'ชูวิทย์' ฉายาจอมแฉ เปิดศึกมหากาพย์ ‘ธุรกิจจีนสีเทา’ กับแบ็กอัพช่วยกันกลืนกินชาติ

'ชูวิทย์' ฉายาจอมแฉ เปิดศึกมหากาพย์ ‘ธุรกิจจีนสีเทา’ กับแบ็กอัพช่วยกันกลืนกินชาติ

'ชูวิทย์' หรือหลายคนเรียกเขา 'จอมแฉ' อดีตนักการเมืองที่กำลังเปิดฉากกับคนที่เอี่ยวกับธุรกิจจีนสีเทา ไม่ว่าจะข้าราชการไทยหรือนักการเมืองคนไหน ซึ่งศึกมหากาพย์เปิดโปง 'ตู้ห่าว' นักธุรกิจชาวจีนสัญชาติไทย กับธุรกิจจีนศูนย์เหรียญทั้งหมดที่ดูท่าทางน่าจะไม่จบลงง่าย ๆ

  • ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง เจ้าพ่อธุรกิจกลางคืนที่ได้ฉายาว่าเป็น 'จอมแฉ'
  • ธุรกิจจีนสีเทา หรือ ธุรกิจจีนศูนย์เหรียญ ของตู้ห่าวกำลังถูกเปิดโปง โยงใยของนักการเมืองและข้าราชการไทยที่มีเอี่ยวจำนวนมาก
  • ผับจินหลิง คือจุดเริ่มต้นของศึกมหากาพย์ระหว่างชูวิทย์ ตู้ห่าว และคนในเงามืดที่คอยเป็นแบ็กอัพอีกเพียบ

 

“คดีตู้ห่าว ยิ่งคุ้ย...ยิ่งเน่า”

“ดันปล่อยให้ มือสมัครเล่น มาทำงาน”

“ฉิบหายแน่แล้ว!”

คำพูดที่ออกจากปากของ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ อดีตนักการเมืองไทยที่พูดคำนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งที่พูดถึง ‘ตู้ห่าว’ หรือชื่อภาษาไทยก็คือ ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ นักธุรกิจชาวจีนสัญชาติไทย (เพราะแต่งงานกับตำรวจหญิงคนหนึ่ง) กับคดีโด่งดังที่ยังเป็นกระแสเดือด โดยมีจุดเริ่มต้นมาจาก ‘จินหลิง’ ผับลับเฉพาะคนจีนในย่านยานนาวา

 

ความฉิบหายที่เริ่มจากผับลับ

หากยังจำกันได้เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจระดมคนเข้าตรวจสอบผับจินหลิง ซึ่งตู้ห่าวเป็นเจ้าของ โดยพบสารพัดยาเสพติดทั้ง เฮโรอีน, ยาอี, ยาเค ฯลฯ ทั้งยังพบผู้เสพและนักท่องเที่ยวที่รับเฉพาะชาวจีนหลายร้อยคน ส่วนพนักงานทำงานในผับแห่งนี้เป็นเพียงแรงงานเพื่อนบ้านของไทย และคนไทยที่เป็นเด็กรับรถ

จุดนี้เองที่ชูวิทย์เข้ามามีบทบาทอย่างมากด้วยการ ‘แฉ’ ว่าผับจินหลิงคือ ‘ธุรกิจศูนย์เหรียญ’ ที่ทุกอย่างนำเข้ามาจากจีน เครื่องดื่ม, เฟอร์นิเจอร์, ของใช้ และก็รับลูกค้าที่เป็นชาวจีนเท่านั้นด้วย มีเพียงสถานที่ที่อยู่บนแผ่นดินของไทย และใช้แรงงานบางส่วนที่เป็นคนไทย

“ธุรกิจแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการฟอกเงิน สร้างแหล่งธุรกิจขึ้นมาเพื่อหาที่ฟอกเงิน” ชูวิทย์พูดตั้งแต่ครั้งแรก ๆ ที่ประกาศว่ามีหลักฐานการทุจริตของตู้ห่าว

ต่อจากนั้นชูวิทย์ก็เริ่มดำเนินการเปิดโปงเส้นใยที่เชื่อมโยงไปหาบุคคลหลายกลุ่ม รวมทั้งข้าราชการไทยด้วย โดยหลัก ๆ ธุรกิจจีนสีเทานี้มีเครือข่ายอยู่ 5 กลุ่มด้วยกันคือ กลุ่มเดวิด, กลุ่มฉางเฟ่ย, กลุ่มโทนี, กลุ่มหมิง และกลุ่มตู้ห่าว นอกจากนี้ชูวิทย์ยังบอกด้วยว่า ตู้ห่าวกับผับจินหลิง เกี่ยวโยงมาถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทย ไม่ว่าจะเรื่องเส้นสาย, การเงิน, วีซ่า ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันที่มีนัยบางอย่างซ่อนอยู่

 

 

ปฏิบัติการทลายภูเขาน้ำแข็ง

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา ชูวิทย์ได้แถลงเกี่ยวกับข้อมูลของธุรกิจจีนสีเทาในชื่อ ‘ปฏิบัติการทลายภูเขาน้ำแข็ง’ ทั้งยังตั้งข้อสังเกตต่อหน้าสื่อมวลชนว่า “อาจมีตำรวจสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) คอยอำนวยความสะดวกให้กลุ่มทุนเหล่านี้”

ชูวิทย์เชื่อว่า สตม. เป็นด่านแรกและมีอำนาจตัดสินใจว่าจะให้ใครเข้าประเทศอย่างถูกกฎหมาย แต่ในกรณีนี้น่าจะมีผู้เกี่ยวข้องบางคนที่ส่งเสริมให้ทุนจีนสีเทาเข้าสู่ประเทศ ในรูปแบบการแปลงวีซ่าจากวีซ่านักท่องเที่ยวให้เป็นวีซ่าสำหรับประกอบธุรกิจ หรือ อาสาสมัครมูลนิธิ

ชูวิทย์ได้พูดว่า “เฉพาะปี 2563 - 2564 ระยะเวลา 2 ปี มีอาสาสมัครจีนกว่า 7,000 คน ได้วีซ่าประเภท Non-O หรือ Working for NGO ทำงานเป็นอาสาสมัครในมูลนิธิ เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร แต่ให้ไปดูสถานที่ตั้งมูลนิธิ สภาพทรุดโทรม ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่จังหวัดขอนแก่น แค่ 10 คนก็เต็มไม่เหลือพื้นที่แล้ว แต่นี่รับไปร่วม 7,000 คนได้อย่างไร หากคนหนึ่งจ่าย 100,000 บาท รวม 7,000 คน ก็ 700 ล้านแล้ว”

ดังนั้นผู้ที่มีอำนาจในการขออนุมัติเปลี่ยนแปลงวีซ่าได้ ต้องเป็นระดับผู้บังคับการขึ้นไป ในนี้มี 2 นาย เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่น 47 รุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. นอกจากนี้ ชูวิทย์ยังเปิดโปงต่อว่ายังมีมูลนิธิอื่นรวม 6 แห่ง และมีสมาคมเถื่อน การอุ้มท้องซื้อพ่อ ฉะนั้น ผบ.ตร. จะต้องจัดการ ไม่เช่นนั้นเมื่อเรื่องเงียบ ธุรกิจแบบนี้ก็จะกลับเข้ามาในไทยอีก

ปฏิบัติการเปิดโปงของชูวิทย์ เริ่มโจมตี ‘ตู้ห่าว’ ตั้งแต่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากได้มอบเอกสารหลักฐานให้แก่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และเดินหน้าเปิดโปงต่อว่า ตู้ห่าวเกี่ยวข้องกับนักการเมืองจำนวนมาก รวมถึงผู้มีอิทธิพลในไทยที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับตู้ห่าว เพราะรับสินบนและร่วมกันปกปิดการฟอกเงินของตู้ห่าว

 

เงินมืดที่แอบบริจาคให้พรรคการเมือง

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ชูวิทย์ได้พูดถึงกรณีที่ตู้ห่าวได้บริจาคเงินจำนวน 3 ล้านบาทให้กับพรรคการเมืองไทย ทั้งที่ยังใช้พาสปอร์ตจีนอยู่ โดยได้ร้องขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบเรื่องนี้

โดยมีการเปิดเผยว่า พรรคการเมืองที่ได้รับเงินส่วนนั้นก็คือ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ แต่ต่อมา สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ได้ออกมาชี้แจงว่า ตู้ห่าวบริจาคเงินให้กับพรรคเพียงเพราะว่ามีความศรัทธาในแนวทางของพรรคเท่านั้น ไม่ได้มีนัยสำคัญทางการเมืองใด ๆ ร่วม

ไม่ว่าจะกระแสไหน ทั้งการบริจาคเงิน, การมีแบ็กอัพช่วยเหลือจาก สตม. หรือแม้แต่ธุรกิจมากมายที่ตู้ห่าวฟอกเงินในไทย ก็ล้วนอยู่ในระหว่างการค้นหาคำตอบ ซึ่งชูวิทย์ก็คงยังพยายามงัดหาเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อเอาผิดให้ได้ มีประโยคหนึ่งที่ชูวิทย์เคยพูดทิ้งท้ายเอาไว้ในระหว่างที่แถลงการณ์ว่า “ใครทำไมถึงหิวเงินขนาดนั้น เอาประเทศไทยไปขายได้” ซึ่งเพียงประโยคเดียวคงทำให้หลายต่อหลายคนที่หลบซ่อนในเงามืดร้อน ๆ หนาว ๆ กันแน่

จนถึงตอนนี้ กรณีของตู้ห่าว หรือธุรกิจสีเทาจีน หรือแม้แต่ธุรกิจแบบศูนย์เหรียญอื่นที่แฝงตัวอยู่ในเมืองไทยมากมาย เชื่อว่าหากชูวิทย์ทำสำเร็จ เราคงได้เห็นกรณีอื้อฉาวอีกมากของวงการข้าราชการและนักการเมืองไทย ความเน่าเฟะจนถึงรากที่ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น สำหรับใครหลายคนจึงยกให้ชูวิทย์เป็นฮีโร่จอมแฉแห่งยุคไปเลย

 

ภาพ : Facebook/ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

อ้างอิง:

Facebook: ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

Thairath

Prachachat