‘ตูน หิ้วหวี’ จากเด็กที่กลัวจนไม่อยากเป็น ‘กะเทย’ สู่ตัวแม่แห่งการ ‘แอ่นระแนง

‘ตูน หิ้วหวี’ จากเด็กที่กลัวจนไม่อยากเป็น ‘กะเทย’ สู่ตัวแม่แห่งการ ‘แอ่นระแนง

‘ตูน หิ้วหวี’ หรือ ‘Alie Blackcobra’ เล่าเหตุการณ์วัยเด็ก ที่ทำให้เธอหวาดกลัวถึงขั้นไม่กล้าเปิดเผยตัวตนกับใคร ก่อนจะกลายมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์สุด strong เจ้าของเพลง ‘แอ่นระแนง’ ที่คนทั้งร้องทั้งเต้นกันได้ทั่วบ้านทั่วเมือง

“แกมันเก่งอยู่แล้ว แกจะผ่านมันไปได้เหมือนทุกครั้งนั่นแหละ…”

นี่คือความรู้สึกของเรา หลังจากเห็นข่าว ‘ตูน หิ้วหวี’ หรือ ‘Alie Blackcobra’ อินฟลูเอนเซอร์คนดังแห่ง ‘แก๊งหิ้วหวี’ ออกมาเปิดใจผ่านคลิปว่า เธอป่วยเป็นมะเร็งอัณฑะระยะที่ 1 

แม้ตอนนี้จะผ่านพ้นการผ่าตัดไปด้วยดี ไม่ต้องมีการให้ยาเพิ่มเติม แต่หลังจากนี้เธอจะต้องติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง และต้องรักษาสุขภาพให้ดี เลิกบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลง 

นับเป็นเรื่องน่าตกใจ หากย้อนคิดไปว่า เมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ตูนเพิ่งเดินทางมาให้สัมภาษณ์กับ The People ด้วยความร่าเริงสดใส และเป็นกันเอง โดยที่ไม่รู้ว่าเจ้าเนื้อร้ายกำลังจ้องเล่นงานเธออยู่เงียบ ๆ 

แต่เราและอีกหลาย ๆ คนที่ได้ฟังคลิปสัมภาษณ์ในครั้งนั้น ต่างเชื่อสนิทใจว่า ตูนจะต้องผ่านเรื่องร้ายนี้ไปได้ เหมือนที่เธอผ่านมาทั้งประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก ทั้งดรามาโลกโซเชียลที่ทำให้การมองโลกของเธอเปลี่ยนไป 

“ถ้าเราผ่านไปได้ เราก็จะชมตัวเองอีก งั้นผ่านมันไปให้ได้สิ ถ้าเรายังอยากได้ยินคำชมจากตัวเองอีก” ตูน บอกเล่าความรู้สึกหลังจากก้าวผ่านเรื่องสาหัสมานับครั้งไม่ถ้วน  

ต่อไปนี้คือบทสัมภาษณ์ของ ‘ตูน หิ้วหวี’ หรือ ‘Alie Blackcobra’ ที่ทรงพลังในแง่เนื้อหา และเต็มเปี่ยมด้วย ‘แรงบันดาลใจ’ ที่เจ้าตัวอยากส่งต่อให้ทุกคน 
 

The People: ทราบมาว่าชีวิตตอนเด็กของตูน เติบโตมาแบบยากลำบากมาก

ตูน หิ้วหวี: จริง ๆ ที่บ้านมีหนี้สิน แต่ว่าเราอะเป็นคนที่มองโลกในแง่บวกมาตั้งแต่เด็ก เราเลยจะมองว่า วันนี้ไม่มีข้าวกินไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็ได้กินข้าวกับแม่ อย่างน้อยเราก็มีการ์ตูน คือมันเป็นการที่เราไม่มีแล้วเราชินซะมากกว่า เราเลยไม่รู้สึกว่ามันยากลำบาก แต่พอเรามาย้อนคิดตอนโตว่า ตอนเด็กมันยากลำบากจริงไหม เออ มันยากลำบากเว้ย แต่ทำไมเราใช้ชีวิตอยู่มาได้อะ โดยที่เราไม่มีน้ำตาหรือว่าเรายังสนุกกับมันในทุก ๆ วัน อาจจะเป็นเพราะว่าความคิดที่มันแบบเด็กมาก ๆ ไม่ได้มีความรับผิดชอบอะไรสูงมากมาย แต่เรารู้นะว่าคุณแม่เขาเหนื่อย คุณยายเขาเหนื่อย ทำงานต่าง ๆ แล้วก็มีหนี้สิน ใช้หนี้ต่าง ๆ 

‘ตูน หิ้วหวี’ จากเด็กที่กลัวจนไม่อยากเป็น ‘กะเทย’ สู่ตัวแม่แห่งการ ‘แอ่นระแนง

ความยากลำบากในตอนเด็ก ๆ เนี่ย เคยมีถึงขั้นคุณยายไม่มีเงินจ่ายค่าไฟ แล้วถูกตัดไฟ ไม่มีเตารีดรีดเสื้อผ้าไปโรงเรียน ไม่มีเงินไปโรงเรียน แต่ว่ามันมีโครงการอาหารกลางวันฟรีอยู่แล้ว เราก็พอเอาตัวรอดได้ แต่ทุกอย่างมันแบบสนุกดีอะ มันเหมือนเกมที่ต้องเอาชีวิตรอดในแต่ละวัน คือตูนไม่รู้สึกว่ามันท้อแท้ หรือผิดหวัง หรือสิ้นหวังในชีวิตเลย จนเริ่มรู้สึกมันประมาณตอนมัธยมปลายว่า เราอะ อยากมีอนาคตที่มันไปไกลกว่านี้ เราอยากเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง ก็เลยพยายามถีบตัวเอง หาทุนการศึกษาเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ แล้วก็เริ่มทำงานเบื้องหลังมาเรื่อย ๆ ก็ถือว่า ถ้าความลำบาก ณ ตอนนั้นเป็นแรงผลักดันให้มาจนถึงตอนนี้ มันเป็นสิ่งที่ดีไหม มันโคตรเป็นสิ่งที่ดี

คำว่า wanna be บางทีถ้าเรามองอะ มันสามารถเป็นลบได้ แต่ถ้าเรามองให้มันเป็นบวก มันก็จะเป็นบวกกับเราได้ ตูนเป็นหนึ่งคนที่แบบโคตรจะ wanna be ที่อยากมาอยู่ตรงนี้ แล้ว ณ ปัจจุบันมันก็เป็นอีกหนึ่งความฝันที่เราสามารถติ๊กถูกไป 1 ข้อแล้ว รู้สึกว่าดีใจนะ ดีใจที่ตัวเองไม่ได้พอใจกับจุดที่ตัวเองอยู่ ณ ตอนนั้น ดีใจที่สู้ในทุก ๆ อย่าง จนมาถึง ณ ตอนนี้ ก็ถือว่าเป็นความลำบากที่พาเรามาสู่การประสบความสำเร็จแล้วกัน 

The People: ความยากลำบากในวันนั้นคือสิ่งที่หล่อหลอมให้เป็นเราวันนี้

ตูน หิ้วหวี: มันหล่อหลอมไหมเหรอ? มันก็อาจจะหล่อหลอมนะ เหมือนแบบว่า โอ๊ย คือเราเป็นลูกแม่ค้า เราไม่อยากไปขายของร้อน ๆ อะ มันเป็นสิ่งที่เราไม่อยากทำตั้งแต่เด็ก แต่เราต้องทำเพื่อช่วยคุณแม่ เพื่อหาเงินไปโรงเรียนเนอะ มันก็อาจจะหล่อหลอมให้เราพยายามทำตัวเองให้มีจุดเด่นขึ้นมา หรือมีชื่อเสียงขึ้นมา และการพูดคุยเก่ง ๆ อะไรอย่างนี้ ก็อาจจะได้สกิลมาจากคุณยายที่คุยกับลูกค้า มันทำให้เรารู้สึกว่าเป็นคนกล้าแสดงออก เพราะว่าครอบครัวตรงนั้นที่สอนเรามา หลาย ๆ อย่างเป็นสิ่งที่ทำให้เราจดจำ ถามว่าเกลียดจนไม่อยากจะอยู่ตรงนั้นเลยไหม หนูว่าไม่ถึงขั้นนั้น แต่ว่าถ้ามีโอกาสที่จะไปได้มากกว่านี้ หนูก็จะมาจากตรงนั้น 

The People: เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณแม่กับคุณยาย

ตูน หิ้วหวี: จริง ๆ คือตูนถูกเลี้ยงมาโดยคุณยาย ส่วนคุณแม่ ตูนจะคิดว่าเป็นเหมือนพี่สาวคนหนึ่ง เราก็เลยจะรู้สึกว่าเราไม่ได้สนิทกับคุณแม่แท้ ๆ แบบแม่ ทีนี้เราจะกล้าเล่าทุก ๆ อย่าง หลาย ๆ อย่างในชีวิตในเรื่องของวัยรุ่นให้กับคุณแม่ฟัง แต่สำหรับคุณยายเราจะกลัวเขามาก เราจะคิดว่าเขาคือแม่ท่านหนึ่งอะไรอย่างนี้ คือทั้งบ้านเป็นหญิงโสดหมดเลย ไม่มีคุณพ่อ ถามว่ามันยากไหม มันก็ไม่ยากเท่าไหร่ เหมือนมันทำให้ตูนเป็น LGBTQ+ ด้วยนะ เพราะว่าทั้งครอบครัวเป็นผู้หญิงหมดเลย แล้วเราก็มีพฤติกรรมการลอกเลียนแบบ เห็นเขาทาลิปสติก เราก็อยากทา เห็นเขาหนีบผม เราก็อยากหนีบ แต่ผมแบบหัวเกรียนเลย ไม่รู้จะทำได้ยังไง (หัวเราะ) 

พอโตมาเรื่อย ๆ เราเริ่มแสดงออกทางพฤติกรรมว่า เรามีความเป็นแบบ LGBTQ+ คุณยายเริ่มรับไม่ได้ เราเสียใจมาก เพราะเราเห็นเขาเป็นแม่ แต่เรากล้าเล่าให้กับคุณแม่ฟัง ก็เริ่ม blend in ไปเรื่อย ๆ หมายถึงคุณแม่เขาก็ไปเล่าให้คุณยายฟัง ก็แบบเป่าหู ๆ ไป จน ณ ปัจจุบัน คุณยายเขาก็ยอมรับตูน ครั้งแรกที่เขายอมรับ เขาไม่เคยพูดนะว่า แม่ยอมรับแล้ว แต่เขายอมรับในขณะที่หนูนั่งแต่งหน้าอยู่ แล้วเขามานั่งหนีบผมให้ แบบแม่หนีบให้ไหม คุณยายพูดแม่หนีบให้ไหม ซึ่งเรารู้สึกว่า โอ๊ย appreciate จัง ในขณะที่เขาเคย ignore กับสิ่ง ๆ นี้มาก ๆ แต่ ณ ปัจจุบันเขามาช่วยเรานั่งหนีบผมให้หนูไปทำงาน ก็รู้สึกเป็นการกระทำที่บ่งบอกถึงคำตอบอย่างชัดเจนเลย 

‘ตูน หิ้วหวี’ จากเด็กที่กลัวจนไม่อยากเป็น ‘กะเทย’ สู่ตัวแม่แห่งการ ‘แอ่นระแนง

The People: เคยได้พูดคุยกับคุณยายไหมว่าเรารู้สึกอย่างไรกับ moment นั้น

ตูน หิ้วหวี: ถ้าถามถึงเรื่องนี้ หนูไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับคุณยาย เพราะว่าเรากลัวเขานะ เรากลัวเขามาก ก็เลยไม่ได้พูดเรื่องนี้ แต่ว่าพยายามทำทุกอย่างให้เขามองว่าเราเก่ง แล้วก็กล้าที่จะอยู่ตรงนี้ได้ เก่งพอที่จะทำงาน มีเงินกินข้าวในแต่ละวันได้ ทำให้เขาเห็นถึงศักยภาพของเราในการใช้ชีวิต เพราะเขาเป็นห่วงเรา เขาคิดว่าพอเราเป็นแบบนี้ มันเหมือนจะเอาชีวิตไม่รอดในสังคม เอาตัวไม่รอด แต่เหมือนเขาเห็นว่าเราทำได้ หนูก็ดีใจอะ ไม่ต้องให้เขาเป็นห่วงแล้ว 

The People: แล้วสังคมโรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง

ตูน หิ้วหวี: เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เล่นกับผู้หญิง แต่ว่าเขาให้เราเป็นตัวพระเอก (หัวเราะ) เราอะอยากเป็นตัวนางเอก ไม่ก็เพื่อนนางเอก แต่เขาให้เราเป็นตัวพระเอก แล้วเราก็เล่น ๆ ไป เราก็รู้สึกว่า เฮ้ย เราไม่ได้อยากเป็นพระเอกนะ เราอยากเป็นตัวนางเอกด้วย ตัวร้องเพลงเพราะ ๆ ด้วย ก็เลย come out ออกมาในชั้นเรียนว่า เออ ฉันเนี่ยอยากเป็นอย่างนู้นอย่างนี้นะ ฉันอยากเป็นเพื่อนเธอ ฉันไม่ได้อยากมาเป็นตัวพระเอกให้เธอ ก็เกิดการว่าเม้าท์กันในวงห้องชั้นเรียน เพื่อนผู้ชายก็จะเริ่มรังแก แบบขังไม่ให้ออกจากห้องเรียนจนถึง 6 โมงเย็น กลับบ้านไม่ได้ ก็โดนต่อย โดนลากกับพื้นอะไรอย่างนี้ค่ะ ตั้งแต่เด็กเลย 

คือด้วยความที่เราแบบติ๋มมาก ๆ แบบไม่สู้คนเลย แล้วก็เป็นเด็กอ้วน ๆ น่ารัก ๆ แก้มเยอะ ๆ ก็จะน่าแกล้ง น่าหมั่นไส้ หนูจำได้เลยอะ บางทีถ้าไม่ท่องศัพท์มาเรียน คุณครูจะตี มันก็จะมีผู้ชายคนหนึ่งแบบผมขอตีครับ แล้วก็เอาไม้เรียวของคุณครูมาตีแทนคุณครู  ตีหนูด้วยความแรงเต็มเหนี่ยว เต็มรูปแบบ เหมือนเกลียดหนูมาก ๆ ตีเพื่อจะให้ความเป็นกะเทยของหนูหลุดออกไปมั้ง ซึ่งมันแบบ no way แต่ปัจจุบันนี้คือมันไปคนละทางแล้วค่ะกับผู้ชายคนนั้น ซึ่งหนูจำได้เลยว่าเขาคือใคร ชื่ออะไร มันเป็นแบบความแค้นลึก ๆ ในใจตอนเด็ก ๆ เหมือนกันนะ 

The People: วันนี้อยากจะบอกอะไรกับผู้ชายที่เอาไม้ของคุณครูมาตีเรา

ตูน หิ้วหวี: หนูไม่รู้พูดได้ไหม แต่ว่าผู้ชายคนนั้นคือหนูอโหสิกรรมทุก ๆ อย่างให้กับเขาแล้ว เพราะว่าเขาเสียชีวิตแล้วค่ะ แต่ว่าไม่เป็นไร หนูเชื่อว่าอดีตของเด็กหลาย ๆ คน มันก็เป็นแรงผลักดันมาให้จนถึง ณ ปัจจุบันนี้ว่า เราอยากสู้เพื่อยืนหยัดความเป็นตัวเองให้ได้มากที่สุด 

The People: การโดนลาก โดนทุบตี เป็นการกระทำที่แย่ที่สุดที่เราเจอในวัยเด็กหรือยัง

ตูน หิ้วหวี: หนูว่าแย่ที่สุดคือ โดนขังในห้องน้ำ คือในหนังที่ว่าแรงแล้ว หนูว่าหนูก็แรงมาก ๆ โดนแบบเอาอาหารในโรงอาหารใส่กระเป๋าเป้ ทั้ง ๆ ที่หนูไม่เคยมีเรื่องกับใครเลย แต่ว่ามันเป็นการแกล้งของกลุ่มผู้ชายแกล้งหนู 

The People: แล้วบอกที่บ้านหรือใครไม่ได้เลยเหรอคะ?

ตูน หิ้วหวี: เคยบอกครั้งหนึ่ง คุณแม่มาคุยกับคุณครู ซึ่งหลังจากนั้นนะ แก๊งผู้ชายเขาก็จะทำกับหนูหนักมากขึ้นกว่าเดิม หนูเลยไม่บอกที่บ้านอีกต่อไป เพราะหนูกลัวว่ามันจะหนักมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งมันเป็นความคิดตอนเด็กมาก ๆ ตอนสมัยประถม - ม.ต้น ค่ะ มันกลัว มันกลัวทุกอย่างเลย ไม่กล้าที่จะไปเรียน 

หนูไม่รู้ว่าทุกคนเป็นเปล่านะ แต่ว่าวิชาลูกเสือ ผู้ชายก็จะแยกเรียนกับเนตรนารี แต่ถ้าเรียนในห้องอะ หนูก็จะนั่งอยู่กับเพื่อนผู้หญิงใช่ไหม แต่พอเรียนลูกเสือ-เนตรนารี หนูก็ต้องไปอยู่กับแก๊งผู้ชาย หนูมีเพื่อนที่เป็นแบบนี้น้อยมาก หนูโดนแกล้งวิชาลูกเสือทุกอาทิตย์ แล้วหนูอะ โคตรไม่ชอบไปเรียนวิชาลูกเสือเลย 

มันเคยโดนแกล้งถึงขั้นว่า คุณครูก็แกล้งหนู คือให้ไปยืนหน้าแถว คือตอนนั้นทุกคนถอดเสื้อหมดเลย เหมือนโดนทำโทษอะไรนี่แหละหนูจำไม่ได้ โดนถอดเสื้อหมดเลย แล้วให้ไปยืนหน้าแถว แล้วก็ให้หนูเต้น แล้วก็ให้หนูทำท่าปิดหน้าอกอย่างนี้ เหมือนผู้หญิงที่ถอดเสื้ออยู่ แล้วก็เต้น แล้วก็ให้เพื่อนขำ หดหู่มากเลยอะ แย่มากเลย แล้วหนูเชื่อว่าเด็ก ๆ หลาย ๆ คนก็คงจะโดนแบบหนูมาเยอะ มีน้อง ๆ DM มาหาหนูเยอะมากว่า โดนเพื่อนในชั้นเรียนแกล้ง หนูก็จะมีวิธีตอบกลับน้องไปว่า คนเราต้องอยู่เพื่อเรียนรู้ตัวเอง และต้องทำให้คนอื่นเห็นว่าเรามีค่ามากแค่ไหน

หนูเคยกลัวมาก ๆ จนว่าไม่อยากเป็นกะเทยแล้ว ไม่อยากบอกใครอะ ไม่กล้าบอกใครแล้ว เพราะกลัวมาก ๆ ตอนที่ย้ายห้องเปลี่ยนห้อง หนูไม่กล้าบอกใคร แต่เชื่อไหมว่าหลังจากเหตุการณ์เด็ก ๆ แก๊งพวกนั้นผ่านมา หนูเจอแต่คนดี ๆ มาหมดเลย หมายถึงว่าเขาก็ยอมรับในสิ่งที่หนูเป็น และให้หนูเป็นหัวหน้าห้อง ให้หนูมีปากมีเสียงกับอาจารย์ เป็นผู้นำได้ แล้วทุกคนก็รู้ว่าหนูเป็น LGBTQ+ 

‘ตูน หิ้วหวี’ จากเด็กที่กลัวจนไม่อยากเป็น ‘กะเทย’ สู่ตัวแม่แห่งการ ‘แอ่นระแนง

The People: เราก้าวข้ามช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไร

ตูน หิ้วหวี: มันก้าวข้ามผ่านมาได้ หนูไม่รู้นะ แต่เพื่อนหลาย ๆ คนบอกว่าหนูเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นคน creative ชอบกิจกรรม ก็เลยให้หนูเป็นผู้นำ พอหนูโดนยอมรับว่าเป็นผู้นำ หนูก็รู้สึกว่า เออ รู้สึกดีจัง แล้วก็กล้าที่จะแสดงออกมากขึ้นในหลาย ๆ ด้าน เริ่มมาตอนประมาณแบบ ม.3 ม.4  

The People: พอย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ สังคมแตกต่างจากเดิมเลยไหมคะ

ตูน หิ้วหวี: โอ้ มันแตกต่างนะ สำหรับหนูคือมันใหม่อะ คนกรุงเทพฯอะ เขาไม่ได้สนใจเราเลยว่า เราจะเป็นอะไรแบบไหน มันโชคดีตรงที่หนูเข้ามาในยุคที่มันมีความคิดใหม่ ๆ เกิดขึ้นมามากแล้ว ทุกคนล้วนแล้วแต่ชื่นชมกันและกัน ที่หนูเจอนะ แล้วหนูรู้สึกว่าดีอะ มันเป็นสังคมที่แฮปปี้จัง โชคดีของหนูด้วยแหละที่ อยู่ในวงโคจรของคนที่ดีอะ 

The People: ชีวิตช่วงที่เข้ามาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯเป็นอย่างไรบ้าง

ตูน หิ้วหวี: ก็เป็นเด็กต่างจังหวัด ติ๋ม ๆ เงียบ ๆ ไม่ค่อยกล้าแสดงออกเท่าไหร่ค่ะ แต่ว่าพอได้เข้ามหา’ลัย แล้วมีกลุ่มเพื่อน แล้วก็เริ่มมั่นใจมากขึ้น หนูเป็นคนที่ชอบมีเพื่อนเสริมสร้างความมั่นใจหนูในแต่ละวัน เช่น วันนี้ฉันสวยไหม เพื่อนก็จะอวยว่าสวย เออ มั่นใจ กล้าออกจากบ้านแล้ว เพื่อนก็เหมือนยาชูกำลังอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ  

The People: เรียกว่าเพื่อนมีส่วนสำคัญตั้งแต่เด็กยันโตเลย

ตูน หิ้วหวี: เออใช่ จริง ๆ นะ หนูรู้สึกว่าเพื่อนเป็นแรงขับเคลื่อนหนูในหลาย ๆ ด้าน ตั้งแต่เด็กยันโตเลยว่า ให้หนูชอบแบบนั้น ชอบแบบนี้อะไรอย่างนี้ เหมือนหนูหาทางตัวเองเจอเพราะเพื่อนด้วยนะ เหมือนเพื่อนซัพพอร์ตหนู อย่างที่เล่าไปคือเหมือนหนูกลัวที่บ้าน ไม่กล้าเล่าให้ที่บ้านฟัง หนูก็จะมีเพื่อนที่คอยซัพพอร์ตหนู เห็นว่าหนูทำอย่างนู้นอย่างนี้แล้วมันดี เริ่มจากการถ่าย fashion shoot ที่บ้านตั้งแต่เด็ก ๆ ม.5 ออกไปป่าไปถ่ายรูปกัน เพื่อนก็บอก เออ เก่งนะ หนูทำกราฟฟิกก็สวย มันโดนคำชมแล้วมันรู้สึกดีนะ หมายถึงว่าเพื่อนมันซัพพอร์ตกัน หนูก็รู้สึกดีค่ะ 

The People: เลยทำให้เราอินกับมิตรภาพมาก ๆ ด้วยหรือเปล่า

ตูน หิ้วหวี: เออ การสัมภาษณ์ครั้งนี้ทำให้หนูรู้สึกว่า เพื่อนสำคัญกับหนูตั้งแต่เด็กมากเลยอะ เออ หนูเลยรู้สึกว่าอินกับมิตรภาพทุกช่วงเวลา อืม จริง  

The People: เริ่มเข้ามาแก๊งหิ้วหวีได้ยังไงคะ

ตูน หิ้วหวี: แก๊งหิ้วหวีนี่จับพลัดจับผลูมากเลยพี่ ตอนนั้นหนูก็ถ่ายแบบอะไรของหนูไป หนูก็จะแปลก ๆ อยู่ในแพลตฟอร์มโซเชียลเนอะ หนูได้ไปเจอคุณมิกซ์ เฉลิมศรี ที่ตลาดนัด แล้วเขาก็ชวนหนูไปไลฟ์สด ไปขายของ ไปนู่นนั่นนี่ ซึ่งหนูไม่รู้วิธีการทำขายของในโลกออนไลน์ ไม่รู้อะไรเลย หนูรู้แค่ว่าหนูถ่ายรูปแต่งตัวเวอร์ ๆ แล้วก็ลงอะไรอย่างนี้ ซึ่งพอไปอยู่ตรงนั้น อ๋อ มันหาเงินได้เนอะ 

ทีนี้พี่มิกซ์รู้จักพี่นัท (นัทนิสา) ก็เลยรวมแก๊ง 4 คนกัน พี่มิกซ์ พี่นัท พี่เอแคลร์ แล้วก็พี่ตูน ไปทำแก๊งหิ้วหวีก็คือออกเที่ยว ซึ่งหนูอะ ทำมาเกือบ 1 ปีแล้ว ไอ้แต่งตัวอะไรของหนูในช่อง แต่มันมาดังตรงที่ว่าหนูเป็นหิ้วหวี คนก็เลยให้ชื่อหนูว่าตูน หิ้วหวี นั่นก็คือชื่อที่คนรู้จักหนูในโซเชียลครั้งแรกก็คือชื่อนี้ เป็นรายการของ 4 กะเทยหัวใหญ่รวมตัวกันเที่ยว ในแก๊งเพื่อน ไม่ได้แบบเที่ยวเพื่อไปหาความรู้ nature ของคนอะ เวลาไปเที่ยว มันไม่แบบ… สิ่งนี้ประวัติศาสตร์เกิดขึ้น มันไม่มีอะ nature มันก็คือแกล้งกันอยู่แล้ว โดยปกติธรรมดาเวลาคนเราไปเที่ยวกัน 

แต่ ณ ตอนนั้น หนูรู้สึกว่ามันไม่ค่อยมีแบบนี้ในแพลตฟอร์ม Facebook แล้วเราก็ทำในแพลตฟอร์ม Facebook แล้วมันก็ดังมาก ๆ แล้วเราก็มาทำ YouTube ทำเรื่อย ๆ จนตอนนี้มันจะเข้าปีที่ 6 แล้ว หนูจำไม่ได้ พวกหนูเป็นที่ยอมรับมาก แต่กว่าจะมายอมรับมากขนาดนี้ก็เจออะไรมาเยอะมาก ไอ้การอยู่ในแก๊งหิ้วหวีเนี่ย โคตรเหมือนชีวิตหนูเลย  กว่าจะก้าวมาอยู่ตรงนี้ ต้องโดนอะไรมาก่อนเหมือนกัน ผ่านมาได้เพราะอะไรล่ะ มิตรภาพเหมือนเดิม มันเหมือนพาร์ทชีวิตตอนเด็กที่หนูเล่าไปเมื่อกี้ เหมือนกันเนอะ ชีวิตคนเราอะ หนูเคยได้ยินคำว่า 7 ปีดี 7 ปีเลว หนูก็หวังว่า 7 ปีนี้ หนูคงจะดีตามที่เขาเคยพูดกันนั่นแหละ  

The People: แต่ก็สะบักสะบอมมาไม่น้อยเหมือนกัน

ตูน หิ้วหวี: ถูก 

The People: ความรู้สึกตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง

ตูน หิ้วหวี: โชคดีค่ะที่ได้เจอกับตัว เชื่อไหมถ้าว่าหนูไม่เจอกับตัว หนูก็คงเป็นบ้าเป็นบออะไรของหนูไปเหมือนเดิม ไม่มีสติสตัง พอมันได้เจอกับตัว รู้วิธีการรับมือ ค่อย ๆ ปรับมันเข้ากับตัวเอง blend in ทุกสถานการณ์ให้มันอยู่รอด ก็รู้สึกว่าเป็นคนที่โคตรเก่งเลยอะ แบบภูมิใจกับตัวเองที่อยู่มาได้ พูดแทบทุกวันในหัวว่าอยากตาย พูดตลอดว่าไม่อยากอยู่ พูดกับเพื่อนทุกครั้งว่า ขอออก แต่พอมันผ่านมาได้อะ มันก็กลับไปพูดกับตัวเองอีกรอบว่าเก่งจังเลย มันเป็นการพูดกับตัวเองในหลาย ๆ มิติ แล้วมันทำให้รู้สึกว่าเตือนตัวเองได้ทุก ๆ ครั้งว่า ถ้าเราเจออีก ถ้าเราผ่านไปได้เราก็จะชมตัวเองอีกเหมือนกันนะ งั้นผ่านมันไปให้ได้สิ ถ้าเรายังอยากได้ยินคำชมจากตัวเองอีก 

The People: ถ้ารอบหน้าเจออีก จะไม่กลัวแล้ว?

ตูน หิ้วหวี: อาจจะรับมือได้ดีกว่านี้… หรือเปล่านะคะ (หัวเราะ) 

‘ตูน หิ้วหวี’ จากเด็กที่กลัวจนไม่อยากเป็น ‘กะเทย’ สู่ตัวแม่แห่งการ ‘แอ่นระแนง

The People: หลังจากเจอเหตุการณ์ (ดรามา) ครั้งนั้น เราเห็นตัวเองเปลี่ยนไปยังไงบ้าง

ตูน หิ้วหวี: โตขึ้น มีสติมากขึ้น วางแผนลำดับชีวิตตัวเองได้เก่งมากขึ้น รู้จักคำว่าโตอะ หนูไม่รู้นะ หนูยังอยากเด็กในทุก ๆ สายตาของทุก ๆ คนดู หนูยังอยากเป็นเพื่อนกับน้องรุ่นใหม่ทุก ๆ คนที่เข้ามาดูคลิปหนู แต่ลึก ๆ แล้วอะ เนี่ย หนูโตแล้ว หนูแก่แล้วนะ แต่เราแอ๊บเด็กอยู่ โตในที่นี้คือมันมีความรับผิดชอบที่เยอะมากขึ้น จากเมื่อก่อนที่หนูไม่สนใจอะไรเลย เที่ยวไปวัน ๆ ใช้เงินไปวัน ๆ พอ ณ ปัจจุบันเรามองเห็นคนรอบข้างมากขึ้นกว่าตัวหนู 

หมายถึงเมื่อก่อน หนูเห็นตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของโลก หนูต้องหาความสุขให้กับตัวเองทุกวัน โดยไม่แคร์ใครอะไรอย่างนี้ แต่ ณ ปัจจุบันหนูแคร์คนอื่นมากขึ้น หนูไม่รู้หนูเป็นอะไรเหมือนกันนะ หนูแคร์ความรู้สึกคนอื่นมากขึ้น เช่น อิ่มยัง ได้นอนไหมวันนี้ จากเมื่อก่อนหนูไม่เคยถามอะไรแบบนี้กับคนอื่นนะ หมายถึงว่าคนรอบข้าง หรือองค์กรการทำงานของหนู หนูแค่รู้สึกว่าทุกคนต้องทำได้ เหมือนหนูต้องเอาตัวเองให้ไปอยู่จุดสูงสุดโดยไม่แคร์คนอื่น แต่ว่า ณ ปัจจุบันหนูเป็นคนที่ประนีประนอมหลาย ๆ อย่างได้เก่งมากขึ้น ใจเย็น เป็นคนใจเย็น แล้วก็มีสติในการพูดมากขึ้นด้วย 

The People: เห็นอกเห็นใจคนอื่น?

ตูน หิ้วหวี: เออ เห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น ใช่

The People: เลยเป็นเหตุผลที่เอาแม่ต้อมาอยู่ด้วยไหม

ตูน หิ้วหวี: ใช่ไหม น่าจะ เพราะว่าถ้าตอนเด็ก ๆ หนูทะเลาะกับแม่ต้อทุกวันตั้งแต่เด็ก เพราะเราไม่ได้ยอมรับว่าเขาเป็นแม่เรา แล้วเราก็จะมีความคิดที่ conflict กันตลอดเวลา แต่ ณ ปัจจุบัน ก็เห็นอกเห็นใจทุก ๆ คนมากขึ้น 

The People: แล้วก็ปั้นแม่ตัวเองเป็น influencer ท่านหนึ่งด้วย

ตูน หิ้วหวี: ใช่ คือพอเขาอยู่ ณ ตรงนั้นน่ะ สังคมมันหล่อหลอม เพราะทุกคนเขาถ่ายคลิป ๆ คุณแม่ไม่มีอะไรทำ เอ้า คุณแม่ก็ต้องถ่ายด้วย ทีนี้ก็ดังไปเลย หนูก็เลยปั้นเขาไปเลยค่ะ ก็ดีค่ะ เขาจะได้เป็นคนแก่ที่แอ๊บเด็กเหมือนหนูเหมือนกัน จะได้มีอะไรทำ  

The People: ทีนี้มาเรื่องกฎหมายสมรสเท่าเทียมบ้าง ตอนนี้ดูเหมือนสังคมไทยตื่นเต้นและใจดีกับกลุ่ม LGBTQ+ มากขึ้น เรามองอย่างนั้นด้วยไหม

ตูน หิ้วหวี: มันควรจะมีได้นานแล้วเนอะ แต่ปัจจุบันที่มันมี มันก็ดีกว่าไม่มี ซึ่งดีใจแทนทุกคนที่ต้องการอะไรตรงนี้ ดีใจมาก ๆ แล้วก็มันเป็นสิทธิ ๆ หนึ่งที่มนุษย์ทุกคนควรมี หนูคิดตลอดว่า 100 ปี 200 ปีข้างหน้า ถ้าเอเลี่ยนเป็นแฟนกับมนุษย์ก็เป็นได้ คนเป็นแฟนกับสิงโตก็เป็นได้ เพราะเราไม่ได้แปลกอะ เพราะเราก็คือคนเหมือนทุก ๆ คนนะ มันควรจะได้รับโอกาสที่เร็วกว่านี้มาก ๆ เรานึกถึงย้อนไปเราสงสารกลุ่มคนแบบพวกเราในสมัยก่อน รู้สึกสงสารและขอบคุณที่ทำให้เรามาอยู่ตรงนี้ได้ ด้วยรอยยิ้มแบบเต็มยิ้ม แก้มปริเลย หนูเชื่อว่าถ้าคนรุ่นนั้นแบบพวกหนู เขายังมีชีวิตอยู่ เขาก็จะต้องออกมา celebrate กับสิ่ง ๆ นี้แน่นอน วันนี้หนูทำได้ให้สิ่ง ๆ นี้มันเคลื่อนไปเรื่อย ๆ ในอนาคตข้างหน้า หนูก็หวังว่าสิ่ง ๆ นี้มันก็คงจะยังไม่หายไป และมันจะต้องอยู่ไปเรื่อย ๆ ตราบนานเท่านาน มันจะไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่มันจะคือสิ่งที่ยังอยู่คงที่ 

The People: คิดจะใช้สิทธิสมรสเท่าเทียมด้วยไหม

ตูน หิ้วหวี: (หัวเราะ) ถ้ามีแฟนก็คงจะใช้นะคะ ความรักตอนนี้คือ… ตื๊ด ไม่มีเลย  

The People: ส่วนตัวนิยามความรักว่าคืออะไร

ตูน หิ้วหวี: ความรัก - หนึ่ง เพื่อน - สอง งาน - สาม ครอบครัว แต่ ณ ปัจจุบันเนี่ยหนูทิ้งความรักไปเลย ไม่อยู่ในหัวหนูเลย มันเจออะไรมาเยอะ มันเจ็บมาเยอะ มันสนุกมาเยอะ มันเป็นบ้ามาเยอะ มีความรักทำงานไม่ได้ จะทำงานก็ต้องไม่มีความรักอยู่อย่างนั้น ณ ปัจจุบันหนูไม่มองหา หรือไม่เข้าไปคุย หรือไม่อะไรกับใครเลย นอกซะจากว่าเขาอยากจะเข้ามาคุยกับหนูจริง ๆ แต่เราก็ดูไม่ออกปะว่าใครจะเข้ามาคุยกับเรา เฮ้อ… ซูชิสักคำก็แฮปปี้แล้วหนูอะ (หัวเราะ)

คือมันพูดไม่ออก ณ อายุ 31 แต่เรายังชอบเด็กมหา'ลัยอยู่ ตอนนี้หนูต้องการคนที่ settle down ไปกับหนูแล้วนะ หมายถึงว่าใช้ชีวิตไปกับหนูหลังจากนี้แล้วอะ เธอไปไหนฉันไปด้วย ทำอะไรไปกัน ไม่ใช่ว่าแบบ โห เด็กวัยรุ่นเนอะ เขาเที่ยวหนักเหมือนหนูสมัยก่อนไง ไม่ไหวแล้ว ยายจะตาย เหนื่อย เที่ยวไม่ไหว  คือบางทีเราก็ยังอยากใช้ชีวิตฟังคลื่นทะเล อยู่บนภูเขา เพ้อเหมือนกัน เหมือนคนแก่ ๆ เลยหนูอะ concentrate ในการรักตัวเองให้เป็นมากกว่านี้ด้วยแหละมั้ง ก็เลยพักเรื่องความรักไปก่อนจะดีกว่าค่ะ  

The People: แต่มิตรภาพยังคงสำคัญอยู่เสมอ

ตูน หิ้วหวี: ว้าว พูดถึงมิตรภาพ อันนี้เป็นสิ่งที่แบบหนูไม่ทิ้งมันเลย ไม่กล้าทิ้งสิ่งนี้ไว้ที่พื้น ไม่กล้าทิ้งสิ่งนี้ลงถังขยะ หนูจะลากมันไปในทุก ๆ ที่ เพื่อนทุกคนหนูดีหมด หนูยังพูดกับตัวเองในทุก ๆ วันว่า อิจฉาตัวเองจัง ทำไมถึงมีเพื่อนที่ดีขนาดนี้ มึงทำผิดเขาให้อภัย หนูเสียใจ เขาพร้อมปลอบ หนูมีความสุข เขาพร้อมเฮ ทุก ๆ อย่างในชีวิตหนูขับเคลื่อนได้เพราะพวกเขาทุก ๆ คน ถ้าบวชได้หนูจะบวชให้พวกเขา (หัวเราะ) แต่พวกเขาคงไม่รับการบวชของหนู มันดูบาปเกินไป เกิดชาติหน้าหนูก็คงไม่มีเพื่อนที่ดีเท่านี้ โคตรอิจฉาตัวเองเลยอะ 

The People: คิดว่าเพื่อนเป็นกระจกที่สะท้อนตัวตนของเราอย่างไร

ตูน หิ้วหวี: มันสะท้อนกันไปกันมาดีกว่า ถ้าพูดถึงในแก๊งหิ้วหวีเนี่ย มันเป็นการสะท้อนกันไปกันมา พากันไปในจุดที่ส่องแสงที่ดีที่สุด พากันไปสู่ถนนหนทางที่มันเดินแล้วมันสวยงามที่สุด เวลาหนูมองเห็นพี่นัทขยัน มันก็สอนให้หนูอยากขยันด้วย เวลาหนูมองเห็นพี่มิกซ์ออกมาแต่งตัวสวย ๆ หนูก็อยากออกมาแต่งตัวสวย ๆ ด้วย ทุกคนล้วนแล้วแต่เก่งในแต่ละรูปแบบของตัวเอง เคยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่หนูมองไม่เห็นความดีของตัวหนูเลย หมายถึงมองไม่เห็นความเก่งของหนูเลยเนอะ เหมือนมองเห็นแต่ความเก่งของเพื่อน ก็อาจจะน้อยใจตัวเองไปบ้าง 

แต่อยากบอกทุก ๆ คนนะคะ ตอนนี้ตูนทำได้แล้ว อยากเป็นกำลังใจให้กับทุกคน ไม่ควรเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร ไม่ควรเอาตัวเองไปสู้หรือไปแข่งกับใคร วันไหนที่เราท้อ หายใจลึก ๆ แล้วพูดกับตัวเองว่า เราเก่งอะไรบ้าง ชมตัวเอง ชมให้มันเยอะ ๆ มันไม่มีใครรักเรา เท่าเรารักตัวเองหรอก ถอนไปเถอะ ถอนหายใจแล้วมันจะรู้สึกว่าโล่งมาก ๆ มันโชคดีตรงที่เพื่อนหนูอะ มันไม่มีใครแทงข้างหลังกันเลย ไม่มีใครที่อิจฉากันเลย มีแต่แบบส่งเสริมกันไปที่ดี ๆ 

หนูไม่รู้ว่าหนูจะพูดให้แก๊งหนูดูเวอร์ไหมอะ แต่ถ้าภาพที่ออกไป ทุกคนอะเขาคงรู้อยู่แล้วแหละว่า แก๊งหิ้วหวีมันรักกันเนอะ มันอยู่กันมา 7 - 8 ปี มันไม่มีดรามาตีกันเลยเนอะ มันมีแต่ดรามาที่ไปช่วยกันจนเละกันเองอะ อือ นั่นแหละพี่ 

‘ตูน หิ้วหวี’ จากเด็กที่กลัวจนไม่อยากเป็น ‘กะเทย’ สู่ตัวแม่แห่งการ ‘แอ่นระแนง

The People: อาการ Hyperventilation Syndrome เป็นยังไงบ้างแล้วตอนนี้

ตูน หิ้วหวี: อ๋อ หาย ๆ ปิดทิ้ง ประมาณปีครึ่ง - 2 ปี แต่จริง ๆ อะ ไอ้ Hyperventilation หนูรับยาประมาณ 2 เดือน แล้วก็ควบคุมสติของตัวเองประมาณ 1 ปี แล้วก็หายปลิดทิ้งแบบไม่มีกลับมาเลย 2 ปีค่ะ  

The People: ช่วงที่ดาวน์และดิ่งที่สุดมันแย่ขนาดไหน

ตูน หิ้วหวี: มันแย่มากกกก มันแย่เหมือนห้องนี้ไม่มีไฟอะ มันมองไม่เห็นอะไรเลย มันเหมือนคนตาบอดหูหนวก มันแย่อะ ถ้ามันเหมือนหนังเรื่อง Inside Out มันเหมือนแต่มีอีตัว Blue ตัวเดียว มันไม่มีอารมณ์อื่นอีกเลย ก่อนนอนก็เศร้า ตื่นก็เศร้า เศร้าจนเราเครียดมาก ๆ วิตกกังวลไปขั้นสุด ซึ่งมันจะมีอารมณ์อื่นแทรกเข้ามาได้ หนูก็ขอยกความดีความชอบให้กับเพื่อนอีกเหมือนเดิม เขาดึงหนูนั่นแหละ ให้มาถึงมีสติต่าง ๆ 

ช่วงแรก 2 เดือนแรกที่หนูรับยา เชื่อไหมหนูต้องเอาเพื่อนไปรับยาด้วย เพื่อนหนูดีจังเลย เขาไม่เคยว่าหนูเป็นคนบ้า ต้องเข้าพบจิตแพทย์ เขาอยู่ข้าง ๆ หนูอะ จับมือหนูในวันที่หนูชัก ใช่ หนูถึงขั้นชัก แล้วหนูบอกกับเพื่อนว่าฉันจะตายแล้ว วันนั้นมันเหมือนจะตายจริง ๆ นะ แล้วคนอื่นก็ไม่มีมาตลกกับเหตุการณ์ของหนู ถึงแม้ว่าพวกเราจะเป็นรายการตลก เขาดีกับหนูทุกคน ผ่านไปได้แล้ว มันก็ดีแล้ว อยากให้ทุก ๆ คนแบบเจอเพื่อนที่ดี ๆ อะ ทุก ๆ อย่างในสังคมมันจะแบบโคตรง่ายเลยอะ 

The People: แล้วเราก็ต้องเป็นเพื่อนที่ดีให้กับเขาด้วย

ตูน หิ้วหวี: ใช่ ๆ และเราก็ต้องเป็นเพื่อนที่ดีให้กับเขาด้วย เราอย่าหวังแค่เราจะได้จากเขาอย่างเดียว  

The People: ถ้าวันนั้นไม่มีเพื่อน ๆ คิดว่า ตูน หิ้วหวี จะเป็นยังไงบ้าง

ตูน หิ้วหวี: กลับบ้านสลกบาตรค่ะ อยู่กับคุณยาย ช่วยคุณยายขายของ ไม่รู้ เผลอ ๆ หนูก็บ้าไปเลยนะพี่ หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าเกิดวันนั้นเพื่อน ๆ เขาไม่เอาเรา ก็คงจบเห่เหมือนกันหลายอย่าง เพราะว่าในหัวมันก็ตีกันไปยุ่งเหยิงไปหมด เรียงลำดับอะไรไม่ถูก 

The People: อาการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโรคซึมเศร้าไหม

ตูน หิ้วหวี: หนูปรึกษาคุณหมอแล้ว เขาบอกมันอยู่ใน subset เดียวกันค่ะ แต่ว่ามันไม่ได้เหมือนซึมเศร้า มันจะอึดอัด เวลาเราอยู่ใน conversation ที่เราไม่อยากคุย มันก็จะอึดอัด แล้วเราก็จะหายใจไม่ทัน ถึงขั้นชัก แล้วถ้าเราหายใจลึก ๆ มันจะค่อย ๆ หายเอง กระบวนการของร่างกายจะค่อย ๆ ปลอบประโลมมันเอง แต่หนูเคยเป็นถึงขั้นหนักมาก ๆ จนต้องฉีดยาเข้าไป ให้หัวใจเต้นลดลง แล้วก็ค่อย ๆ คลายความเครียดลง  

The People: เป็นผลมาจากดรามาในโซเชียลมีเดียด้วยไหม

ตูน หิ้วหวี: ด้วย บวกกับเคมีในสมองมันแปรปรวนไปหมด หลาย ๆ อย่างเลย อยู่ดี ๆ ก็เป็น หนูก็งงเหมือนกัน ตอนนั้นน่าจะอายุ 26 - 27 น่าจะประมาณนี้ หนูจำไม่ค่อยได้ 

The People: หลังผ่านพ้นเรื่องนั้นแล้ว มีเรื่องไหนที่ทำให้เราเศร้าจนถึงขั้นร้องไห้อีกไหม

ตูน หิ้วหวี: ไม่มีแล้ว ไม่มีเลย เศร้าได้แค่เรื่องหนัง ร้องไห้กับหนัง ส่วนมากชอบร้องไห้กับการดูหนังซีรีส์ แต่พอผ่านเรื่องนั้นมาได้แล้ว ก็ไม่ค่อยมีเรื่องที่ทำให้หนูเศร้าได้เลย เพราะว่าเรื่องนั้นน่ะ มันคือที่สุดในชีวิตของหนูแล้วเหมือนกัน  

The People: ทำให้เรามีความสุขกับเรื่องง่าย ๆ มากขึ้นด้วยหรือเปล่า

ตูน หิ้วหวี: มาก เพราะหนูรู้สึกว่าเราเศร้ามามากแล้วอะ เห็นอะไรง่าย ๆ ก็มีความสุขแล้วทีนี้ สีเล็บเท้าหลุด เดินอยู่สีเล็บเท้าหลุด เฮ้ย ตลก คือมองอะไรให้มันตลกไปเลยอะ เหมือนตอนเด็ก ๆ ที่เราเห็นรูปเมฆแล้วก็จินตนาการไป เออ ตลก แต่ไม่ได้ถึงขั้นแบบเพ้อ ๆ อะไรขนาดนั้น แต่แค่มองโลกให้มันไม่น่ากลัวมากขึ้น เพราะว่าตอนที่หนูป่วย หนูมองทุกอย่างน่ากลัวไปหมดเลย น่ากลัว กลัวแท็กซี่ กลัวคน กลัวทุกคนเกลียดหนู กลัวแม้กระทั่งว่าเวลาเขาถ่ายรูปหนูเนี่ย เขาต้องถ่ายไปด่า เฮ้ย เขาไม่ได้ถ่ายเพราะเขาชอบหนู 

หนูก็จะไม่ค่อยออกไปไหนเพราะกลัว จากเป็นคนที่ชอบออกข้างนอกบ้านมาก ๆ แต่หลังจากผ่านตรงนั้นมา เราก็จะไปที่ที่มีแค่เพื่อนเรา อยู่น้อย ๆ คนไม่เยอะ เวลานัดกันไปเที่ยวก็ไปนัดกันที่นี่นะ อยู่ในที่เซฟโซนของเรานะ ตอนนี้ก็จะเป็นแบบนั้นมากขึ้น แก่ด้วยแหละ ไม่อยากคุยกับใครมากมาย 

‘ตูน หิ้วหวี’ จากเด็กที่กลัวจนไม่อยากเป็น ‘กะเทย’ สู่ตัวแม่แห่งการ ‘แอ่นระแนง

The People: ความสุขของตูน หิ้วหวี ณ วันนี้คืออะไร

ตูน หิ้วหวี: ได้ตื่นมากินข้าวอร่อย ๆ ของคุณแม่ เล่นกับหมา ได้เล่นเกม ได้ทำงานในสิ่งที่ชอบ ได้คิด การออกไปถ่ายแบบในสิ่งที่ชอบ ได้เจอเพื่อนในแก๊งหิ้วหวี ได้ยังไปเที่ยว มันเป็นความสุขที่หนูมีอยู่แล้วอะ แต่แค่หนูมองไม่เห็นมันว่ามันคือความสุข ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนหนูพูดตลอด สิ่งนี้หนูเหนื่อย ไม่อยากทำ แต่พอมันไม่มีอะไรทำ หนูก็เลยมองว่าอ๋อ การได้ทำงานนี่แหละ คือความสุขของหนู  

The People: อีกสิ่งที่ทำแล้วมีความสุขคือการ ‘ถ่ายแบบพี่ลี่’

ตูน หิ้วหวี: ใช่ หนูจะเล่าอย่างหนึ่งว่า หนูเป็นคนที่ชอบถ่ายแฟชั่นมาตั้งแต่เด็ก ที่หนูเล่าไปประมาณ ม.5 - ม.6 แต่รูปร่างหน้าตา ภาพลักษณ์ของเรา มันไม่ใช่โมเดล มันไม่ใช่คนสวย มันไม่ใช่ผิวพรรณดี หน้าตาเลิศ แต่หนูอยากบอกทุกคนนะว่า อยากให้ทุกคนมั่นใจ ที่หนูทำคอนเทนต์นี้ หนูจะบอกว่าไม่ว่าจะสถานที่ไหน เราก็ทำได้ 

หนูอยากบอกว่าหนูอะ กล้าเป็นตัวแทนอีกหนึ่งคนที่อยากให้เด็กวัยรุ่นยุคนี้มั่นใจ เพราะหลายคนเขาขาดความมั่นใจกันเยอะมาก เราไม่ต้องสวยขั้นดารา เราไม่ต้องสวยขั้นโมเดล เราก็ถ่ายรูปลง Instagram ตัวเองของเราได้ เรามีสื่อในมือของเรา เราไม่จำเป็นต้องไปลงในนิตยสารอะไรใหญ่ ๆ เราก็สามารถคิดการทำความจึ้งของเรา ในแบบตัวของเราเองได้ ถ้าเรามีความสามารถในด้านนั้นมากพอ เข้าใจไหม คือทุกคนมี material ในมืออยู่แล้ว นั่นคือโทรศัพท์ ออกไปสิ ออกไปทำให้เราดูดีที่สุด นั่นแหละมันเป็นแรงผลักดันที่หนูอยากให้เด็กวัยรุ่นยุคนี้มั่นใจในตัวเองมากขึ้น

The People: เวลาเห็นคนทำตามเราแล้วรู้สึกยังไงบ้าง

ตูน หิ้วหวี: ดีใจมาก สมัยก่อนหนูจะรู้สึกว่าก๊อป อีนี่ก๊อปละ แต่พอผ่านอะไรมาได้จนหนูโตมาก ๆ โห เราคือแรงผลักดันเขาเลยนะเว้ย รู้สึกภูมิใจในตัวเองสิ เออ มันก็จะภูมิใจในตัวเอง แล้วหนูก็จะภูมิใจในเขาที่เขาทำได้เลิศ เผลอ ๆ เลิศกว่าหนูอีก หนูก็จะภูมิใจในเขา 

The People: นับจากวันที่ป่วยจนถึงวันนี้ รู้สึกยังไงกับตัวเอง

ตูน หิ้วหวี: เก่งอะ หนูเก่งอะ แบบดีใจจังที่มันผ่านมาได้ หนูก็ยังดีใจกับตัวเองตลอดเวลาที่เราตื่น เอ้อ วันนี้หัวสมองโล่ง ไปทำงาน ก็ขออย่าเจออีกนะ พอแล้วนะ รู้สึก proud ในตัวเองที่ผ่านมันมาได้ เหมือนคนเป็นมะเร็งแล้วฟื้นไหมพี่ เหมือนกูจะตายแล้วอะ แต่ว่าเราผ่านมาได้ มันรู้สึกเหมือนได้ชีวิตใหม่ ได้ชีวิตใหม่ที่เดินได้เก่งมากขึ้น 


สัมภาษณ์: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ: กัลยารัตน์ วิชาชัย