14 มิ.ย. 2562 | 17:37 น.
คนคนหนึ่งถูกลักพาตัวถึงสองครั้งสองครา ครั้งแรกขณะพักผ่อนวันหยุด และโดนอีกครั้งตอนกำลังเดินทางไปเข้ารับการรักษาพยาบาล หลังจากนั้นคำว่า “อิสระ” ก็หายไปจากชีวิตของเขา ท่ามกลางเสียงเรียกร้องของครอบครัวและนักเคลื่อนไหวให้ทางการจีนปล่อยตัวเขาเสียที เขาคนนั้นคือ กุ้ย หมินไห่ (Gui Minhai) ชายที่เกิดในประเทศจีนเมื่อ พ.ศ.2507 มีความสนใจในบทกวีและใช้เวลาส่วนมากไปกับงานเขียน หลังจบปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง หมินไห่ได้เดินทางไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศสวีเดน และทำงานที่มหาวิทยาลัยโกเธนเบิร์ก (The University of Gothenburg) เขาได้รับสถานะผู้พำนักถาวรของประเทศสวีเดน (Permanent residency :PR) เมื่อปี 2532 และได้เป็นพลเมืองประเทศสวีเดนในปี 2535 ปี 2549 หมินไห่เข้าร่วมสมาคมนักเขียนอิสระของจีน (The Independent Chinese PEN Center) เขามีโอกาสรณรงค์เรื่องเสรีภาพในการพูดและแสดงความคิดเห็นของประชาชนในประเทศจีน และได้เข้าร่วมการประชุมเรื่องสิทธิมนุษยชนหลายต่อหลายครั้ง ทำให้เขาถูกปฏิเสธการกลับเข้าประเทศบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมครอบครัว แต่สิ่งนี้นับว่าเป็นเพียงอุปสรรคแรกในชีวิตของเขาเท่านั้น จุดพลิกผันที่แท้จริงเริ่มขึ้น เมื่อหมินไห่เริ่มก่อตั้งสำนักพิมพ์ในฮ่องกงและเขียนหนังสือเชิงการเมือง มีเนื้อหาเกี่ยวกับนักการเมืองหรือผู้นำของจีนแผ่นดินใหญ่ เขาเขียนหนังสือทำนองนี้มากกว่า 200 เล่ม และได้พาดพิงนักการเมืองของจีนหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ป๋อ ซีไหล, โจว หย่งคัง อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ แม้แต่ประธานาธิบดีและเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนอย่าง สี จิ้นผิง ก็ไม่วายโดยเขียนถึงเช่นกัน นอกจากนั้นเขายังซื้อร้านหนังสือคอสเวย์เบย์บุ๊กส์ในฮ่องกงอีกด้วย และแล้วเมฆฝนก็โหมกระหน่ำเข้ามาในชีวิต วันที่ 17 ตุลาคม ปี 2558 ที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในพัทยา ประเทศไทย หมินไห่ถูกแขกที่ไม่ได้รับเชิญจับกุมขึ้นรถสีขาวไป นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่มีคนเห็นเขา ช่วงเวลานั้น ครอบครัวของหมินไห่คิดว่าสาเหตุที่ทำให้เขาถูกจับกุมมาจากงานที่เขียนถึงนักการเมืองจีนระหว่างที่เขาทำงานอยู่ในฮ่องกง ต่อมาทางการจีนออกมายอมรับว่าได้ทำการจับกุมหมินไห่จริง และมีคลิปวิดีโอที่หมินไห่ออกมาสารภาพว่าขับรถชนหญิงสาวเสียชีวิตในปี 2546 คลิปดังกล่าวออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ของจีน แต่หลายคนเชื่อว่าหมินไห่ถูกบังคับให้สารภาพ หมินไห่ถูกคุมขังอยู่ราว 2 ปี กระทั่งได้รับการปล่อยตัวในเดือนตุลาคม ปี 2560 แต่อิสรภาพก็อยู่กับเขาไม่นาน เพราะวันที่ 19 มกราคม ปี 2561 หมินไห่ก็ถูกลักพาตัวอีกครั้งโดยชายชุดดำ 10 คน ขณะกำลังเดินทางไปตรวจสุขภาพพร้อมกับนักการทูตระดับสูงของสวีเดนอีก 2 ราย มาร์กอต วัลล์สตรอม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสวีเดน ออกมาเรียกร้องให้ทางการจีนปล่อยตัว วัลล์สตรอมกล่าวว่า “กุ้ย หมินไห่ ได้ถูกจับกุมขณะเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลกับนักการทูต ซึ่งเป็นสิทธิสากลพื้นฐานในการดูแลและคุ้มครองพลเมือง” แต่ หัว ชุนหยิง โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีน ตอบกลับว่า "การจับกุม กุ้ย หมินไห่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางการทูตแต่อย่างใด แต่นักการทูตของสวีเดนมีพฤติกรรมที่น่าสงสัย” ด้าน แองเจลา กุ้ย (ANGELA GUI) ลูกสาวของหมินไห่ที่อาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษ ออกมาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวถึงอาการป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) ของผู้เป็นพ่อ ที่ทำให้มีความจำเป็นต้องเดินทางไปพบแพทย์เพื่อรักษาตัว และมองว่าเป็นสิทธิที่หมินไห่ควรได้รับ เหตุการณ์การจับกุมหมินไห่สร้างความร้าวฉานในความสัมพันธ์ระหว่างสวีเดนกับจีน เมื่อหนังสือพิมพ์ของสวีเดน 37 ฉบับ ลงบทความขอร้องให้ประเทศจีนปล่อยตัวหมินไห่ซึ่งเป็นพลเมืองสวีเดน โดยได้รับการสนับสนุนจากทางการสวีเดน สหภาพยุโรป และองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่ต้องการเห็นหมินไห่ได้รับอิสรภาพ ซึ่งบทความมีเนื้อหาหลักดังนี้ "ประเทศจีนเป็นมหาอำนาจที่มีอิทธิพลทั้งทางเศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรม ผู้นำของประเทศจีนได้แสดงอย่างชัดเจนว่าพวกเขาพร้อมที่จะเล่นบทบาทนำและมีความรับผิดชอบในโลก พวกเขามักจะอ้างถึงประวัติศาสตร์วัฒนธรรมที่พวกเขาภาคภูมิใจ อย่างไรก็ตาม การกระทำของพวกเขาที่มีต่อ กุ้ย หมินไห่ นั้น ตรงกันข้ามกับการประกาศความเป็นผู้นำของประเทศจีน” ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศส่อเค้าแย่ลง และแย่ลงไปอีกเมื่อรายการโทรทัศน์แนวเสียดสีรายการหนึ่งของสวีเดน นำเสนอภาพชาวจีนเชิงขบขันว่า ชาวจีนรับประทานสุนัขและอุจจาระในที่สาธารณะ สร้างความโกรธเคืองแก่ชาวจีนเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดแฮชแท็ก #SwedishTVShowInsultsChinesePeople ในโลกออนไลน์ อีกกรณีคือ องค์ดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบต ที่รัฐบาลจีนมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อการแยกตัวจากประเทศจีน ได้เดินทางเยือนสวีเดน แต่รัฐบาลจีนกล่าวกับสื่อว่าเหตุการณ์นี้ไม่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสวีเดน ส่วนนักวิเคราะห์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหลายคนก็ให้ความเห็นว่า กรณีองค์ดาไล ลามะ ไม่น่าจะส่งผลกระทบเรื่องความสัมพันธ์ของสองประเทศเท่าไหร่นัก ที่จะเป็นประเด็นให้บาดหมางกัน น่าจะเป็นเรื่องที่จีนจับกุมหมินไห่มากกว่ากรณีอื่น กุ้ย หมินไห่ ไม่ใช่นักคิด นักเขียน หรือนักเคลื่อนไหวรายเดียวที่ถูกทางการจีนจับกุม ยังมีผู้ขายหนังสือในฮ่องกงอีกหลายคนที่ถูกปฏิบัติแบบเดียวกับหมินไห่ ทำให้ประชาชนชาวฮ่องกงรู้สึกถูกคุกคามจากจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะล่าสุดการมีข้อเสนอร่างกฎหมายการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ที่ทำให้ชาวฮ่องกงออกมาประท้วงจำนวนมาก ด้วยความที่ฮ่องกงและจีนมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบ “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ส่งผลให้ฮ่องกงมีเสรีภาพทางกฎหมายและมีรัฐธรรมนูญเป็นของตัวเอง ดังนั้น การที่ฮ่องกงต้องส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้จีนแผ่นดินใหญ่ อาจเกิดข้อกังวลที่ว่าฮ่องกงอาจตกอยู่ในความเสี่ยงของกระบวนการยุติธรรมแบบจีน และอาจบั่นทอนความเป็นอิสระของระบบยุติธรรมฮ่องกงก็เป็นได้ ที่มา https://www.theguardian.com/world/2018/aug/14/gui-minhai-doctors-visit-kidnapped-hong-kong-bookseller-in-china https://www.theguardian.com/world/2018/jan/24/sweden-calls-on-china-to-release-detained-bookseller-gui-minhai https://freeguiminhai.org/about-gui-minhai/ https://federalnewsnetwork.com/government-news/2019/06/qa-why-hundreds-of-thousands-protested-in-hong-kong/ https://www.scmp.com/news/hong-kong/politics/article/1902296/what-has-happened-him-abduction-gui-minhai-was-involved https://www.aljazeera.com/news/2018/01/china-urged-release-hong-kong-bookseller-gui-minhai-180124055302633.html https://www.bbc.com/thai/international-45653359 https://www.thebangkokinsight.com/159064/ เรื่อง : อนัญญา นิลสำริด (The People Junior) ภาพจาก: https://freeguiminhai.org