สิงโต นำโชค อดีตเด็กโรงกลึง ที่ชอบแอบหนีงานไปเล่นดนตรีในผับ

สิงโต นำโชค อดีตเด็กโรงกลึง ที่ชอบแอบหนีงานไปเล่นดนตรีในผับ

อดีตเด็กโรงกลึง ที่ชอบแอบหนีงานไปเล่นดนตรีในผับ

ผมสะดุดกับบทสัมภาษณ์ของสิงโต นำโชค ที่ว่า “ถ้าให้พูดถึงอดีตที่ลำบากและกลายมาเป็นแรงบันดาลใจของผู้คนได้ไง ผมคงอธิบายไม่ได้เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองลำบากเลยตอนเล่นดนตรี แม้จะไม่มีเงิน ผมก็มีความสุข” และพอได้พูดคุยกับเขาแล้วถึงรู้ว่า ชีวิตของชายคนนี้เต็มไปด้วยเบื้องหลังที่น่าสนใจไม่น้อย สิงโตใช้ชีวิตบนพื้นฐานที่ว่า

“จงเลือกทำในสิ่งที่รัก เพราะมันคือความสุขที่สุดของการใช้ชีวิต”

เร็ว ๆ นี้หนุ่ม สิงโต มีคิวขึ้นเวทีในเทศกาลดนตรี Season of Love Song ครั้งที่ 9 ซึ่งจะจัดขึ้นวันเสาร์ที่ 1 ธันวาคมนี้ ที่เวเนโต้ สวนผึ้ง ราชบุรี วันนี้ The People ขอหยิบเรื่องราวของชายคนนี้มาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง นำโชค ทะนัดรัมย์ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “สิงโต นำโชค” เกิดและโตที่จังหวัดบุรีรัมย์ หนุ่มจากแดนอีสานคนนี้ใช้ชีวิตอยู่กับดนตรีมาตั้งแต่เด็กเพราะต้องติดตามพ่อของเขาที่เป็นนักร้องลูกทุ่งไปในทุกที่ “พ่อผมเป็นนักร้องลูกทุ่งตามผับ ตามคาเฟ่ พอผมโตมาหน่อยพ่อก็พาไปทัวร์ด้วยบ่อย ๆ” แม้พ่อของตัวเองจะเป็นถึงนักร้อง แต่ตัวสิงโตเองก็ไม่เคยมีความคิดอยู่ในหัวว่าตนจะต้องมีชีวิตแบบนั้น เด็กทุกคนมีความกลัวที่ต่างกันแต่เด็กชายสิงโตในตอนนั้นกลัวการร้องเพลงเหลือเกิน “ตอนเด็ก ๆ ผมเป็นคนที่กลัวการร้องเพลงมาก กลัวเวที ผมไม่คิดว่าตัวเองจะทำแบบนั้นได้ เมื่อผมเห็นเด็กรุ่นเดียวกันทำแบบนั้น ผมจะพูดเสมอว่าเด็กพวกนั้นสุดยอดเลยทำได้อย่างไร พ่อผมก็แซวตลอดว่า เอออายไหมนั่น” ด้วยการที่บ้านมีฐานะปานกลางค่อนล่าง ไป ๆ มา ๆ ครอบครัวของสิงโตก็เริ่มประสบปัญหาทางการเงิน ทำให้เขาต้องพักการเรียนเอาไว้แค่ ป.6 เท่านั้น สิงโตตัดสินใจโกหกพ่อของเขา เพื่อหวังว่าสิ่งที่เขาทำจะช่วยครอบครัวได้บ้าง “มีอยู่วันหนึ่งพ่อผมเดินมาถามผมแปลก ๆ ว่าอยากเรียนหนังสือต่อไหม ผมก็รู้ทั้งรู้ว่ามีเรื่องอะไร ผมตัดสินใจบอกพ่อกลับไปว่า ผมไม่อยากเรียนแล้วพ่อ ผมขี้เกียจ ผมตอบพ่อไปแบบนั้น เพื่อทำให้แกสบายใจ”

อายุ 12 ทำงานในโรงงานเหล็ก

จากคำพูดของสิงโตในวันนั้นทำให้ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ สิงโตถูกส่งไปทำงานในโรงกลึงกับคุณอาที่กรุงเทพ จากเด็กที่มีชีวิตธรรมดาวิ่งเล่นให้พ้นไปวัน ๆ กลายเป็นว่าเขาต้องใช้ชีวิตด้วยความอายแถมชีวิตไม่มีความสุขกว่าเดิม “ตอนนั้นเราก็มีความอายเวลาเจอเพื่อน เจอใคร ๆ เด็กคนอื่นเขาใส่ชุดนักเรียนกัน แต่เราต้องมาใส่ชุดช็อปทำงาน” แต่ชีวิตของสิงโตเปลี่ยนไปทันทีเมื่อไปพบกับกีตาร์ที่พี่ในโรงกลึงนำมาเล่น เขารู้สึกเริ่มชอบมันทันที แต่ก็ยังไม่มากพอให้เขาเดินหน้าทำอะไรที่แตกต่าง แและในทันทีที่เขาได้ชมการให้สัมภาษณ์ของศิลปินรุ่นพี่อย่าง โบว์ สุนิตา ทางโทรทัศน์ มันกลายเป็นการจุดประกายความฝันของสิงโตขึ้นมาทันที “ผมได้ดูพี่โบว์ สุนิตา มาพูดถึงเบื้องหลังการเป็นนักร้อง ตอนนั้นผมคิดในใจว่า เห้ยมันดีจังเลยชีวิตแบบนั้น ดูน่าสนุกได้ออกทีวีแถมได้ตังค์อีก ผมคิดในใจว่าเนี่ยแหละอาชีพที่ผมอยากจะทำ” สิงโตไม่รอช้าเดินเข้าไปให้คนสอนกีตาร์ให้ และเริ่มฝึกร้องเพลง ลองผิดลองถูกจนกระทั่งได้มีวงของตัวเองเล่นกับเพื่อนสี่ห้าคน ตามประสาชีวิตนักดนตรี สิงโตและเพื่อน ๆ ก็ตระเวนหาผับเล่นเพื่อสะสมฝีมือประสบการณ์ และจากความชอบในเสียงดนตรีทำให้สิงโตมักแอบหนีงานไปเล่นตามผับอยู่บ่อย ๆ แต่การที่จบเพียงชั้นประถม สิงโต มักจะถูกมองข้ามเรื่องฝืมือเสมอ ระหว่างทำงานที่โรงกลึงมีรุ่นพี่คนหนึ่งมาพูดกับเขาว่า “จะไปเป็นนักดนตรีได้ไงจบแค่ ป.6 นักร้องคนอื่นเขาจบปริญญาตรีกันหมด” สิ่งนี้กลายเป็นแรงกระตุ้นให้เขาไปศึกษาต่อในระดับ กศน.จนจบ ม.6

ออกจากโรงกลึงเพื่อไปทำตามความฝัน 

สิงโตเดินมาอยู่ในจุดที่ต้องตัดสินใจ เขารู้ตัวดีว่าตัวเองจะไม่ยอมหยุดอยู่แค่เด็กโรงกลึงแน่ ๆ เขาตัดสินใจออกจากโรงกลึงเพื่อเดินตามความฝันของตัวเอง ด้วยการเล่นผับและทำเพลงของตัวเองไปด้วย จนมีอยู่วันหนึ่งก็มีค่ายเพลงชื่อดังสนใจพาสิงโต และเพื่อนไปออกอัลบั้ม “ตอนนั้นสำหรับผมโอกาสมันน้อย ผมก็เลยมานั่งคิดว่าทำอย่างไรจะไปถึงฝันได้ ผมคิดแค่ว่าถ้าผมออกไปเล่นดนตรีในผับอย่างน้อย มันก็ใกล้ขึ้น” สิงโตไม่เคยวางแผนอะไรในชีวิต นอกเหนือไปจากการเล่นดนตรี เขาไม่มีแผนสอง และเขาหันหลังกลับไปไม่ได้ ในวันที่ยอดขายอัลบั้มไม่เป็นใจจนวงแตก มันเป็นเวลาเดียวกับที่เขาสามารถตกตระกอนทางความคิดได้ว่าต่อจากนี้ เขาจะทำแต่สิ่งที่ตัวเองมีความสุขเท่านั้น และจากแรงบันดาลใจที่ได้เห็นนักดนตรีริมหาดเล่น ทำให้สิงโตมองหาร้านอาหารที่รับนักดนตรีริมทะเล จนสุดท้ายก็มีร้านที่ต้องการให้เขาไปเล่นที่ “ภูเก็ต”

จากสามเดือนกลายเป็นสามปี

ตอนแรกสิงโตวางแผนจะอยู่แค่สามเดือน เพื่อหาแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง แต่ไป ๆ มา ๆ เขาเริ่มมีฐานแฟนของตัวเองที่นั่น และเริ่มค้นพบความสุขของตัวเองในการเล่นดนตรี จากชีวิตที่ไม่ใช่กับใช่ขึ้นมาสำหรับเขา “ตอนนั้นในหัวเลิกคิดเรื่องการออกอัลบั้มแล้วจะมีความสุขไปเลย เราแค่ไม่เอาความสุขและความฝันมาแขวนไว้อีกต่อไป” สิงโตเคยให้สัมภาษณ์กับรายการ Perspective “ผมชอบชีวิตที่ภูเก็ตมาก ๆ มันทั้งสงบและสบาย คุณไม่ต้องคิดเรื่องทำอัลบั้ม คุณแทบไม่ต้องคิดว่าจะเป็นคนดังไหม ทั้งหมดที่คุณต้องการคือจับกีตาร์ขึ้นมาแล้วร้องเพลง” ภูเก็ต ทำให้สิงโต ได้รู้จักกับคนมากมายหนึ่งในนั้นคือ นิตติ้ง พี่สาวของโปรดิวเซอร์คู่ใจในปัจจุบันของเขา (Kijjaz) เธอคือคนที่ชวนให้สิงโตส่งเพลงของตัวเองมาที่ค่าย Pollen Sound ต่อมาสิงโตได้เดินทางกลับมาที่กรุงเทพและได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์ Kijjaz ก่อนจะร่วมกันสร้างสรรค์ดนตรีแนวเซิร์ฟจนโด่งดังกลายเป็นที่รู้จักในหมู่คนไทย ซึ่งนับตั้งแต่ที่เพลง “ทิ้ง” ของเขาถูกปล่อยออกมาชีวิตของผู้ชายคนนี้ก็เปลี่ยนไปตลอดกาล “ผมเล่นดนตรี ผมก็มีความสุขกับมันนะ ได้ร้องเพลงเล่นในผับ ผมทำสิ่งพวกนี้ได้เพราะผมมีความสุขกับมัน ผมเลยไม่หยุดทำ ผมก็เลยเริ่มแต่งเพลง ผมเคยเอาเพลงไปเสนอค่ายอื่นเขาก็ไม่สนใจ แต่ก็ด้วยความที่เรามีความสุขที่ได้ทำมัน เราจึงไม่หยุดทำจนมาเจอค่ายที่ให้โอกาสเรา”

รักที่จะเล่นดนตรี

ปัจจุบันสิงโต กลายเป็นศิลปินที่ได้รับความนิยมสูง มีเพลงดัง ๆ มากมาย เช่น อยู่ต่อเลยได้ไหม หรือ อยู่อย่างเหงา ๆ นอกจากงานเพลงแล้วเขายังผ่านงานแสดงมาหลายเรื่อง ร่วมถึงเคยเป็นโค้ชในรายการประกวดร้องเพลงอย่าง The Voice มาแล้ว เรื่องราวของสิงโตสะท้อนให้เราเห็นว่า การเลือกทำในสิ่งที่เรารัก มันคือความสุขที่สุดของการใช้ชีวิต “ทุกงานทุกอาชีพ ถ้าเราไม่รักมันจริง ๆ ไม่รู้สึกมีความสุขอยู่กับมันจริง ๆ มันก็คงเป็นอะไรที่ยากนิดนึง แต่ถ้าเรารักมัน มันก็จะไม่หยุดทำไปเอง แค่เราไม่หยุดทำในสิ่งที่รัก เราอยากจะเป็น อยากทำอะไรก็ได้หมดทั้งนั้น สำหรับผมผมเลือกที่จะจดจำในช่วงเวลานี้และมองมันอย่างมีความสุข ขอบคุณกับสิ่งที่มี” สิงโต กำลังจะขึ้นคอนเสิร์ตบนเวทีใหญ่อย่าง “Chang Music Connection Presents Season of Love Song Music Festival ครั้งที่ 9 Cloud 9” เทศกาลดนตรีเริ่มต้นฤดูหนาวอันดับหนึ่งของสวนผึ้งที่ทุกคนรอคอย ซึ่งจะจัดขึ้นวันเสาร์ที่ 1 ธันวาคมนี้ ที่เวเนโต้ สวนผึ้ง ราชบุรี และนอกจากสิงโต แล้ว งานนี้ยังมีศิลปินระดับท็อปอีกมาก เช่น สครับบ์, ตู่ ภพธร, วิน ศิริวงศ์, วี ไวโอเล็ต และการกลับมาจับไมค์อีกครั้งของสาว ทาทา ยัง