มองประวัติศาสตร์การแพทย์ผ่าน ‘ไวน์’

มองประวัติศาสตร์การแพทย์ผ่าน ‘ไวน์’

ตั้งแต่อารยธรรมโบราณจนถึงปัจจุบัน 'ไวน์' มีบทบาทในทางการแพทย์มาโดยตลอด อดีตเคยถูกใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ยาฆ่าเชื้อ และส่วนผสมในตำรับยารักษาโรคต่างๆ

KEY

POINTS

  • ในยุคโบราณ ผู้คนใช้ไวน์ในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์และการรักษาโรค แพทย์ชื่อดัง เช่น ฮิปโปเครตีสและกาเลน แนะนำให้ใช้ไวน์เพื่อบรรเทาอาการป่วยและปรับสมดุลร่างกาย
  • เมื่อผ่านเข้าสู่ยุคกลาง ศาสนจักรและอารามเป็นศูนย์กลางการผลิตไวน์ นักบวชใช้ไวน์เป็นยาฆ่าเชื้อและรักษาโรค โรงเรียนแพทย์แห่งซาเลร์โนส่งเสริมการใช้ไวน์เพื่อสุขภาพ
  • ปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ช่วยพิสูจน์ฤทธิ์ฆ่าเชื้อของไวน์ หลุยส์ ปาสเตอร์ ศึกษาคุณสมบัติทางจุลชีววิทยาของไวน์ ขณะที่โรงพยาบาลในศตวรรษที่ 19 ใช้ไวน์เป็นยาบำรุงร่างกาย

ไวน์ เป็นมากกว่าเครื่องดื่มที่ให้ความสำราญ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การแพทย์มายาวนาน ตั้งแต่ยุคอารยธรรมโบราณจนถึงวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

จากบทความเรื่อง The History of Wine as a Medicine ของ พี.เอ. นอร์รี (P.A. Norrie) อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นซิดนีย์ ออสเตรเลีย​ ชี้ให้เห็นว่า บทบาทของไวน์ ในฐานะ "ยา" ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและบริบทของสังคม ไวน์เคยเป็นทั้งยาอายุวัฒนะ น้ำศักดิ์สิทธิ์ และเครื่องดื่มที่เชื่อกันว่าช่วยป้องกันโรคร้ายได้

บทความนี้จะพาคุณเดินทางเข้าสู่ประวัติศาสตร์ทางการแพทย์ ผ่านมุมมองที่มีต่อไวน์และวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้อง

ไวน์กับการแพทย์ในโลกโบราณ

ตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณถึงเมโสโปเตเมีย มีหลักฐานบ่งชี้ถึงการใช้ไวน์ในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ และเป็นส่วนหนึ่งของตำรับยาที่สืบทอดกันมานับพันปี

บันทึกทางการแพทย์ของอียิปต์ อย่าง Ebers Papyrus (1550 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ระบุว่า มีการใช้ไวน์เป็นส่วนผสมในตำรับยารักษาโรคทางเดินอาหาร และใช้เป็นยาฆ่าเชื้อสำหรับบาดแผล โดยนักบวชและแพทย์ในสมัยนั้นเชื่อว่า ไวน์มีพลังบำบัด และมักใช้ร่วมกับสมุนไพรหลากหลายชนิด

ในเมโสโปเตเมีย ไวน์เป็นที่รู้จักในฐานะเครื่องดื่มของชนชั้นสูง และใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา คำจารึกของชาวสุเมเรียนยังระบุถึงการใช้ไวน์เพื่อรักษาโรคต่างๆ รวมถึงการบำบัดอาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหาร และมีหลักฐานว่า ชาวบาบิโลเนียนเชื่อว่า ไวน์ช่วยปรับสมดุลของพลังงานในร่างกาย และใช้เป็นยาในพระราชสำนัก เพื่อรักษาโรคที่เกิดจากวิญญาณชั่วร้ายตามความเชื่อของผู้คนยุคนั้น

ในยุคกรีกโบราณ มีการยกย่องไวน์ในฐานะยารักษาโรคฮิปโปเครตีส (Hippocrates) บิดาแห่งการแพทย์ตะวันตก แนะนำให้ใช้ไวน์เพื่อรักษาอาการต่างๆ เช่น อาหารไม่ย่อย อาการไข้ และภาวะสมองเสื่อม โดยไวน์ในยุคนั้นมักถูกนำมาผสมกับน้ำและสมุนไพร เช่น ไธม์ (thyme) และ สะระแหน่ (mint) เพื่อเพิ่มสรรพคุณทางยา

ด้าน กาเลน (Galen) แพทย์ชื่อดังของจักรวรรดิโรมัน เชื่อว่าไวน์ช่วยปรับสมดุลของของเหลวในร่างกายตามแนวคิด "ทฤษฎีอารมณ์ขัน" (Four Humors) ซึ่งเป็นแนวคิดพื้นฐานของการแพทย์ตะวันตกในยุคโบราณ

ยุคจักรวรรดิโรมัน มีการใช้ไวน์อย่างกว้างขวาง ทั้งเพื่อการบริโภคและเป็นยารักษาโรค แพทย์โรมันใช้ไวน์เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อ และให้ผู้ป่วยดื่มไวน์เพื่อบรรเทาอาการปวด รวมถึงการใช้ไวน์เป็นส่วนหนึ่งของการผ่าตัด กองทัพโรมัน มีการเสิร์ฟไวน์กับอาหารเนื่องจากเชื่อว่าช่วยรักษาสุขภาพของทหาร และป้องกันการติดเชื้อในสนามรบ

นักปรัชญาและแพทย์ชาวโรมัน อย่าง พลินี ดิ เอลเดอร์ (Pliny the Elder ปี 23-79 AD) เจ้าของผลงาน "Natural History" ซึ่งเป็นเอกสารที่รวบรวมความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติในยุคนั้น (พืช สัตว์ แร่ธาตุ และการแพทย์) ได้บันทึกเกี่ยวกับการผลิตไวน์และการใช้ไวน์ในสังคมโรมัน รวมถึงคุณสมบัติทางยาและประโยชน์ของไวน์ในด้านต่างๆ โดยเชื่อว่าไวน์มีประโยชน์ต่อสุขภาพหากดื่มในปริมาณที่เหมาะสม

ยุคกลาง: ไวน์ในมือของศาสนาและนักบวช

ในยุคกลาง คริสตศาสนจักร คือตัวกลางสำคัญที่ช่วยรักษาความรู้เกี่ยวกับไวน์และการแพทย์ อารามในยุโรปเป็นสถานที่ผลิตไวน์ และนักบวชเป็นผู้เก็บรักษาตำราทางการแพทย์ที่มีความรู้เกี่ยวกับสรรพคุณของไวน์ เบเนดิกต์แห่งนูร์เซีย (Benedict of Nursia) และนักบวชสายแพทย์หลายคน แนะนำให้ใช้ไวน์เป็นยาแก้โรคภัย โดยเฉพาะในการบำบัดผู้ป่วยที่เป็นไข้หรืออ่อนเพลีย

ไวน์เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อในโรงพยาบาลยุคกลาง เนื่องจากน้ำสะอาดหายากและมักปนเปื้อนเชื้อโรค การดื่มไวน์เจือจางจึงเป็นวิธีหนึ่งในการป้องกันการติดเชื้อ โดยเฉพาะในช่วงที่กาฬโรคแพร่ระบาด โดยนักบวชและแพทย์ในยุคนั้นเชื่อว่า ไวน์สามารถช่วยขับพิษออกจากร่างกายและเสริมสร้างภูมิต้านทาน

พระทำหน้าที่รักษาผู้ป่วยด้วยสมุนไพรและผลิตภัณฑ์จากสัตว์ผสมกับไวน์ เนื่องจากการผ่าตัดยังถือเป็นสิ่งต้องห้าม จึงมักใช้ยาที่มีส่วนผสมของไวน์ ในการรักษาโรคต่างๆ แทนที่ โดยใช้ทั้งในรูปแบบของยาเดี่ยวและส่วนผสมกับสารประกอบอื่นๆ เพื่อทำให้ยามีรสชาติที่ดีขึ้น ไวน์จึงเป็นส่วนหนึ่งของระบบการรักษาพยาบาลอย่างแยกไม่ออก

โรงเรียนแพทย์แห่งซาเลร์โน (Salerno) ในอิตาลีใต้ นับเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการแพทย์ที่สำคัญในยุคนี้ ก่อตั้งขึ้นในพื้นที่ของโรงพยาบาลเบเนดิกตินยุคคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยมีทั้งนักวิชาการสายศาสนาและฆราวาสเป็นผู้สอน ตำรา Regimen Sanitatis Salernitanum หรือ "ระเบียบสุขภาพแห่งซาเลร์โน" กล่าวถึงไวน์ว่าเป็นหนึ่งในยาที่ใช้บ่อยที่สุด ทั้งในฐานะสารบำรุงกำลัง ยาฆ่าเชื้อ และตัวทำละลายสำหรับยาสมุนไพรต่าง ๆ

นอกจากนี้ ยังมีแพทย์หญิงชื่อ Trotula of Salerno ผู้เขียนงานเกี่ยวกับสูติศาสตร์ในศตวรรษที่ 11 เธอแนะนำให้ใช้ไวน์อุ่นที่ต้มกับเนย เพื่อรักษาภาวะมดลูกหย่อนหลังคลอด

การผสมผสานระหว่างความรู้ทางการแพทย์กรีก-โรมัน และความรู้จากโลกอาหรับ ช่วยเสริมสร้างบทบาทของไวน์ในฐานะยารักษาโรคในยุคกลางได้อย่างน่าสนใจ ทั้งในฐานะเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและสัญลักษณ์ของการรักษาที่แฝงไปด้วยภูมิปัญญาโบราณ

ยุคใหม่: วิทยาศาสตร์เข้ามาท้าทายบทบาทของไวน์

เมื่อเข้าสู่ยุคศตวรรษที่ 16-19 บทบาทของไวน์ในทางการแพทย์ยังคงดำเนินต่อไป แต่ถูกหล่อหลอมด้วยความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และการแพทย์สมัยใหม่อย่างเด่นชัด การค้นพบทางด้านชีววิทยา เคมี และการพัฒนาทฤษฎีเกี่ยวกับเชื้อโรคได้เปลี่ยนแปลงวิธีการมองไวน์ จาก “ยาแห่งภูมิปัญญาโบราณ” ไปสู่การเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง

ในศตวรรษที่ 17 และ 18 แพทย์หลายคนในยุโรปเริ่มบันทึกบทบาทของไวน์ในการรักษาโรคอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในแง่ของ “ฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค” (antiseptic properties) ซึ่งได้รับการยืนยันว่า มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อจากแผลและช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้จริง ตัวอย่างเช่น แพทย์ทหารของฝรั่งเศสใช้ไวน์ในการล้างบาดแผลและรักษาผู้บาดเจ็บในสนามรบ เนื่องจากคุณสมบัติในการต้านจุลชีพ (antimicrobial properties) ที่เกิดจากแอลกอฮอล์และสารประกอบฟีนอลในไวน์

เมื่อเข้าสู่ยุคแห่งการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) นักจุลชีววิทยาผู้บุกเบิกทฤษฎีเชื้อโรค ได้ทำการศึกษาว่า ไวน์สามารถป้องกันการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์บางชนิดได้ เขาเป็นเจ้าของคำคมที่โด่งดังว่า 

“ไวน์คือเครื่องดื่มที่มีสุขภาพที่สุดในบรรดาเครื่องดื่มทั้งหลาย”

การค้นพบว่าไวน์สามารถยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียบางชนิดได้ นับเป็นก้าวสำคัญที่เชื่อมโยงไวน์กับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในด้านสุขภาพ

ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 โรงพยาบาลในยุโรปและสหรัฐอเมริกา นิยมใช้ไวน์เป็น “ยาบำรุง” สำหรับผู้ป่วยที่อ่อนแอ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะโลหิตจาง (anemia) หรือขาดสารอาหาร ไวน์แดงถูกใช้เพื่อกระตุ้นความอยากอาหาร ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น และบรรเทาอาการอ่อนเพลีย นอกจากนี้ ยังมีการผลิต “ไวน์ยา” (medicated wine) ที่ผสมสมุนไพร เช่น Cinchona (สมุนไพรต้านไข้มาลาเรีย) ลงในไวน์เพื่อเพิ่มฤทธิ์ทางยา

อย่างไรก็ตาม เมื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์พัฒนาขึ้น การใช้ไวน์ในฐานะ “ยา” โดยตรงเริ่มลดลง เนื่องจากมีการคิดค้นยาสังเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า แต่ในขณะเดียวกัน การวิจัยเกี่ยวกับสารประกอบทางเคมีในไวน์ โดยเฉพาะ “โพลีฟีนอล” (polyphenols) และ “เรสเวอราทรอล (resveratrol)” ได้เปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับบทบาทของไวน์ในการส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งปูทางไปสู่การศึกษาทางการแพทย์ในยุคปัจจุบัน

ไวน์ในยุคใหม่นี้ จึงเป็นทั้งเครื่องดื่มที่แฝงไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และเป็นหัวข้อสำคัญในการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ยังคงดำเนินต่อไปไม่สิ้นสุด

French Paradox และการคืนชีพของไวน์ในโลกการแพทย์

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 แนวคิดเกี่ยวกับ "French Paradox" (ปริศนาย้อนแย้งแบบฝรั่งเศส) ได้จุดประกายความสนใจในบทบาทของไวน์ต่อสุขภาพอีกครั้ง ปรากฏการณ์นี้นำเสนอครั้งแรกผ่านรายการโทรทัศน์ 60 Minutes ของสหรัฐฯ ในปี 1991 ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์และวงการไวน์ไปพร้อมๆ กัน

French Paradox อธิบายถึงข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ชาวฝรั่งเศสมีอัตราการเกิดโรคหัวใจต่ำอย่างน่าประหลาดใจ แม้จะบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันอิ่มตัว เช่น เนย ชีส และเนื้อแดง ในปริมาณมาก ซึ่งดูขัดแย้งกับแนวคิดทางโภชนาการแบบดั้งเดิมที่ระบุว่าไขมันอิ่มตัวเป็นตัวการสำคัญของโรคหัวใจ

ความขัดแย้งนี้นำไปสู่คำถามสำคัญว่า อะไรคือปัจจัยที่ปกป้องหัวใจของชาวฝรั่งเศส?

คำตอบหนึ่งที่นักวิจัยบ่งชี้ คือการบริโภคไวน์แดงอย่างสม่ำเสมอ ในปริมาณที่พอเหมาะ โดยเฉพาะในวัฒนธรรมอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต การบริโภคไวน์แดงในมื้ออาหาร ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้อย่างมีนัยสำคัญ และนี่เองคือจุดเริ่มต้นของการฟื้นคืนชีพของไวน์ ในฐานะ "ยาแห่งชีวิตสมัยใหม่"

การศึกษาเกี่ยวกับ French Paradox ทำให้สารประกอบในไวน์แดง อย่าง โพลีฟีนอล (Polyphenols) โดยเฉพาะ เรสเวอราทรอล (Resveratrol) ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้มีบทบาทสำคัญ ช่วยลดการอักเสบ ป้องกันการออกซิเดชันของ LDL cholesterol (คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี) และช่วยปกป้องหลอดเลือดจากความเสียหาย นอกจากนี้ยังพบว่า โพลีฟีนอล ช่วยเพิ่มระดับ HDL cholesterol (คอเลสเตอรอลชนิดดี) และส่งเสริมการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา มีนักวิจัยหลายคนที่ศึกษาประเด็น French Paradox อย่างจริงจัง ดร.แซมมวล แบล็ค (Dr. Samuel Black) แพทย์ชาวไอริช ผู้บันทึกข้อสังเกตเกี่ยวกับความแตกต่างของการเกิดโรคหัวใจระหว่างชาวไอริชและชาวฝรั่งเศส โดยเขาเชื่อว่าพฤติกรรมการบริโภคและวิถีชีวิตของชาวฝรั่งเศสมีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ  

ส่วน เซอร์จ เรโนด์ และ มิเชล เดอ ลอร์เกฮิล (Serge Renaud and Michel de Lorgeril) นักวิจัยชาวฝรั่งเศสได้ตีพิมพ์งานวิจัยใน Lancet ที่ทำให้แนวคิด French Paradox ได้รับความสนใจในวงกว้าง พวกเขาเสนอว่า “การบริโภคไวน์แดงในปริมาณที่พอเหมาะ เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจในฝรั่งเศส”

ด้าน ไมเคิล คริกิ และ เบรนดา ริงเกล (Michael H. Criqui and Brenda L. Ringel) เป็นนักระบาดวิทยาที่ทำการศึกษาระหว่างประเทศ เปรียบเทียบอัตราการตายจากโรคหัวใจกับการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศต่าง ๆ พบว่าประเทศที่บริโภคไวน์แดงสูงมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจต่ำกว่า ขณะที่ แคลทสกี (A. L. Klatsky) นักวิจัยจาก Kaiser Permanente ได้ศึกษาความเสี่ยงของโรคหัวใจและความสัมพันธ์กับการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบว่า “ไวน์แดง” ให้ผลป้องกันโรคหัวใจดีกว่าเบียร์และสุรา  

ผลงานของนักวิจัยเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า การศึกษาเกี่ยวกับ French Paradox มีความหลากหลายทั้งในเชิงระบาดวิทยา ชีวเคมี และการแพทย์เชิงคลินิก

อย่างไรก็ตาม กระแสการเกิดขึ้นของ French Paradox ไม่ได้ปราศจากข้อโต้แย้งเสียทีเดียว ยังมีนักวิจัยบางส่วนตั้งคำถามเกี่ยวกับความถูกต้องของข้อมูลทางสถิติ รวมถึงปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ที่อาจมีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ เช่น ความแตกต่างทางพันธุกรรมหรือระบบสาธารณสุขในฝรั่งเศสที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าในหลายประเทศ

ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร French Paradox ได้เปิดประตูสู่การศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับบทบาทของไวน์และสารประกอบในไวน์ต่อสุขภาพ ซึ่งยังคงเป็นหัวข้อที่ท้าทายและน่าสนใจในวงการแพทย์มาจนถึงปัจจุบัน

ไวน์ในปัจจุบัน: ยาหรือเพียงแค่เครื่องดื่ม?

แม้ไวน์จะกลับมาได้รับความสนใจในแวดวงสุขภาพ แต่ประเด็นเรื่อง "ปริมาณที่เหมาะสม" ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน

นักวิทยาศาสตร์และแพทย์บางส่วนสนับสนุนให้ดื่มไวน์แดงในปริมาณพอเหมาะ (เช่น 1-2 แก้วต่อวัน) เพื่อให้ได้ประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระ แต่หากดื่มเกินขนาด อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคตับ มะเร็ง และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ

ในขณะที่การแพทย์ยุคใหม่ยังคงศึกษาเรื่องคุณสมบัติของไวน์และสารที่อยู่ในไวน์ เราอาจต้องกลับไปพิจารณาแนวคิดของชาวกรีกโบราณที่กล่าวว่า "ทุกสิ่งควรอยู่ในความพอดี" แม้แต่สิ่งที่ดีต่อสุขภาพ อย่าง ไวน์ ก็ตาม

จากหยดแรกของไวน์ในถ้วยดินเผาของอียิปต์โบราณ จนถึงไวน์ในแก้วคริสตัลใสที่ห้องทดลองของศตวรรษที่ 21 ไวน์เดินทางผ่านกาลเวลา ในฐานะ “พยานเงียบ” ของวิวัฒนาการทางการแพทย์และวัฒนธรรม ไวน์เป็นยาในยุคโบราณ เป็นบทสวดในพิธีกรรมทางศาสนา เป็นแรงบันดาลใจของกวี และยังเป็นหัวข้อการถกเถียงในวงการวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

ไวน์ ไม่ใช่แค่ของเหลวในขวดแก้ว แต่คือภาพสะท้อนการเดินทางของมนุษยชาติ การแสวงหาความรู้ การรักษา และความหมายของชีวิต และบางที คำตอบที่แท้จริงว่า 'ไวน์คือยาหรือไม่?' อาจไม่ใช่เพียงเรื่องของโมเลกุลหรือทฤษฎีทางการแพทย์

แต่... อยู่ในความเข้าใจที่ลึกซึ้งถึงการดื่มด่ำอย่างพอดี การเคารพในธรรมชาติ และการเฉลิมฉลองชีวิตอย่างมีสติ

 

เรื่อง : อนันต์ ลือประดิษฐ์

 

ที่มา:

บทความ The History of Wine as a Medicine เขียนโดย P.A. Norrie ตีพิมพ์ในหนังสือ Wine: A scientific exploration จัดพิมพ์โดย Taylor & Francis Group. (2003)