26 มี.ค. 2562 | 17:37 น.
ห้วงนี้ ชื่อใครจะร้อนแรงกว่า อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ดูเหมือนจะไม่มี จากเดิมที่เรียกเสียงฮือฮาไปแล้วจากนโยบายปลูกกัญชาเสรี ทำให้อนุทินกลายเป็นขวัญใจ “สายเขียว” ทั่วประเทศ ล่าสุดชื่อของอนุทินยิ่งเปรี้ยงปร้าง เมื่อมีกระแสคาดการณ์ไปต่างๆ นานา ว่าเขาจะกลายเป็น “นายกรัฐมนตรี” คนต่อไปของไทย อนุทินเป็นผู้ชายที่มีแง่มุมหลายด้านให้ค้นหา เขาเป็นคนอัธยาศัยเรียบง่าย ตรงไปตรงมา และมีความเป็นกันเอง คนใกล้ชิดจะรู้ดีว่า สมัยหนุ่ม ๆ เจ้าตัวใช้ชีวิตผาดโผนตามแบบฉบับผู้ชายขนานแท้ เป็นคนรสนิยมดี เห็นได้จากฝีไม้ลายมือในการเล่นเปียโนที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับนักดนตรีอาชีพเลยทีเดียว เมื่อก้าวสู่ชีวิตการทำงาน เสี่ยหนูเจอ “งานหิน” ต้องพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับของแวดวงธุรกิจ ด้วยการพลิกฟื้น “ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น” ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัว ให้ก้าวพ้นจากสถานะยากลำบากในเวลานั้น สู่การเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างชั้นแนวหน้าของประเทศในเวลานี้ ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น อนุทินก้าวสู่แวดวงการเมืองมานานกว่า 2 ทศวรรษแล้ว ทั้งที่ไม่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยซ้ำ "คนที่มีโอกาส มีฝีมือ มีความพร้อม แล้วไม่มารับใช้ชาติบ้านเมืองในยามที่บ้านเมืองต้องการ ผมว่าแย่กว่านักการเมืองโกงๆ นะ" ที่ผ่านมา เขาเคยเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยุคประจวบ ไชยสาส์น, เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ต่อด้วยการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ช่วงสุญญากาศประชาธิปไตย ภายใต้รัฐบาล คสช. อนุทินได้เป็นกรรมการในคณะกรรมการพัฒนาพรรคการเมืองเพื่อการปฏิรูปประเทศตามรัฐธรรมนูญ ตามคำสั่งคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ 14/2560 แล้วในที่สุด ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญได้มาถึงผู้ชายคนนี้อีกครั้ง เป็นผลสืบเนื่องจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อนุทินประกาศว่าพร้อมเสมอสำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ! แต่หากย้อนไปเมื่อราวกลางปีก่อน เขาให้สัมภาษณ์กับผู้เขียนว่า “ผมยังไม่ได้คิดใหญ่คิดโตขนาดนั้น เพียงแต่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ผมยังไม่เคยได้เป็นรัฐมนตรีว่าการ ยังไม่เคยเป็น ส.ส. สิ่งที่ผมต้องเล็งไว้ก่อนตอนนี้ คือผมต้องมั่นใจว่าพรรคผมต้องแข็งแกร่งพอที่จะเอาพวกผมเข้าสภา โดยเฉพาะผมเข้าไปทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรได้ก่อน” เมื่อถามว่าหากเมืองไทยมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ ทิศทางการเมืองควรเป็นอย่างไร อนุทินตอบว่า “... ถ้ามีการเลือกตั้งขึ้นใหม่ อำนาจการบริหาร ระบอบของประเทศกลับมาเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง ก็คงเป็นอีกครั้งที่ประเทศไทยจะมีรัฐบาลที่มีฝ่ายค้าน แล้วมีระบบการตรวจสอบที่เข้มข้นกว่านี้ ความเกรงใจน้อยกันกว่านี้ มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีการรับรอง หรือไม่รับรองกฎหมายสำคัญ ๆ เช่น กฎหมายงบประมาณ จะมีสีสันอีกแบบหนึ่ง คงไม่มีมาตราพิเศษใด ๆ ที่จะให้อำนาจกับนายกฯ ที่จะทำอะไรก็ได้ ที่เปรียบเสมือนกฎหมาย “หลังการเลือกตั้ง ไม่ว่าใครจะมาเป็นนายกฯ หรือผู้นำประเทศ จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ จะทำอะไรก็มีการถูกคัดค้าน ถูกขอให้ชี้แจง นำเสนอ ก่อนที่จะดำเนินการต่อไป ก็หวังว่าบ้านเมืองจะกลับมาสู่ความเป็นประชาธิปไตยเต็มตัวอีกครั้ง คนเป็นประชาธิปไตยก็ต้องชอบแบบนี้ ความสวยงามของประชาธิปไตย ก็คือการปกครองบ้านเมืองโดยเสียงข้างมากเป็นสำคัญ และมีการตรวจสอบได้” ในความเป็นนักการเมือง อนุทินแสดงทัศนะถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันว่า ออกแบบมาเพื่อไม่ให้มีระบบเผด็จการรัฐสภา เขาเชื่อว่าไม่น่าจะมีพรรคใดพรรคหนึ่งครองเสียงข้างมากได้ ทำให้ต้องมีการร่วมมือกันระหว่างพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่มีสิทธิมีเสียงในสภาผู้แทนราษฎร เขาเห็นว่า การร่วมมือกันจะทำให้เกิดความเกรงใจซึ่งกันและกัน ฟังซึ่งกันและกัน และเป็นการคานซึ่งกันและกัน โดยเจตนารมณ์ต้องถือว่าเป็นเจตนารมณ์ที่ถูกต้อง เพราะประเทศมีแต่ความแตกแยกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จำเป็นต้องมีกฎที่เข้มข้นขึ้นที่จะทำให้ความแตกแยกเกิดขึ้นน้อยที่สุด “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ค่อนข้างจะเขียนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ประเทศไทยในปัจจุบัน ผมไม่ได้บอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีหรือไม่ดี ถูกหรือไม่ถูก แต่ว่ามันถูกเขียนขึ้นมาจากสภาพการณ์ปัจจุบัน น่าจะเชื่อว่าสักระยะหนึ่ง ให้ประเทศไทยสามารถฟื้นตัวจากไข้ ฟื้นตัวจากความอ่อนแออันเนื่องมาจากปัญหาต่าง ๆ สังคม เศรษฐกิจ ความสามัคคีของคนในชาติ ใช้เวลาสักพักหนึ่ง ก็น่าจะกลับมาดีเหมือนเดิม โดยที่ทุกคนได้รับบทเรียนว่า เล่นนอกกติกาไม่ได้ ก็น่าจะเดินหน้าไปในทิศทางที่เป็นบวกได้” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยบอกด้วยว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีทั้ง ข้อดี และ ข้อเสีย ในเชิงการบริหารราชการแผ่นดิน "ข้อดี" ก็มีในเรื่องการจำกัดอำนาจของนักการเมืองให้อยู่ในกรอบที่ค่อนข้างจะขีดทางเดินไว้ให้ "ข้อเสีย" ก็คือความยืดหยุ่นในการบริหารบ้านเมือง หรือการที่มีอำนาจที่จำกัด อาจทำให้การบังคับบัญชา การสั่งการ หรือว่าการผลักดันนโยบายต่างๆ เป็นปัญหาและอุปสรรค ข้อดีอีกประการหนึ่งที่ตัวเขาเองในฐานะหัวหน้าพรรคการเมืองชื่นชมรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คือ เรื่องการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นในภาครัฐที่มีบทลงโทษค่อนข้างรุนแรง และมีความชัดเจน เรียกว่าใครเข้าข่ายฉ้อโกงบ้านเมือง ต้องถูกประหารชีวิตทางการเมืองกันเลย ไม่มีสิทธิที่จะได้กลับเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินอีกต่อไป “ผู้ที่คิดล้มล้างสถาบันหลักของชาติทั้ง 3 สถาบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันที่เป็นที่เคารพสักการะของคนไทยทุกคน จะไม่สามารถมาขอทำเสร็จ แล้วจบเกมกันไป ขออภัยโทษอะไรต่าง ๆ ก็ไม่ได้แล้ว ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ปี 2560 กำหนดไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ปลุกระดมมวลชน และก่อให้เกิดความเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันหลักของชาติ จะต้องถูกดำเนินคดี และไม่มีสิทธิเข้ามาอยู่ในถนนการเมืองอีกต่อไป” หากมีโอกาสได้บริหารราชการแผ่นดิน อนุทินบอกทันทีว่าสิ่งแรกสุดที่เขาสนใจที่จะแก้ไข คือเรื่อง “ความยุติธรรมในสังคม” เพราะระบบต้องยุติธรรมเท่าเทียมกันสำหรับบุคคลทุกชนชั้นในสังคม ต้องไม่เล่นคำพูด เล่นตัวหนังสือ เล่นลิ้น หาช่องโหว่เป็นศรีธนญชัย เป็นพวกบอกไม่ผิด ถ้าไม่ใช่พวกบอกผิด แล้วก็มีคำแก้ตัวต่าง ๆ ที่ฟังไม่ขึ้น “กระบวนการยุติธรรมในประเทศที่พัฒนาแล้ว เขามีคำพูดแค่ 3 คำ คือ justice for all หมายความว่าระบบความยุติธรรมเท่าเทียมกันทุกคน ประเทศไทยต้องมีคำนี้ ซึ่งยังไม่มีคำบัญญัตินี้เป็นภาษาไทย นี่แหละต้นตอของปัญหาทั้งหลายทั้งปวง คนที่มีอำนาจก็มักตีความเข้าข้างตัวเอง ทำอะไรไปโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนที่จะตามมา เพราะถือว่าตัวเองมีอำนาจอยู่ แต่เมื่อพ้นอำนาจไปก็ถูกอีกฝ่ายกลับมีตีว่า เป็นสิ่งที่ผิด ก็เกิดการต่อสู้กัน “เพราะฉะนั้น จากนี้ไปกระบวนการยุติธรรมต่างๆ หรือการร่างกฎหมายอะไรก็แล้วแต่ การตีความกฎหมายต้องมีแต่ดำกับขาว ไม่มีเทา ผิดก็ต้องบอกว่าผิด ถูกยังไงก็ผิดไม่ได้ เป็นอื่นไม่ได้ ไม่ต้องไปแก้อย่างอื่นหรอกครับ ทำแค่ตรงนี้ได้ ทุกคนก็ยอมรับ “วันนี้ทุกคนโดนไม่เท่ากัน เลยไม่รู้ว่าใครผิดใครถูก ผิดก็คิดว่าตัวเองถูก ก็สู้ อีกฝ่ายคิดว่าฝั่งตรงข้ามผิด แต่กระบวนการยุติธรรมบอกว่าถูก ก็สู้ มันก็ไม่พ้นสงครามกลางเมือง ประเทศไทยต้องมีระบบยุติธรรมที่เท่าเทียมและให้ทุกคนเคารพ ถ้ามีการเคารพกติกา มีการเคารพซึ่งกันและกัน ความมีเสถียรภาพก็บังเกิดในสังคม” อนุทิน ชาญวีรกูล แสดงทัศนะการเมืองอย่างเปิดเผย เขาเห็นว่าประเทศไทยบอบช้ำมาเพียงพอแล้ว ทุกคนควรมีบทเรียนมากพอที่จะเคารพในความผิดชอบชั่วดี อำนาจรัฐเป็นเพียงอำนาจชั่วคราว ไม่ได้อยู่กับใครคนหนึ่งคนใดตราบนิจนิรันดร์ แล้วทิ้งท้ายว่า “อย่าไปคิดว่า ชนะวันนี้แล้วจะชนะตลอดกาล มันเป็นสัจธรรมที่เกิดขึ้นมานักต่อนัก”