03 ธ.ค. 2567 | 16:30 น.
KEY
POINTS
พรเพชร เหมือนศรี (ชื่อเดิม พรพิศ เหมือนศรี) หรือ ‘นิด’ เป็นชาวอำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ มีอาชีพเป็นชาวไร่เช่นเดียวกับบิดามารดาและชาวบ้านนับร้อยครัวเรือนในพื้นที่ใกล้เคียง ด้วยวุฒิการศึกษาเพียงระดับชั้นประถมสี่ กอปรกับเส้นทางสัญจรระหว่างจังหวัดที่ทุรกันดารเป็นอย่างมากในเวลานั้น ชีวิตของเธอและครอบครัวจึงเปรียบเสมือนโดนตัดขาด ไม่เคยออกไปเผชิญโลกภายนอก จุดหมายเพียงหนึ่งคือการทำนาทำไร่เลี้ยงชีพ
ทว่าในปี พ.ศ. 2511 การเข้ามารังวัดที่ดินของทางการกลับทำให้ชีวิตของพรเพชรต้องผกผัน เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศว่า ไร่นาส่วนหนึ่งที่บิดามารดาของเธอใช้ทำมาหากินมาตลอดหลายปีถูกจัดให้เป็น ‘ทุ่งเลี้ยงสัตว์’ หรืออีกนัยหนึ่ง คือทุ่งสาธารณะ ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของครอบครัวอย่างที่เธอเข้าใจ
การต่อสู้ของพรเพชรเริ่มต้นจากการเดินทางไปทักท้วงที่อำเภอ ก่อนจะได้รับคำตอบว่า ประเด็นดังกล่าวต้องไปร้องเรียนที่จังหวัด ทว่าหลังไปแจ้งเรื่องที่จังหวัด ก็ยังคงไร้ซึ่งการดำเนินการใด ๆ อีกทั้งในเวลานั้น ครอบครัวที่ประสบปัญหาเดียวกันไม่ได้มีแค่ครอบครัวเหมือนศรี แต่ยังนับรวมถึงชาวบ้านในละแวกอีก 28 ครัวเรือน นั่นทำให้พรเพชรริเริ่มความคิดที่ว่า เธอต้องกระทำการบางอย่างที่ ‘ใหญ่’ กว่าการแจ้งเรื่องตามขนบของประชาชนตัวเล็ก ๆ
พรเพชร เหมือนศรี เดินหน้าเรียกร้องสิทธิที่ดินของตนเป็นระยะเวลาหลายปี แต่เนื่องจากการเข้าไปร้องเรียนกับรัฐบาลในกรุงเทพฯ ต้องใช้ทุนทรัพย์จำนวนมาก ชาวบ้านบางส่วนจึงจำเป็นต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเข้าร่วม หลังเงินหมดจึงกลับไปทำไร่ทำนาสะสมทุน แล้วจึงกลับมาร่วมเรียกร้องอีกครั้ง มีเพียงพรเพชรที่ปักหลักอยู่หน้าทำเนียบ พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เสียงเล็ก ๆ ของตนดังไปถึงผู้มีตำแหน่งใหญ่โต ตั้งแต่ยื่นเรื่องกับกระทรวงต่าง ๆ ไปจนถึงมีความตั้งใจจะเข้าพบนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น
ใน พ.ศ. 2521 การเสียชีวิตของมารดาสร้างความเสียใจให้พรเพชรเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกัน ก็ไม่อาจทำให้เธอละความพยายามในการทวงความเป็นธรรมคืนให้ครอบครัว เธอประกอบกิจกรรมหน้าทำเนียบมากมาย ตั้งแต่ประกาศเผาหุ่นฟางอันเป็นตัวแทนของนายกฯ นุ่งขาวห่มขาวแล้วปักกลดนอนค้าง ปีนขึ้นต้นมะขามแล้วไม่ยอมลงมากว่า 9 วัน เรื่อยไปจนถึงขี่ควายเพื่อเรียกร้องให้เห็นถึงความทุกข์ยากของชาวไร่ที่โดนเอารัดเอาเปรียบ จนอาจพูดได้ว่า หนังสือพิมพ์หลายต่อหลายฉบับในเวลานั้นล้วนเคยปรากฏภาพการต่อสู้ของหญิงนักประท้วงมาราธอนผู้นี้
ทว่าการกระทำที่กลายเป็นเรื่องโจษขานที่สุดของพรเพชร เหมือนศรี ย่อมเป็นการปีนขึ้นไปบนหลังคารถตู้ พร้อมประกาศจุดไฟเผาตนเอง ในครั้งนั้น เธอทำไม่สำเร็จเพราะถูกตำรวจนอกเครื่องแบบจับกุมตัวแล้วส่งเข้าสู่โรงพยาบาลจิตเวชถึง 22 วัน ก่อนจะลงเอยที่ทันฑสถานหญิงบางเขนในท้ายที่สุด
พรเพชร เหมือนศรี ต่อสู้เรียกร้องสิทธิของตนมาเป็นระยะเวลากว่า 36 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2511 - 2547 โดยในช่วง 16 ปีสุดท้าย เธอยังต้องอุทิศชีวิตไปกับการต่อสู้ในชั้นศาล ชื่อของพรเพชรเริ่มเลือนหายจากการรับรู้ของสังคมไปทุกขณะ ก่อนจะปิดฉากลงเมื่อหญิงนักประท้วงถูกลอบทำร้ายจนเสียชีวิตในปี 2547 ทิ้งไว้เพียงจดหมายหลายร้อยฉบับซึ่งถูกเขียนด้วยลายมือ พร้อมด้วยสมุดบันทึกของเจ้าตัวและบุคคลใกล้ชิด เป็นของต่างหน้าการต่อสู้ระหว่างภาครัฐกับชาวไร่ผู้ปรารถนาเพียงทวงคืนสิทธิในที่ดินทำกินของตนเอง
ในยุคที่เหตุการณ์การต่อสู้ในอดีตถูกหยิบยกมาพูดถึงอีกครั้ง เรื่องราวของพรเพชร เหมือนศรีกลับยังคงเลือนราง ทั้งที่ในความเป็นจริง การกระทำของเธอนับเป็นเรื่องกล้าหาญ โดยเฉพาะสำหรับหญิงชาวไร่ผู้ตัดสินใจก้าวออกไปเผชิญโลกที่ไม่รู้จัก เพียงเพราะปรารถนาให้เสียงของตนได้ยินไปถึงผู้มีอำนาจ และอีกนัยหนึ่ง ก็อาจคล้ายเสียงสะท้อนกลาย ๆ ถึงปัญหาด้านความยุติธรรมในสังคมที่รุนแรงถึงขนาดที่คนธรรมดาคนหนึ่งยอมสละเวลาเกือบทั้งชีวิตเพื่อไขว่คว้าเสี้ยวหนึ่งของมันมาครอบครอง
อ้างอิง
เว็บไซต์
หนังสือ