30 ต.ค. 2567 | 15:49 น.
“เจ็บแค่ไหนก็ไม่อาจให้เธอรู้ เจ็บแค่ไหนก็ยังรักอยู่
ห้ามใจอย่างไรไม่รู้ ให้ฉันหยุดคิดเรื่องเธอซะที”
เนื้อเพลง ‘เจ็บแค่ไหนก็ยังรักอยู่’ ลอยเข้าหูทีไร มันทำให้อดคิดไม่ได้ว่า คนเราจะทนอยู่ในความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วย ‘ความเจ็บปวด’ ไปทำไมกันนะ?
หากมองในมุมคนนอก การแนะนำคนใกล้ตัวที่กำลังทุกข์ทรมานจากความรักให้ “กลับมารักตัวเอง” ดูจะเป็นเรื่องง่าย (และสมเหตุสมผล) แต่สำหรับคนที่กำลังจมปลักกับความรักนั้น กลับ “ไม่ง่าย” เหมือนการเปิดประตูแล้วเดินออกมา เพราะนอกจากความกังวลที่ต้องกลับมาใช้ชีวิตคนเดียวลำพัง คนบางคนยังอาจรู้สึกผูกพันกับคู่รักจนไม่อาจตัดขาดจากกันได้ แม้ว่าอยู่ต่อไปตัวเองต้องเผชิญความเจ็บปวดแสนสาหัส ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
ความรู้สึกที่เข้มข้นเบอร์นี้เรียกว่า ‘Trauma Bonding’
Trauma Bonding เป็นความผูกพันทางจิตใจระหว่างคนสองคน ที่ไม่ได้เกิดจากความรักลึกซึ้งหรือรักแน่นอก แต่มีการล่วงละเมิดหรือความรุนแรงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทว่าหลังการทำร้ายหรือใช้ความรุนแรงจบลง ฝ่ายที่ทำร้ายจะแสดงความรักต่อฝ่ายที่ถูกทำร้าย เพื่อให้ฝ่ายที่ถูกทำร้ายรู้สึกว่าความสัมพันธ์นี้ปลอดภัยและสามารถพึ่งพิงได้ สถานการณ์ลักษณะนี้เกิดวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็น ‘วัฏจักร’ เล่นเอาคนรอบข้างของฝ่ายที่ถูกทำร้ายพากันงงเป็นไก่ตาแตกว่า “แล้วแกจะทนอยู่เพื่อ?”
สำหรับคนทั่วไป พวกเขามักจะรู้สึกผูกพันหรืออยากอยู่ใกล้ชิดกับคนที่ปฏิบัติต่อกันด้วยความเมตตามากกว่า แต่อย่าลืมว่า ความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงหรือที่คนทั่วไปมองว่า toxic ก็มักจะเริ่มต้นจากความรักใคร่เมตตาทั้งนั้นแหละ แล้วหลังจากนั้นคนที่ทำตัว ‘คลั่งรัก’ ก็จะกลายร่างเป็นคน ๆ เดียวกับคนที่ทำให้เราแตกสลายแทบกระอักเลือดตาย ส่วนฝ่ายที่ถูกกระทำก็มักจะกอดเก็บแต่ความรู้สึกหอมหวานในช่วงแรก ๆ ของความสัมพันธ์ รวมถึงช่วงที่ได้รับการปลอบประโลมหลังถูกทำร้าย พร้อมกับกล่อมให้ตัวเองเชื่อว่า ไอ้ต้าวคนคลั่งรักคนดีคนเดิมจะกลับมาในสักวัน
‘ไอวี ควอง’ นักบำบัดการแต่งงานและครอบครัวที่ได้รับใบอนุญาต อธิบายให้เห็นภาพเพิ่มเติมว่า “Trauma Bonding เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ที่อำนาจของทั้งสองฝ่ายไม่สมดุลกัน และเกิดวัฏจักรของการ ‘ให้รางวัล’ และ ‘การลงโทษ’ โดยฝ่ายที่ทำร้ายจะมีอำนาจเหนือฝ่ายที่ถูกทำร้าย และฝ่ายที่ทำร้ายมักจะสลับไปมาระหว่างการทำร้ายกับปลอบโยนอีกฝ่าย”
นอกจากคู่รักแล้ว Trauma Bonding ยังสามารถเกิดขึ้นได้ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ที่ทำร้ายพวกเขา, คนที่ถูกลักพาตัวกับผู้ที่ลักพาตัว และผู้นำกับสมาชิกในลัทธิ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การล่วงละเมิดหรือใช้ความรุนแรงไม่ได้ส่งผลให้เกิด Trauma Bonding กับทุกคู่เสมอไป หากใครรู้สึกไม่แน่ใจว่ากำลังอยู่ในความสัมพันธ์นี้หรือไม่ อาจเช็กได้จากสัญญาณดังต่อไปนี้
หลายคนอาจมองว่า ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนเป็นเรื่องที่ไม่ควรเข้าไป ‘ก้าวก่าย’ แต่รู้หรือไม่ว่า ผลที่เลวร้ายสุดของคนที่อยู่ในความสัมพันธ์แบบ Trauma Bonding คือถึงขั้น ‘เสียชีวิต’
และหากโชคดีที่เหยื่อสามารถแยกตัวออกมาจากผู้กระทำผิดได้ ก็มีความเป็นไปได้ที่เหยื่อจะกลายเป็นคนที่มีบาดแผลทางจิตใจ ซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปจนถึง ‘ความนับถือตนเองต่ำ’ (Low self-esteem) โดยมีการศึกษาวิจัยฉบับหนึ่งระบุว่า ผลกระทบที่มีต่อความนับถือตนเองของเหยื่อจะยังคงดำเนินต่อไป แม้เวลาจะผ่านไปแล้ว 6 เดือนก็ตาม นอกจากนี้ ผลที่ตามมายังอาจรวมถึง ‘ภาวะซึมเศร้า’ และ ‘ความวิตกกังวล’ อีกด้วย
“เหยื่ออาจเกิดความรู้สึกขัดแย้ง เช่น อับอาย รัก โทษตัวเอง หวาดกลัว โล่งใจ วิตกกังวล ซาบซึ้ง และกลัวผู้กระทำผิด พวกเขามักรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อความรู้สึกของคนที่ทำร้าย และอาจพยายามเอาใจหรือทำให้ผู้กระทำผิดพอใจอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะยิ่งทำให้การตัดความสัมพันธ์ทำได้ยากยิ่งขึ้น” ควอง กล่าว
แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่มีหนทางหลีกหนีจากความสัมพันธ์ที่เจ็บปวดนี้
ข้อแนะนำแรกสำหรับเหยื่อคือ คุณควร “อยู่กับปัจจุบัน” เพราะการคาดหวังว่าผู้กระทำผิดหรือคนรักที่ทำร้ายคุณจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือเอาแต่เฝ้าคิดถึงช่วงเวลาดี ๆ ในอดีต อาจทำให้คุณพบกับความเจ็บปวดและผิดหวังไม่มีที่สิ้นสุด คุณควรพยายามยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นเกิดในปัจจุบัน และผลกระทบที่ตามมา มากกว่า
นอกจากนี้ หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น คุณควรมุ่งเน้นไปที่การเก็บ ‘หลักฐาน’ เพื่อขอความช่วยเหลือ มากกว่าไปโฟกัสที่ ‘คำสัญญา’ ที่ไม่มีวันเป็นจริงของพวกเขา
อีกข้อที่คุณควรทำคือ “ฝึกพูดเชิงบวกกับตัวเอง” เพราะการถูกทำร้ายหรือใช้ความรุนแรงอาจลดความเคารพตนเองในตัวคุณ และทำให้คุณคิดว่าไม่สามารถอยู่ได้โดยขาดคนที่ทำร้ายคุณ หากไม่รู้จะเริ่มพูดแง่บวกกับตัวเองอย่างไร ลองเริ่มจากการหยุดพูดแง่ลบกับตัวเองก่อนก็ได้
สิ่งสำคัญคือการที่คุณต้อง “ฝึกดูแลตัวเอง” เพราะการดูแลตัวเอง เช่น การออกกำลังกาย การปรับภาพลักษณ์ให้ดูแจ่มใส การเขียนไดอารี ทำงานอดิเรก การสวดมนต์ พูดคุยกับเพื่อนที่ไว้ใจได้ หรือการซื้ออะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นของขวัญให้ตัวเอง อาจช่วยบรรเทาความเครียด และลดความต้องการที่จะหันไปพึ่งคนรักที่ทำร้ายคุณได้
หากเป็นไปได้ คุณควรเรียนรู้ความแตกต่างระหว่างความสัมพันธ์ที่ toxic กับความสัมพันธ์ที่ดีต่อสุขภาพ และพยายามออกจากความสัมพันธ์ toxic ให้ได้ ก่อนจะวางแผนมีความสัมพันธ์ครั้งต่อไป
ฃหรือที่สุดแล้ว การเติมตัวเองให้เต็มโดยไม่ต้องพึ่งพาความรักจากใคร ก็ดีกว่าพาตัวเองไปอยู่ในความสัมพันธ์ที่มีแต่ความเจ็บปวดไม่มีที่สิ้นสุด
เรื่อง: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ: Pexels
อ้างอิง:
How to Recognize and Break Traumatic Bonds
Understanding Trauma Bonding
Trauma bonding explained