14 ก.พ. 2568 | 15:36 น.
KEY
POINTS
บางครั้งคำพูดธรรมดา ๆ ไม่กี่คำ อาจกลายเป็นตราประทับที่หลอกหลอนใครบางคนไปชั่วชีวิต
“อ้วน” “บ้า” “ตุ๊ด”
คำพูดเหล่านี้เราอาจเคยได้ยิน หรือหลุดออกจากปากตัวเองด้วยความคึกคะนอง แน่นอนว่าเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เคยใช้คำพูดนี้มาใช้เป็นคำล้อเล่นในชีวิตประจำวัน รวมถึงถูกตำหนิด้วยคำเหล่านี้เช่นกัน
มันไม่ใช่แค่คำต่อว่า หรือคำตัดสิน แต่มันคือ ‘การตีตรา’ และสิ่งเหล่านี้สะท้อนอยู่ในนิทรรศการ ‘See the Unseen: เห็นกาย สัมผัสใจ’ จัดโดย สำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ (สสส.) ร่วมมือกับ Mutual, Eyedropper Fill, MasterPeace และ Studio Persona
การตีตรา หรือ Stigma อาจดูเป็นคำที่ห่างเหิน และไกลตัว แต่แท้จริงแล้วมันแฝงตัวแนบเนียนไปกับทุกบทสนทนาที่เราพูด เรานำคำนั้นไปกำหนดชีวิตและคุณค่าของคนอื่น รวมถึงมาประทับตราตัวเอง เพียงเพราะเรากับเขา ‘ต่าง’ จากความคาดหวังและบรรทัดฐานของสังคม
การตีตราไม่ใช่แค่การเหมารวม (Stereotype) ที่อาจมีข้อดีในบางบริบท แต่เป็นการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของใครบางคนโดยไม่มีเหตุผลที่ชอบธรรม ซึ่งไม่มีข้อดีเลยสักข้อ
“การตีตราเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นเพราะมันแนบเนียนมาก ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในสังคมเยอะ งานนี้จึงต้องการทำให้คนได้เห็นในสิ่งที่มองไม่เห็น เพื่อให้รู้ว่าการกระทำของเราส่งผลต่อใครบ้าง รวมถึงตัวเราเอง เพราะแม้เราจะไม่เคยถูกคนอื่นตีตรา แต่จากค่านิยมของสังคมที่เราเก็บสิ่งเหล่านั้นมากดทับตัวเอง เลยทำให้เราข้ามผ่านมันไปไม่ได้” 'เบสท์’ วรรจธนภูมิ ลายสุวรรณชัย ผู้ร่วมก่อตั้ง Eyedropper Fill และผู้ออกแบบนิทรรศการบอกกับเรา
การตีตรา ทำร้ายคนได้มากกว่าที่คิด และที่เจ็บที่สุดคือเมื่อเรานำคำเหล่านั้นมาตีตราตัวเอง
The People ขอพาคุณไปชมนิทรรศการ ‘See the Unseen: เห็นกาย สัมผัสใจ’ ที่จะทำให้คุณ ‘เห็น’ ในสิ่งที่มองไม่เห็นผ่าน 3 ห้อง 3 เรื่องราว
“คำไหนที่เราเคยได้รับจากคนอื่น แต่เรากลับนำมาตัดสินตัวเอง?”
คำถามที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอแท็บเล็ตที่อยู่ตรงหน้าเป็นคำถามง่าย ๆ ตอบไม่ยาก เพราะสมองเราจดจำคำเหล่านั้นมาตลอด และบางคนก็อาจโดนคนอื่นพูดคำนี้มาทั้งชีวิต
คำถามต่อมา “คำไหนที่เราเผลอใช้ต่อว่า หรือนำมาตัดสินคนอื่น?”
ความคิดเริ่มทำงานอย่างหนัก เราเริ่มทบทวนกับตัวเอง มีคำไหนบ้างที่เราใช้มันทำลายคนอื่น แล้วคำพูดนั้นถือเป็นการตีตราหรือเปล่า?
เมื่อเราพิมพ์คำตอบลงบนหน้าจอ หันหลัง แล้วเดินตรงไป เราเห็นคำพูดเหล่านั้นปรากฎขึ้นบนกำแพง และติดตัวเราในทุกย่างก้าว ไม่ว่าจะเดิน นั่ง หรือยืน เหมือนกับคำที่ฝังอยู่ในใจของใครบางคนตลอดเวลา
ห้องนี้ทำให้เราได้สำรวจตัวเอง และคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แม้จะเป็นเพียงคำพูดธรรมดา ๆ ที่เราพูดไปโดยไม่คิดอะไร แต่กลับกลายเป็นดาบทิ่มแทงใครบางคน
มองผิวเผินการตีตราดูเป็นสิ่งเลวร้าย เพราะมันสร้างบาดแผลไว้ในใจคนอื่น แต่เราอาจลืมไปว่า คำพูดบางคำจากตัวเราเองก็เคยเป็นคนฝากรอยแผลเหล่านั้นให้ใครบางคนเช่นกัน
สิ่งที่เราได้เห็น สิ่งที่เราเคยเจอ สิ่งที่เราเคยถูกตัดสิน กลายเป็นคำพูดที่เรานำไปใช้ตัดสินคนอื่น เป็นวงจรที่ดำเนินไปโดยไม่มีสิ้นสุด
ในโลกที่วุ่นวาย เราอาจไม่ได้มีเวลาคุยกับตัวเองเท่าไหร่ บางครั้งเราก็ถูกตัดสินจากคำพูดคนอื่น แต่ในนิทรรศการห้องที่ 2 ทำให้เห็นว่า เราไม่ได้เผชิญกับการตีตราเพียงลำพัง
ภายในห้องมีผืนผ้าใบขนาดเท่าคน ถูกวาดด้วยปากกาหลากหลายสี ผ่านกระบวนการศิลปะบำบัด (Body Tracing) เป็นรูปร่างมนุษย์ที่กำลังวิ่ง ปีนป่าย หรือนั่งกอดเข่า ท่าทางที่บอกว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับคำตัดสินของคนอื่น พร้อมมีคำอธิบายคำพูดที่พวกเขาถูกตีตรา
ถึงเจ้าของผลงานจะเป็นคนหลายเพศ หลายวัย แต่สิ่งที่มีร่วมกันคือโดนตีตราจากคำพูดที่แปะป้ายทั้งจากคนรอบข้าง เพื่อน หรือแม้กระทั่งครอบครัวของตัวเอง
พอละสายตาจากผืนผ้าใบ กวาดตามองบนผนังห้องเต็มไปด้วยลายมือของเหล่าคนแปลกหน้า เราก็สะดุดตากับประโยคหนึ่งที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจได้ทันตา
“เติบโต เบ่งบาน โรยรา เราทุกคนล้วนมีดอกไม้ในหัวใจ อย่าโรยราเพราะใคร แต่จงเติบโตอย่างงดงามด้วยตัวเอง”
ประโยคที่ทำให้รู้สึกว่าคำพูดคนอื่นไม่สำคัญเท่าความคิดและความต้องการของเรา มัน เหมือนมีใครมากระซิบปลอบข้างหูว่า “ไม่ต้องเปรียบเทียบตัวเองกับใคร แค่เติบโตในแบบของตัวเองก็พอ”
แม้การเขียนและระบายความรู้สึกลงบนกำแพงจะไม่ได้ช่วยลบคำพูดที่หยั่งรากลึกออกไปได้ แต่ก็ทำให้เราปล่อยวางความคิดและความขมุกขมัวในใจได้ขึ้นมานิดหน่อย
“เราก็ไม่ได้แปลกประหลาดอยู่คนเดียวนี่นา”
ส่วนนิทรรศการห้องสุดท้าย ไม่มีคำพูดให้เราพิมพ์ ไม่มีผนังให้เราเขียน มีเพียงวิดีโอ ภาพเคลื่อนไหว และเสียงของผู้คนที่เคยถูกตีตรา เสียงที่ถูกกลืนหายไปในสังคมที่ไม่เคยรับฟัง และอาจทำให้บางคนเลือกเดินในเส้นทางที่ผิดพลาด
เราเดินเข้าห้องมานั่งลงบนเบาะที่ออกแบบให้เป็นรูปร่างของชิ้นส่วนมนุษย์ เพื่อสัมผัสความเจ็บปวดของ ‘ร่างกาย’ ที่ขาดวิ่น และลงไปนั่งอยู่ในใจที่เคยแตกสลายของคนที่ถูกตัดสินจากคำพูดของคนอื่น
จริง ๆ แล้ว ห้องนี้เป็นห้องฉายสารคดีจากคน 3 คน ที่กำลังเผชิญปัญหาทางใจ ผ่านการเล่าเรื่องของเงาเจ้าของเรื่องที่กำลังละเลงสีลงบนผ้าใบเพื่อสร้างงานศิลปะผ่านความรู้สึก
เรื่องที่เราชอบมากที่สุด คือ เจ้าของเรื่องที่วาดรูปฝน ดอกไม้ และสายรุ้ง
เจ้าของเรื่องบอกว่า เม็ดฝนอาจเป็นตัวแทนของความเศร้า แต่เม็ดฝนทำให้เราเติบโตและรู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวยังไง หลังฝนตกมีสายรุ้งเกิดขึ้น และทำให้ดอกไม้งอกงาม เป็นรางวัลว่าเราเก่งมากที่ผ่านฤดูฝนมาได้
“ในวันที่ใคร ๆ ไม่ยอมรับ แต่ขอให้เรายอมรับตัวเอง เสียงที่อยู่ในหัว ไม่ใช่เสียงที่คนอื่นว่าเรา แต่เป็นเสียงที่เราต่อว่าตัวเอง” ข้อคิดจากเจ้าของเรื่องที่ทำให้เราอยากกลับมาดูแลใจตัวเอง และคิดให้หนักขึ้นก่อนจะตัดสินคนอื่น
เรามักคิดว่า "พูดแค่นี้เอง ทำไมต้องคิดมาก" หรือ "แค่ล้อเล่น ทำไมต้องซีเรียส" แต่สำหรับบางคน คำพูดเหล่านั้นอาจกลายเป็นเสียงสะท้อนที่ดังก้องอยู่ในใจไปตลอดชีวิต
หลังจากเดินนิทรรศการก็ทำให้เราได้มาตกผลึกความคิดกับตัวเอง ได้สัมผัส ได้รู้สึกเชื่อมโยง ทำให้เรา ‘เข้าใจ’ เพื่อนมนุษย์
เข้าใจในความแตกต่าง เข้าใจอย่างรอบด้าน ทั้งตัวเราที่ถูกตัดสิน และคนอื่นที่ตัดสินเรา
เพราะไม่ว่าอย่างไร ตัวเราเก่งและสำคัญที่สุด
การนำความคิดและคำพูดของคนอื่นมาฝังไว้ลึกสุดใจ การยอมรับและเก็บสิ่งเหล่านั้นมาไว้กับตัวเอง คือ การทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว
น้ำหยดลงหินทุกวัน หินยังกร่อน นับประสาอะไรกับใจของคนเรา…
เพียงเพราะใครบางคนไม่เป็นไปตามบรรทัดฐาน ไม่ได้หมายความว่าเขาผิด
เพียงเพราะเราเคยได้ยินคำพูดหนึ่งซ้ำ ๆ ไม่ได้หมายความว่ามันคือความจริง
เมื่อเดินออกจากนิทรรศการนี้ คุณอาจจะไม่ต้องเป็นคนที่ดีขึ้น แต่แค่เข้าใจคนคนหนึ่ง คำพูดที่มนุษย์ใช้ทำร้ายกันในทุก ๆ วัน คงจะดีถ้าเราไตร่ตรองสักนิดก่อนที่จะพูดอะไรออกไป
See the Unseen, เห็นกาย สัมผัสใจ เข้าชมฟรี ตั้งแต่วันที่ 8-23 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา :11.00 - 19.00 น. ที่ชั้น 3 ห้อง HOP และ ห้อง Whoop , แมด, มันมัน ศรีนครินทร์ (MMAD at MunMun Srinakarin)