30 มี.ค. 2568 | 17:00 น.
เสียงสะท้อนจากชัยชนะของไวน์แคลิฟอร์เนียในการแข่งขันทดสอบไวน์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “คำตัดสินแห่งปารีส” (The Judgment of Paris) ปี 1976 ยังไม่ทันจางหาย เมืองเล็กๆ ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา อย่าง นาปา (Napa Valley) ที่เคยถูกมองว่า เป็นเพียงเงาของบอร์กโดซ์ (Bordeaux) ของฝรั่งเศส ได้กลายมาเป็นเวทีที่ผู้คนทั่วโลกเริ่มหันมาให้ความสนใจอย่างจริงจัง
บนเวทีทดสอบไวน์แบบ Blind Tasting (ชิมโดยไม่ให้ข้อมูลใดๆ ) Stag’s Leap Wine Cellars Cabernet Sauvignon 1973 คือ ไวน์แดงจากแคลิฟอร์เนีย ที่สามารถคว้าอันดับ 1 ในหมวด ไวน์แดง ได้สำเร็จ โดยชนะไวน์ชั้นนำของบอร์กโดซ์ อย่าง Château Mouton Rothschild และ Château Haut-Brion ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้แก่แวดวงไวน์ทั้งโลก
จากปรากฏการณ์คราวนั้น สุภาพบุรุษคนหนึ่งเห็นว่านี่คือโอกาสที่จะพิสูจน์ศักยภาพของ นาปา ให้โลกเห็น “ที่นี่” ไม่ได้เป็นแค่ดาวรุ่งที่โชคช่วย แต่สามารถสร้างบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เทียบเท่ากับโลกเก่า (ยุโรป) ได้อย่างแท้จริง
โรเบิร์ต มอนดาวี (Robert Mondavi) เป็นชื่อที่ไม่มีใครในวงการไวน์อเมริกาไม่รู้จัก เขาเชื่อมั่นในดินแดนนาปาอย่างหมดหัวใจ เป็นคนที่กล้าจะบอกว่า ไวน์ของอเมริกามีค่าควรแก่การยืนเคียงข้างสุดยอดไวน์ของฝรั่งเศส และเขารู้ดีว่าการเดินทางสู่จุดสูงสุดนี้ไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง จึงมองหาพันธมิตร ซึ่งไม่ใช่แค่ใครก็ได้ แต่ต้องเป็นใครสักคนที่มีรากลึกอยู่ในขนบของไวน์ชั้นสูง ใครสักคนที่สามารถสร้างสะพานเชื่อมระหว่างสองโลกนี้ได้
สุภาพบุรุษคนนั้น คือ บารอน ฟิลลิป เดอ ร็อธสไชลด์ (Baron Philippe de Rothschild) ด้วยชื่อเสียงที่ฝังรากอยู่ในตระกูลไวน์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดของฝรั่งเศส เขาคือเจ้าของ ชาโต มูตอง ร็อธสไชลด์ (Château Mouton Rothschild) หนึ่งใน Premier Grand Cru Classé แห่งบอร์กโดซ์ ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางขนบประเพณีของไวน์มาหลายชั่วอายุคน
การที่ชายผู้เป็นสัญลักษณ์ของ โลกเก่า (Old World) อย่าง ร็อธสไชลด์ มาจับมือกับ มอนดาวี ผู้เป็นตัวแทนของ โลกใหม่ (New World) กลายเป็นความเคลื่อนไหวของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เสมือนคำประกาศให้โลกรู้ว่า ศิลปะของไวน์ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยพรมแดนหรือพื้นที่ทางภูมิศาสตร์อีกต่อไป
การพบกันของทั้งคู่เริ่มขึ้นในปี 1970 พวกเขาตกลงใจที่จะร่วมกันสร้างไวน์ขวดหนึ่ง ไวน์ที่จะเป็นสัญลักษณ์ของสองวัฒนธรรม เป็นบทกวีแห่งการผสมผสาน ระหว่างรากเหง้าอันลึกซึ้งของฝรั่งเศส กับจิตวิญญาณแห่งการบุกเบิกของอเมริกา
โปรเจกต์นี้ไม่ได้เป็นเพียงความฝันลอยๆ เพราะในปี 1979 พวกเขาได้ปลูกองุ่นล็อตแรก บนพื้นที่ไร่องุ่นที่คัดสรรมาอย่างดีใน โอควิลล์ เอวีเอ (Oakville AVA) นับจากวันนั้น โอปุส วัน (Opus One) ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น ด้วยความตั้งใจที่จะให้เป็น “กรองด์ แวง” (Grand Vin) ของโลกใหม่ (New World) ไวน์ที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของความแตกต่างทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม
เมื่อถึงปี 1984 วินเทจแรกของ Opus One ก็ได้รับการปล่อยตัวออกสู่ตลาด ด้วยราคา 50 ดอลลาร์ต่อขวด สูงกว่าราคาของไวน์ทุกตัวจากเขตนาปา เท่าที่เคยขายมา!
Oakville AVA นับเป็นหนึ่งในแหล่งปลูกไวน์ที่ดีที่สุดของ นาปา วัลลีย์ ดินในพื้นที่นี้มีความซับซ้อน ประกอบด้วยดินตะกอนจากแม่น้ำ และหินภูเขาไฟที่ช่วยให้รากของต้นองุ่นสามารถแทรกซึมลงไปหาแร่ธาตุได้ลึก เป็นพื้นที่ที่ได้รับอิทธิพลจากหมอกเย็นของอ่าวซานฟรานซิสโก ซึ่งช่วยควบคุมอุณหภูมิและรักษาความสมดุลของกรดในองุ่น องุ่นแต่ละพวงจะได้รับแสงแดดที่เพียงพอ แต่ไม่ร้อนจนเกินไป ทำให้ผลที่ได้มีโครงสร้างสมบูรณ์
Opus One ใช้องุ่นหลายสายพันธุ์ ตามแบบฉบับบอร์กโดซ์ (Bordeaux Blend) ประกอบด้วย พันธุ์ กาแบร์เนต์ โซวีญอง (Cabernet Sauvignon) เป็นหัวใจหลักของไวน์ ให้โครงสร้าง ความเข้มข้น และศักยภาพในการบ่ม ตามด้วย เมอร์โลต์ (Merlot) เพิ่มความนุ่มนวลและเสริมรสชาติของผลไม้ โดยมี กาแบร์เนต์ ฟรองค์ (Cabernet Franc) เพิ่มกลิ่นหอมและมิติของเครื่องเทศ เพิ่มเติมด้วย เปอติต แวร์โดต์ (Petit Verdot) เสริมแทนนินและความลึกของสีไวน์ โดยอาจมีการใช้องุ่นพันธุ์ มอลเบค (Malbec) ในบางวินเทจ เพื่อเพิ่มโน้ตของผลไม้ดำและโครงสร้างที่สมดุล
ไร่องุ่นทั้งหมดของ Opus One เก็บเกี่ยวด้วยมือ โดยแต่ละผลจะถูกคัดเลือกอย่างเข้มงวด เพื่อให้แน่ใจว่า เลือกเฉพาะผลองุ่นที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่านั้น ส่วนกระบวนการหมัก ใช้ถังสแตนเลสและถังไม้โอ๊ค เพื่อควบคุมอุณหภูมิและรักษาความบริสุทธิ์ของรสชาติไวน์ แต่ละล็อตขององุ่นจากไร่จะถูกหมักแยกกัน เพื่อให้สามารถควบคุมและพัฒนารสชาติของแต่ละพันธุ์ได้อย่างแม่นยำ
หลังจากการหมัก ไวน์จะถูกถ่ายลงถังไม้โอ๊คฝรั่งเศสใหม่ 100% บ่มเป็นระยะเวลาประมาณ 18 เดือน ไม้โอ๊คที่ใช้เป็นไม้โอ๊คฝรั่งเศสเกรดสูง ซึ่งให้โน้ตของวานิลลา เครื่องเทศ และสัมผัสของแทนนินที่ละเอียดอ่อน ซึ่งช่วยเพิ่มความซับซ้อนให้แก่ไวน์
หลังจากการบ่มในถังไม้โอ๊คแล้ว ไวน์จะถูกถ่ายลงขวดและเก็บบ่มต่ออีก 15 เดือน ก่อนที่จะปล่อยออกสู่ตลาด กระบวนการนี้ทำให้ไวน์มีโครงสร้างที่สมบูรณ์แบบก่อนถึงมือผู้ดื่ม
Opus One มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สามารถพัฒนาไปตามอายุได้อย่างยอดเยี่ยม ไวน์ที่อายุน้อยมักมีรสชาติของ แบล็กเคอร์แรนท์ พลัม เชอร์รี่ดำ และโน้ตของวานิลลาและโอ๊ค เมื่อไวน์มีอายุมากขึ้น จะพัฒนาไปสู่ ซิการ์ หนังสัตว์ ดินเปียก และเห็ดทรัฟเฟิล ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของไวน์ชั้นสูงที่สามารถบ่มได้นานหลายทศวรรษ
แทนนินของ Opus One มีความประณีตและซับซ้อน โครงสร้างของไวน์หนักแน่นแต่มีความสมดุลระหว่างความเป็นผลไม้ กรด และแทนนิน ทำให้ไวน์นี้สามารถดื่มได้ตั้งแต่ช่วงต้นที่ออกสู่ตลาด แต่จะเผยเสน่ห์ที่แท้จริงเมื่อบ่มต่อไปในขวดอีก 10-20 ปี
Opus One มีบุคลิกภาพที่แตกต่างจากไวน์บอร์กโดซ์ ตรงที่ให้ความเป็นผลไม้ที่สุกกว่า เนื้อนุ่มกว่า และดื่มง่ายกว่าในช่วงวัยหนุ่ม ขณะที่ไวน์บอร์กโดซ์มักต้องใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาโครงสร้างของมัน ในขณะเดียวกัน Opus One มีความแตกต่างจากไวน์ที่ผลิตในเขตนาปาอื่นๆ เพราะมีโครงสร้างและแทนนินที่ละเอียดอ่อนกว่ามาตรฐานของ นาปา กล่าวคือ ไม่ได้มีพลังระเบิด เหมือนที่พบในไวน์ Screaming Eagle หรือความเข้มข้นในแบบฉบับของไวน์ Harlan Estate แต่อยู่ตรงกลางระหว่าง บอร์กโดซ์ และ นาปา ทั่วไป อย่างสมดุล
การที่ Opus One สามารถวางตัวในตลาดระดับพรีเมียมได้อย่างมั่นคง กลายเป็น จุดเริ่มต้นของยุค "Cult Napa Wines" หรือไวน์ระดับไอคอนของ นาปา วัลลีย์ ที่มีราคาสูงและเป็นที่ต้องการของนักสะสมทั่วโลก
หลังจาก Opus One ปรากฏตัว โลกได้เห็นการกำเนิดของไวน์ระดับ "Cult" อีกมากมาย เช่น Screaming Eagle, Harlan Estate, Dominus และ Colgin ซึ่งล้วนแต่ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวทางของ Opus One ในการสร้างไวน์ที่สามารถท้าทายมาตรฐานของบอร์กโดซ์ได้ นาปา กลายเป็นศูนย์กลางของไวน์ระดับพรีเมียม และเปลี่ยนสถานะจาก "ไวน์น้องใหม่" ไปสู่ "ดินแดนของสุดยอดไวน์โลกใหม่"
หนึ่งในผลกระทบที่สำคัญที่สุด คือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างราคา ก่อนที่ไวน์ขวดนี้จะถือกำเนิดขึ้น ไวน์จากนาปามีราคาที่ต่ำกว่าไวน์บอร์กโดซ์ค่อนข้างมาก แต่เมื่อ Opus One เปิดตัวด้วยราคาสูงถึง 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อขวดในปี 1984 ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงที่สุดสำหรับไวน์อเมริกันในเวลานั้น ทำให้เกิดมาตรฐานใหม่ของการกำหนดราคาสำหรับไวน์จาก นาปา วัลลีย์
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ราคาของ Opus One เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ และกลายเป็นหนึ่งในไวน์ที่มีการซื้อขายสูงที่สุดในโลก ปัจจุบันราคาปล่อยขายของแต่ละวินเทจ อยู่ที่ประมาณ 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อขวด และราคาตลาดของวินเทจยอดเยี่ยม อาจไต่ขึ้นไปถึง 800 - 1,000 ดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับอายุและสภาพของขวด
การที่ Opus One สามารถรักษามูลค่าของตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดแนวคิดว่า ไวน์จากนาปา สามารถเป็นสินทรัพย์การลงทุนได้ เช่นเดียวกับไวน์บอร์กโดซ์ระดับสูง ไวน์ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่า เป็นเพียง "ผลิตภัณฑ์ทางเกษตร" กลายเป็น สินค้าในตลาดการลงทุน ที่มีนักสะสมทั่วโลกต้องการครอบครอง
ตลาดรองของไวน์ เช่น Liv-ex (London International Vintners Exchange) ได้บันทึกว่า Opus One เป็นหนึ่งในไวน์ที่มีการซื้อขายสูงสุดของโลก โดยหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ไวน์ตัวนี่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น คือปริมาณการผลิตที่จำกัดและคุณภาพที่คงเส้นคงวา
Opus One ผลิตเพียงประมาณ 25,000 - 30,000 ลังต่อปี ซึ่งถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับไวน์ระดับ First Growth ของบอร์กโดซ์ การที่มีปริมาณจำกัด ทำให้ Opus One เป็นที่ต้องการของนักสะสมและนักลงทุนที่มองหาไวน์ที่สามารถเก็บบ่มและเพิ่มมูลค่าได้ในอนาคต
หนึ่งในคำถามที่นักดื่มไวน์มักจะถามคือ Opus One คุ้มค่าหรือไม่?
คำตอบขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน หากมองในแง่ของคุณภาพและประวัติศาสตร์ Opus One ถือเป็นหนึ่งในไวน์ที่มีความสมบูรณ์ ทั้งด้านโครงสร้างและเอกลักษณ์ มีความสมดุลระหว่างความซับซ้อนและความดื่มง่าย ซึ่งทำให้เหมาะกับทั้งนักสะสมและนักดื่มที่ต้องการสัมผัสสุดยอดไวน์จากนาปาวัลลีย์
หากมองในแง่ของการลงทุน Opus One อาจไม่ได้เป็นไวน์ที่มีอัตราการเติบโตของราคาสูงสุด เมื่อเทียบกับไวน์ Cult Napa Wines อื่น ๆ อย่าง Screaming Eagle หรือ Scarecrow แต่จุดแข็งของมันคือ เสถียรภาพของราคา ซึ่งทำให้เป็นหนึ่งในไวน์ตัวเลือกที่ปลอดภัยสำหรับการลงทุนระยะยาว
Opus One เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ความร่วมมือระหว่างสองวัฒนธรรมสามารถสร้างบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ เป็นสัญลักษณ์ของ นวัตกรรมและคุณภาพที่ไม่ถูกจำกัดด้วยขอบเขตของประเพณี และเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้โลกไวน์ต้องหันมามอง นาปา วัลลีย์ ด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป
หากกล่าวถึงไวน์ที่สามารถสะท้อนถึง “อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต” ไปพร้อมๆ กัน Opus One นับเป็นหนึ่งในไวน์ที่ทำได้ดีที่สุด
ที่มา:
- Taber, George M. Judgment of Paris: California vs. France and the Historic 1976 Paris Tasting That Revolutionized Wine. Scribner, 2005.
- Parker, Robert M. The World's Greatest Wine Estates: A Modern Perspective. Simon & Schuster, 2005.
- Robinson, Jancis. The Oxford Companion to Wine. 4th ed., Oxford University Press, 2015.
- Suckling, James. "Opus One Vertical Tasting: A Study in Power and Elegance." JamesSuckling.com, 2020.
- Liv-ex. "Opus One: Market Performance and Investment Potential." Liv-ex Wine Market Analysis, 2022.
- Mondavi, Robert. Harvests of Joy: How the Good Life Became Great Business. Harcourt Brace, 1998.