเป็นครั้งแรก เธอรู้โดยสัญชาตญาณว่า นี่คือสิ่งที่เธออยากทำความเข้าใจมากขึ้น
"ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าไวน์จะสามารถมีชีวิตชีวาได้ขนาดนี้!”
จากจุดนั้น เส้นทางของเธอก็ชัดเจนขึ้น เธอไม่ได้มองไวน์เป็นเพียงเครื่องดื่มหรูหราสำหรับชนชั้นสูง แต่เป็นวัฒนธรรม เป็นศิลปะ และที่สำคัญที่สุด เป็นสิ่งที่ควรเป็นของทุกคน
แจนซิส เริ่มต้นจากศูนย์ เรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับไวน์อย่างจริงจังนับจากนั้น ในปี 1975 ด้วยวัย 25 ปี เธอได้เริ่มต้นอาชีพนักเขียนที่ Wine & Spirit ซึ่งเป็นนิตยสารไวน์เก่าแก่และมีชื่อเสียงในอังกฤษ เธอได้รับมอบหมายให้เขียนเรื่องไวน์ ด้านหนึ่งคือโอกาสที่มาถึง แต่ในอีกด้าน มันคือช่วงเวลาที่เหมือนถูกโยนลงไปในโลกที่ไม่คุ้นเคย ทุกอย่างดูซับซ้อน มีศัพท์เทคนิคที่ไม่เข้าใจ และในยุคนั้น วงการไวน์ยังถูกครอบงำโดยผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ นักเขียนหญิงในวงการไวน์แทบไม่มีที่ยืน แต่แทนที่จะถอยกลับ เธอกลับเลือกที่จะทำในสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด นั่นคือการเรียนรู้
"ฉันรู้ว่าฉันไม่ใช่คนแรกที่เติบโตขึ้นมาโดยไม่มีความรู้เกี่ยวกับไวน์เลย ฉันแค่ต้องเรียนรู้มันจากศูนย์ เหมือนกับทุกคนที่อยากเข้าใจไวน์"
เธอเรียนรู้อย่างจริงจัง ไม่เพียงแต่ศึกษาทฤษฎีเกี่ยวกับไวน์ แต่ยังเดินทางไปยังไร่องุ่น พบปะผู้ผลิตไวน์ ฟังเรื่องราวของพวกเขา และจดจำรายละเอียดทุกอย่างไว้เหมือนฟองน้ำซับน้ำ
นอกจากนี้ ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอแตกต่างจากนักเขียนไวน์คนอื่นๆ ในยุคนั้น เธอมีความเชื่อมั่นในการวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา
หลังจากใช้เวลาเกือบสิบปี ศึกษาและเขียนเกี่ยวกับไวน์ แจนซิส เริ่มตระหนักว่า ถ้าจะเป็นนักวิจารณ์ไวน์ที่ดี เธอต้องเข้าใจไวน์ในระดับลึกกว่าที่เป็นอยู่ และนั่นทำให้เธอตัดสินใจลงสมัครสอบ Master of Wine ในปี 1984
Master of Wine เป็นหนึ่งในบททดสอบที่หินที่สุดของวงการไวน์ ไม่ใช่แค่รู้จักพันธุ์องุ่นหรือรู้จักไวน์ชื่อดัง แต่เป็นการวัดความเข้าใจเชิงลึกในทุกแง่มุมของไวน์ ตั้งแต่กระบวนการผลิต การชิมไวน์อย่างแม่นยำ ไปจนถึงการวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์และการตลาดของไวน์
ในยุคนั้น ไม่มีใครที่ไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมไวน์โดยตรงสามารถสอบผ่านได้ เพราะส่วนใหญ่คนที่สอบ Master of Wine มักเป็นเจ้าของไร่องุ่น ผู้ผลิตไวน์ หรือผู้นำเข้าไวน์ที่มีประสบการณ์หลายสิบปี และเอาเข้าจริงๆ ก็มีคนเพียงไม่กี่คนในโลกที่สอบผ่านคุณวุฒินี้
แจนซิส เป็นเพียง “นักเขียน” และเธอรู้ดีว่าคนในวงการมองเธออย่างไร พวกเขาไม่คิดว่าเธอจะทำได้ เพราะเธอไม่มี "เลือดของนักทำไวน์" ไหลเวียนอยู่ในตัว แต่เธอไม่ปล่อยให้ความสงสัยของคนอื่นมาขวางทาง เธอฝึกฝนการชิมไวน์ ฝึกให้ลิ้นและจมูกของเธอจำแนกกลิ่นและรสชาติของไวน์หลายพันตัว เธอศึกษาตำราอย่างหนัก ลงพื้นที่ไปดูไร่องุ่นทั่วโลก และทุ่มเททุกอย่างที่มี
และในที่สุด เธอก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เธอสอบผ่าน Master of Wine เป็นคนแรกในโลก ที่ไม่ได้เป็นผู้ผลิตไวน์ แต่สามารถคว้า Master of Wine ได้สำเร็จ
มันเป็นช่วงเวลาที่เธอพิสูจน์ให้ทั้งโลกเห็นว่า ความรู้ ความสามารถ และความพยายามมีค่ามากกว่าภูมิหลังหรือสายสัมพันธ์
"ฉันต้องการแสดงให้เห็นว่าคุณไม่จำเป็นต้องเกิดมาในครอบครัวที่ทำไวน์ถึงจะเข้าใจมันได้ คุณเพียงแค่ต้องเปิดใจและตั้งใจเรียนรู้"
หลังจากสอบผ่าน Master of Wine ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เธอได้รับการยอมรับจากทั้งวงการไวน์และโลกสื่อสารมวลชน งานเขียนของเธอกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการพูดถึงไวน์ เป็นงานที่ตรงไปตรงมา ลึกซึ้ง และเข้าใจง่าย
เธอไม่ได้วิจารณ์ไวน์เพื่อให้มันฟังดูซับซ้อน แต่ทำให้ไวน์เป็นเรื่องที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้
หากถามว่าอะไรที่ทำให้เธอโดดเด่นเหนือกว่านักวิจารณ์ไวน์คนอื่นๆ คำตอบอาจอยู่ที่ “น้ำเสียงของเธอ”
แจนซิส ไม่ใช่นักวิจารณ์ที่พูดถึงไวน์ด้วยภาษาที่ฟังดูสูงส่ง ไกลเกินเอื้อม หรือเต็มไปด้วยศัพท์เทคนิคที่เข้าใจยาก เธอทำสิ่งตรงกันข้าม ทำให้ไวน์เป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าถึงได้ เล่าถึงไวน์เหมือนเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจให้เพื่อนฟัง และทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะชอบไวน์ ไม่ว่าพวกเขาจะรู้เรื่องไวน์มากน้อยแค่ไหนก็ตาม
"ฉันเกลียดเวลาที่คนทำให้ไวน์เป็นเรื่องน่ากลัว หรือซับซ้อนเกินไป มันควรเป็นเรื่องของความสุขและการค้นพบ ไม่ใช่เรื่องของกฎเกณฑ์ที่ต้องทำตาม"
แจนซิส ไม่ได้สนใจไวน์เฉพาะที่มาจากไร่องุ่นที่มีชื่อเสียงระดับโลก เธอสนับสนุนให้ผู้คนเปิดใจรับไวน์จากแหล่งผลิตใหม่ๆ ที่อาจไม่ได้อยู่ในกระแส เธอไม่ยึดติดกับความเชื่อแบบเดิมๆ ว่าไวน์ที่ดีที่สุดต้องมาจากฝรั่งเศสหรืออิตาลี เธอกลับมองหาไวน์ที่มี "จิตวิญญาณ" และเล่าเรื่องราวของมันออกมาอย่างซื่อสัตย์
เธอได้สร้างมาตรฐานใหม่ในการพูดถึงไวน์ มาตรฐานที่ไม่ขึ้นอยู่กับราคาหรือยี่ห้อ แต่มาจากความบริสุทธิ์ของรสชาติและคุณภาพจริงๆ เธอไม่เคยให้คะแนนไวน์จากความยิ่งใหญ่ของชื่อเสียง เธอให้คะแนนมันจากสิ่งที่อยู่ในแก้วเท่านั้น
"ฉันไม่สนว่าคุณเป็นใคร หรือมาจากไหน ถ้าไวน์ของคุณดี ฉันจะบอกว่ามันดี"
หากมีหนังสือเล่มไหนที่เปลี่ยนโฉมหน้าการศึกษาเกี่ยวกับไวน์ อย่างน้อยๆ หนังสือเล่มเขื่อง อย่าง The Oxford Companion to Wine ของ แจนซิส โรบินสัน ก็คงเป็นหนึ่งในนั้น
หนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่แค่การรวบรวมความรู้เกี่ยวกับไวน์ แต่มันคือการสร้างมาตรฐานใหม่ของการพูดถึงไวน์ เนื้อหาบรรจุอัดแน่นด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ และอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เธอใช้เวลาหลายปีทำวิจัย รวบรวมข้อมูลจากผู้ผลิตไวน์ทั่วโลก และสร้างสิ่งที่กลายเป็น “ไบเบิล” ของอุตสาหกรรมไวน์
"ฉันต้องการทำให้ความรู้เรื่องไวน์เป็นสิ่งที่เปิดกว้างและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ใช่แค่สำหรับกลุ่มชนชั้นสูง"
ต่อมา เธอได้ร่วมมือกับ ฮิวห์ จอห์นสัน (Hugh Johnson) เพื่อเขียน The World Atlas of Wine ซึ่งเป็นหนังสือที่ทำให้ผู้คนเข้าใจแหล่งผลิตไวน์จากทั่วโลกในมิติที่ลึกขึ้น
และเมื่อเธอพบว่าโลกของพันธุ์องุ่นนั้นซับซ้อนกว่าที่เคยคิด เธอก็ใช้เวลาหลายปีร่วมกับ จูเลีย ฮาร์ดิง (Julia Harding) และ โฮเซ วิลลาโมซ์ (José Vouillamoz) ในการสร้าง Wine Grapes หนังสือที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับพันธุ์องุ่นกว่า 1,368 สายพันธุ์ หนังสือเหล่านี้ ทำให้ แจนซิส กลายเป็นนักวิชาการด้านไวน์ ผู้ที่สร้างรากฐานความรู้ให้กับทั้งอุตสาหกรรม
ความซื่อสัตย์และความเป็นกลางของเธอ ทำให้ แจนซิส ได้รับความเคารพจากทั้งนักดื่มไวน์มือสมัครเล่นและผู้เชี่ยวชาญระดับสูง และเป็นสิ่งที่ทำให้หนังสือของเธอกลายเป็นคัมภีร์ของคนในวงการไวน์ทั่วโลก
ในโลกของการวิจารณ์ไวน์ มีแรงกดดันมากมาย บางครั้งไวน์ที่ได้รับคะแนนสูงๆ มักเป็นไวน์จากแบรนด์ใหญ่ๆ ที่มีอำนาจทางการตลาด และมีหลายครั้งที่นักวิจารณ์ไวน์ถูกกล่าวหาว่ารับผลประโยชน์จากผู้ผลิตไวน์ แต่เธอไม่เคยเป็นหนึ่งในนั้น เธอเป็นที่รู้จักจากความซื่อสัตย์ของเธอ หากเธอคิดว่าไวน์ตัวไหนไม่ดี เธอจะพูดตรงๆ เธอไม่สนใจว่า มันจะเป็นไวน์จากโรงบ่มชื่อดัง หรือว่าจะมีราคาแพงแค่ไหน
"ฉันให้ความเคารพต่อไวน์ทุกขวดที่ฉันชิม แต่ฉันจะไม่ยกย่องมัน ถ้ามันไม่มีคุณค่าพอ"
เธอเป็นนักวิจารณ์ไวน์ที่กล้า "ท้าทาย" แนวคิดเดิมๆ ของอุตสาหกรรม เป็นหนึ่งในผู้ที่สนับสนุนไวน์ออร์แกนิกและไวน์ธรรมชาติในยุคแรกๆ ก่อนที่จะกลายเป็นกระแสหลัก และเป็นหนึ่งในเสียงที่ผลักดันให้มีความโปร่งใสในการผลิตไวน์มากขึ้น
มีบางอย่างที่ไวน์และชีวิตมีเหมือนกัน มันไม่เคยหยุดพัฒนา ไม่เคยหยุดเปลี่ยนแปลง และไม่เคยมีสูตรสำเร็จตายตัว แจนซิส โรบินสัน รู้ดีว่า โลกของไวน์ที่เธอรู้จักในช่วงทศวรรษ 1970s นั้น แตกต่างจากโลกของไวน์ในปัจจุบัน และเธอเชื่อว่าในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า ไวน์ก็จะเปลี่ยนแปลงไปอีก แต่สิ่งหนึ่งที่เธอเชื่อเสมอคือ “จิตวิญญาณของไวน์” จะไม่มีวันตาย
"ไวน์ไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม มันคือเรื่องราวของสถานที่ คนทำไวน์ และช่วงเวลาที่มันถูกสร้างขึ้นมา”
“ไวน์ควรเป็นเรื่องของความจริงใจ มากกว่าความฟุ่มเฟือย”
เธอไม่ได้ต้องการให้ผู้คนรู้จักเธอในฐานะ "ผู้เชี่ยวชาญที่บอกว่าคุณควรดื่มอะไร" แต่ในฐานะ "คนที่ทำให้คุณเข้าใจว่าทำไมคุณถึงชอบไวน์แบบที่คุณชอบ"
การเดินทางในฐานะนักวิจารณ์ไวน์ ทำให้เธอเห็นการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมนี้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ช่วงที่ไวน์ฝรั่งเศสครองตลาด ไปจนถึงการเติบโตของไวน์จากออสเตรเลีย ชิลี และแอฟริกาใต้ เธอได้เห็นกระแสของไวน์ออร์แกนิก การเกิดขึ้นของไวน์ธรรมชาติ (Natural Wine) และการที่ผู้บริโภคเริ่มสนใจไวน์ที่ผลิตในแนวทางยั่งยืนมากขึ้น
แต่สิ่งที่เธอให้ความสำคัญมากที่สุดไม่ใช่แค่เทรนด์ของไวน์ แต่เป็นความหมายของไวน์ที่มีต่อมนุษย์
ไวน์ในสายตาของ แจนซิส ไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่คือวัฒนธรรม เธอรู้สึกเศร้าเมื่อเห็นว่าโลกของไวน์ในปัจจุบันถูกขับเคลื่อนด้วยการตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ไวน์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ตลาด มากกว่าการสะท้อนตัวตนของไร่องุ่น และรสชาติที่ถูกปรับแต่งให้ "ถูกใจคนหมู่มาก" มากกว่าการคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของไวน์แต่ละพื้นที่
"ฉันหวังว่าอุตสาหกรรมไวน์จะไม่เสียจิตวิญญาณไปเพื่อเงินเพียงอย่างเดียว"
เธอเป็นหนึ่งในนักวิจารณ์ไวน์ที่คอยกระตุ้นให้ผู้ผลิตไวน์คิดถึง authenticity หรือ “ความแท้จริง” มากกว่าการพยายามสร้างไวน์ที่ขายดี เธอสนับสนุนให้ผู้ผลิตไวน์ กล้าที่จะทำไวน์ที่สะท้อนถึง “แตร์ฮัวร์“ (terroir) นั่นคือสภาพแวดล้อมของดินฟ้าอากาศ ในพื้นที่ปลูกองุ่นนั้นๆ และนั่นคือเหตุผลที่เธอสนับสนุน ผู้ผลิตไวน์รายย่อย คนที่ยังคงทำไวน์ด้วยหัวใจ มากกว่าเทน้ำหนักไปที่การตลาด
"ฉันหวังว่าผู้ผลิตไวน์จะยังคงทำไวน์เพราะพวกเขาหลงใหลในมัน ไม่ใช่แค่เพราะพวกเขาต้องการขายมันให้มากขึ้น"
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แจนซิส ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมไวน์มากมาย หนึ่งในประเด็นที่เธอให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ พฤติกรรมของผู้บริโภครุ่นใหม่ เธอเคยกล่าวไว้ว่า ผู้บริโภคกลุ่ม Millennials และ Gen Z ยังไม่ได้ให้ความสนใจกับไวน์มากเท่าที่ควร พวกเขาหันไปดื่มเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น คราฟต์เบียร์ หรือค็อกเทลมากขึ้น และอุตสาหกรรมไวน์ต้องปรับตัวเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้
"ฉันคิดว่าความสนใจในไวน์จะเพิ่มขึ้นเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น และฉันหวังว่าอุตสาหกรรมไวน์จะไม่ทำให้มันเป็นเรื่องซับซ้อนจนเกินไปสำหรับพวกเขา"
เธอสนับสนุนให้มีการสื่อสารเรื่องไวน์ที่ง่ายขึ้น เพื่อให้คนรุ่นใหม่รู้สึกว่าไวน์ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และเธอยังคงทำหน้าที่ของเธอในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับไวน์อย่างตรงไปตรงมา
เธอไม่ใช่คนที่เชื่อว่าไวน์ที่ดีที่สุดต้องมาจากไร่องุ่นที่มีชื่อเสียง หรือว่าการดื่มไวน์เป็นเรื่องของการอวดฐานะ เธอสนับสนุนให้ผู้ผลิตไวน์คิดถึงความยั่งยืน สนับสนุนให้ผู้คนทดลองดื่มไวน์จากแหล่งผลิตใหม่ๆ ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง และที่สำคัญที่สุด เธอทำให้คนธรรมดาไม่ต้องรู้สึกว่า ตัวเอง "ไม่ดีพอ" ที่จะเข้าใจไวน์
"ฉันต้องการให้ผู้คนเข้าใจว่า ไวน์ไม่ใช่แค่เรื่องของความหรูหรา มันเป็นวัฒนธรรม เป็นศิลปะ และเป็นสิ่งที่ทุกคนควรได้สัมผัส"
ทุกวันนี้ แจนซิส โรบินสัน ยังคงทำในสิ่งที่เธอรัก เขียนถึงไวน์ พูดถึงไวน์ และแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับไวน์ให้กับคนทั่วโลก เธอเขียนคอลัมน์ให้ Financial Times เป็นประจำ และเว็บไซต์ JancisRobinson.com ของเธอ ยังคงเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญของวงการไวน์
แม้จะเป็นผู้หญิงที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของวงการนี้มานานแล้ว แต่เธอยังคงไม่หยุดเรียนรู้ และนั่นเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้เธอเป็นมากกว่าแค่นักวิจารณ์ไวน์ แต่เป็นบุคคลที่เปลี่ยนแปลงวงการไวน์ไปตลอดกาล
แหล่งข้อมูลและที่มา:
- Robinson, Jancis. The Oxford Companion to Wine. 5th ed., Oxford University Press, 2023.
- Robinson, Jancis, Julia Harding, and José Vouillamoz. Wine Grapes: A Complete Guide to 1,368 Vine Varieties, Including Their Origins and Flavours. Allen Lane, 2012.
- Robinson, Jancis, and Hugh Johnson. The World Atlas of Wine. 8th ed., Mitchell Beazley, 2019.
- Robinson, Jancis. The 24-Hour Wine Expert. Particular Books, Penguin, 2016.
- “Jancis Robinson on the Wondrous World of Wine.” Time Sensitive, https://timesensitive.fm/episode/jancis-robinson-on-the-wondrous-world-of-wine/. Accessed 8 Mar. 2025.
- “The Wine That Moves You.” Vintec Club, https://www.vintecclub.com/en-as/wine-articles/cellaring/the-wine-that-moves-you/. Accessed 8 Mar. 2025.
- Robinson, Jancis. “My Weekly Wine Column.” Financial Times, https://www.ft.com/life-arts/wine. Accessed 8 Mar. 2025.
- “About Jancis Robinson.” JancisRobinson.com, https://www.jancisrobinson.com/author/jancis-robinson. Accessed 8 Mar. 2025.