06 ก.ย. 2566 | 15:48 น.
- บิล เอ็ดการ์ ชายที่ทำงานรับจ้างไปอ่านข้อความของลูกค้าในงานศพของผู้ที่มาว่าจ้างเอง บอกเล่าความในใจของลูกค้าที่ไม่มีโอกาสบอกต่อญาติมิตร
- บิล เอ็ดการ์ ใช้ชื่อเรียกว่า Coffin Confessor จากเนื้องานของเขาที่ต้องไปอ่านข้อความต่อหน้าโลงศพในงานศพของลูกค้า
- ตั้งแต่เริ่มต้นงานแรกเมื่อปี 2018 บิล เอ็ดการ์ รับงานมาแล้วมากกว่า 60 งาน โดยคิดค่าใช้จ่ายเป็นเงินจำนวนไม่น้อยทีเดียว
หลายคนคงนึกถึงความตายออกมาอยู่ในภาพความโศกเศร้าจากการที่คนคนหนึ่งจากไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่สำหรับคนที่ตายล่ะ? พวกเขาอาจเคยเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้ทำบางอย่างก่อนจะสิ้นลมหายใจเช่นกัน
ลองจินตนาการถึงการจากไปพร้อมความลับ จากไปพร้อมความในใจที่ไม่มีโอกาสได้บอกออกมา จากไปโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรตามแบบที่ต้องการ ทีนี้ ลองคิดถึงภาพชายคนหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยคุณทำเรื่องเหล่านั้นให้เป็นจริง คนที่จะมาเอ่ยสิ่งที่คุณอยากพูดกับญาติมิตร แต่พูดไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด เพราะตัวคุณนอนอยู่ในโลงแล้ว
หากมีปัญหาแบบที่เอ่ยข้างต้น และได้รู้จักกับ ‘บิลล์ เอ็ดการ์’ (ก่อนคุณเสียชีวิต) คุณจะไม่ต้องกังวลกับปัญหาเหล่านั้นเลย
บิลล์ เอ็ดการ์ หนุ่มชาวออสเตรเลียนในวัยเลข 5 เขาประกอบอาชีพรับจ้างไปอ่านข้อความของผู้ว่าจ้างในงานศพของตัวลูกค้าเอง โดยลูกค้าจะเป็นคนมอบข้อความและบอกวิธีปฏิบัติต่าง ๆ ฝากให้กับบิลล์ ก่อนที่ลูกค้าจะเสียชีวิต นั่นทำให้บิลล์ มีฉายาว่า ‘Coffin Confessor’ หรือ ‘ผู้ส่งสารในงานศพ’
ว่ากันว่า บิลล์ คือคนเดียวในโลกที่ประกอบอาชีพนี้ บางงานของบิลล์ ไม่ได้มีลักษณะ ‘แฉ’ คนใกล้ชิดของลูกค้าเพียงอย่างเดียว หลายครั้งเป็นการส่งสาร บอกความในใจ สิ่งที่คาดหวัง หรือเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่ลูกค้าไม่เคยบอกต่อญาติมิตรซึ่งอาจไม่ได้กระทบต่อบุคคลใดก็ได้
การจะไปอ่านข้อความของผู้ตายในงานศพที่ผู้คนกำลังไว้อาลัยให้กับผู้วายชนม์ (ที่เป็นลูกค้าของบิลล์) ดูเหมือนเป็นงานที่ต้องอาศัยความกล้าไม่เบา เพราะหลายครั้งที่ข้อความของลูกค้า เป็นสารจากใต้ก้นบึ้งของหัวใจซึ่งลูกค้าของบิลล์ ไม่มีโอกาสได้บอก หรือไม่อาจกล่าวด้วยตัวเองขณะมีชีวิตอยู่ได้ ส่วนหนึ่งเพราะมันอาจกระทบกระเทือนหรือส่งผลต่อคนใกล้ชิด
ลักษณะงานที่ต้องอาศัยความกล้าแบบนี้ คงมีไม่กี่คนที่จะทำได้ ขณะที่บิลล์ เอง มีภูมิหลังที่โชกโชนไม่เบา นั่นอาจเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้เขากล้ารับงาน
อดีตของเขาผ่านประสบการณ์หลายรูปแบบ ตั้งแต่แรกเกิดที่เขาเล่าว่าเป็นลูกชายของอันธพาล ใช้ชีวิตเป็นเด็กไร้บ้านข้างถนน โตขึ้นก็ประกอบอาชีพเป็นนักสืบเอกชน จนถึงเป็นเหยื่อของการถูกล่วงละเมิดทั้งทางร่างกายและจิตใจตั้งแต่เด็ก สิ่งเหล่านี้ประกอบร่างสร้างตัวตนบิลล์ ให้เป็นคนที่กล้าจะยืนหยัดเพื่อพูดหรือทำในสิ่งที่คนคนหนึ่งไม่มีโอกาส
เส้นทางอาชีพของเอ็ดการ์ ก่อนมาเป็น ‘ผู้ส่งสารในงานศพ’ (ที่เชื่อกันว่ามีคนเดียวในโลก) ต้องเล่าย้อนไปที่จุดเริ่มต้นตั้งแต่ยังทำงานทวงหนี้ ครั้งหนึ่งเขารับงานไปตามเก็บเงินจากหญิงคนหนึ่งซึ่งปฏิเสธหัวชนฝา และยืนกรานว่าเธอไม่เคยมีหนี้ที่ไหน แต่ด้วยหน้าที่และคำสั่งของเจ้านายที่ให้ทำทุกวิถีทางเพื่อนำเงินคืนมาให้ได้ สุดท้ายสตรีคนนั้นรับแรงกดดันไม่ไหว และจบชีวิตของเธอลง
เรื่องนี้ทำให้เขาจิตตกไประยะหนึ่ง ในห้วงหนึ่ง เอ็ดการ์ เริ่มคิดและทำธุรกิจรับจ้างสืบสวนสอบสวนที่เกี่ยวกับหนี้ ใช้ชื่อว่า ‘Freedom From Debt Collectors’ จนถึงวันนี้ เขาช่วยคนให้รอดพ้นจากการชำระหนี้(ที่ไม่ถูกต้อง)ไปแล้วกว่า 16,500 คน
งานดังกล่าวทำให้เอ็ดการ์ ต่อยอดตัวเองมาเป็นนักสืบเอกชน และได้รู้จักกับ ‘เกรแฮม’ ชายที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย เกรแฮม จ้างเอ็ดการ์ ให้ตรวจสอบบัญชีและเรื่องทางการเงินก่อนที่ตัวเขาป่วยถึงขั้นไม่มีสติรับรู้เรื่องต่าง ๆ
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เอ็ดการ์ และเกรแฮม จึงมีโอกาสพูดคุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ ทั้งเรื่องชีวิต ความตาย โลกหลังความตาย ‘เมื่อตายไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น’ ซึ่งเกรแฮม พูดกับเอ็ดการ์ว่า เขาต้องการฝากบางอย่างทิ้งไว้ ก่อนจะได้รับการตอบรับจากเอ็ดการ์
งานศพส่วนใหญ่ถูกจัดขึ้นอย่างเคร่งครัดตามจารีตประเพณี (และสิ่งที่หลายคนคิดว่ามันควรจะเป็น) ทุกคนในงานโศกเศร้า และเกรแฮม คิดว่าพวกเขาทำอย่างนั้นเพราะต้องการให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อได้สบายใจ เกรแฮม เห็นมันมามากแต่ก็ไม่เข้าใจเอาเสียเลย ด้วยนิสัยติดตลกของเอ็ดการ์ ในจังหวะนั้น เขาได้พูดกับเกรแฮมว่า “งั้นฉันจะไปบุกงานศพของนายซะ” 2 สัปดาห์หลังจากนั้น เกรแฮม ยื่นข้อเสนอให้ เกรแฮม มอบซองจดหมายที่ข้างในเขียนข้อความต่าง ๆ เอาไว้
ในที่สุดเอ็ดการ์ ได้เริ่มทำงานครั้งแรกในฐานะ ‘ผู้ส่งสารในงานศพ’ ของเกรแฮม ในปี 2018 นั่นเอง ซึ่งเนื้องานส่วนหนึ่งเป็นการบอกเล่าสารจากเกรแฮม ต่อเพื่อนสนิทที่คิดไม่ซื่อกับภรรยาของเกรแฮม ท่ามกลางบรรยากาศอันโศกเศร้าจากผู้มาร่วมงานจำนวนหนึ่ง
เอ็ดการ์ เล่างานส่งสารในงานศพครั้งแรกว่า ขณะที่เพื่อนสนิทของเกรแฮม กำลังกล่าวคำสรรเสริญอาลัย เอ็ดการ์ ลุกขึ้นยืนและเอ่ยขัดจังหวะกลางงานศพว่า เกรแฮม มีข้อความฝากมาบอก เมื่อเอ็ดการ์ เปิดซองจดหมายและเริ่มอ่าน เพื่อนสนิทของเกรแฮม เดินจากไปทันที เอ็ดการ์ เชื่อว่า เพื่อนสนิทของเกรแฮม รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
สารที่เอ็ดการ์ อ่าน เริ่มต้นง่าย ๆ ว่า “(ชื่อของเพื่อนสนิท) นายไม่ใช่เพื่อนของผม นายพยายามมีอะไรกับภรรยาของผมขณะที่ผมอยู่บนเตียงในช่วงท้ายของชีวิต นายหยิบของจากโรงรถของฉัน นายเป็นคนที่เลวร้าย ฉันเกลียดนาย และหวังว่าจะได้เจอนายในโลกหลังความตาย”
เอ็ดการ์ เล่าอีกว่า เกรแฮม มีญาติอยู่ 3 คน เกรแฮม ฝากกำชับเอาไว้ว่า ถ้าคนเหล่านั้นมางานศพ เป็นพี่ชาย/น้องชาย ภรรยาของพี่ และลูกสาวของพวกเขา ให้เอ็ดการ์ บอกกับพวกนั้น(แบบสุภาพ)ว่า ออกจากงานไป เพราะเกรแฮม รู้สึกว่า ทำไมเพิ่งมาแสดงความเคารพอาลัยกับเขาทั้งที่เกรแฮม มีโอกาสเจอพวกเขาเหล่านั้นมาตลอด 30 ปี
บิลล์ เอ็ดการ์ ให้สัมภาษณ์กับรายการ My Big Story เผยว่า ก่อนที่จะไปอ่านสารในงานศพ แน่นอนว่าเขาต้องมีข้อมูลอยู่ในมือ ไม่ใช่แค่ไปกล่าวหาคนในงาน เขาต้องสืบสวนสอบสวนข้อมูลก่อน อย่างไรก็ตาม เอ็ดการ์ แสดงความคิดเห็นว่า คนส่วนใหญ่ที่ว่าจ้างเขาให้ส่งสารในงานศพเป็นไม้ใกล้ฝั่ง คนพวกนี้ไม่น่าจะโกหกอีกต่อไป
เอ็ดการ์ ให้สัมภาษณ์กับ Vice ว่า “ในตอนแรก มันเป็นเรื่องใหญ่และยากที่จะขัดจังหวะในบรรยากาศที่หลายคนกำลังโศกเศร้า แต่ในตอนที่ได้ทำมันลงไปแล้ว มันกลับให้ความรู้สึกที่ดีกว่า กับการได้สื่อสารบางอย่างซึ่งคนคนหนึ่งได้ประสบพบเจอมา”
นั่นจึงเป็นเหมือนการปลดล็อกของเอ็ดการ์ เขาไม่กลัวการเผชิญหน้ากับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และจะเป็นกระบอกเสียงให้กับคนที่จากไปแล้ว อย่างไรก็ตาม บิลล์ เล่าว่า โดยทั่วไป งานช่วงแรกเริ่มที่ทำคือเขาจะเข้าไปนั่งร่วมหมู่กับญาติมิตร เมื่อพิธีเริ่มเขาถึงลุกขึ้นยืนและกล่าวแนะนำตัวว่าเขามาที่นี้ในฐานะตัวแทนของผู้ตายอันเป็นที่รักของทุกคน เขาจะบอกต่อว่า เขาถือจดหมายที่มีข้อความจากผู้ตาย ถ้าอยากรับฟังก็ให้อยู่ต่อ ถ้าไม่ ก็สามารถลุกออกไปได้
มีแค่บางงานที่เป็นการร้องขอเฉพาะจากลูกค้าว่าให้ลุกขึ้นขัดจังหวะช่วงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงสวด กล่าวคำสรรเสริญ หรือช่วงไหนก็ตามที่ลูกค้าร้องขอเอาไว้
“ผมจะดึงผู้คน(ในงาน)มาเป็นพวกให้เร็วที่สุด นั่นคือเคล็ดลับ ทุกคนอยากรู้ว่า สิ่งที่ผู้ตายอันเป็นที่รักของพวกเขาฝากอะไรเอาไว้ที่ไม่เคยมาเผยด้วยตัวเอง และบอกว่าผมเป็นแค่คนส่งสาร ถ้าคุณอยากฟังสิ่งที่เขาฝากไว้ คุณก็นั่งอยู่กับที่แล้วฟัง ถ้ามีคนมาขัด ก็จะมีคนอื่นที่รู้สึกอยากฟัง เอ่ยโต้ขึ้นเองว่า อย่าเพิ่งไปขัด ฟังก่อน นั่นคือวิธีที่ผมทำงาน”
งานของเอ็ดการ์ เป็นงานที่ได้สัมผัสข้อมูลที่หลากหลาย ส่วนหนึ่งมีเรื่องความลับของลูกค้าอยู่ด้วย ซึ่งเขาเล่าว่า หากลูกค้าสารภาพเรื่องที่เป็นการก่ออาชญากรรม และให้รายละเอียดนั้นกับเขาด้วย เอ็ดการ์ ต้องรายงานเรื่องนี้ต่อทางการด้วย
จนถึงตอนนี้ เอ็ดการ์ ทำหน้าที่ ‘ผู้ส่งสารในงานศพ’ ไปกว่า 60 งานแล้ว แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งเดียวที่เขาทำเพื่อผู้คนที่จากไป เอ็ดการ์ ขยับมาช่วยเหลือผู้คนที่ยังมีชีวิต แต่ไม่มีโอกาสหรือความสามารถพอที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง นั่นคือการเป็น ‘ผู้รับจ้างจัดเก็บของในบ้าน’ โดยการเข้าไปเก็บสิ่งของที่ผู้ว่าจ้างอาจไม่อยากให้คนอื่นเห็น
งานรับจ้างจัดบ้านของเอ็ดการ์ ถือว่าเป็นงานที่ช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ที่ว่าจ้างเขา แน่นอนว่าความอยากรู้อยากเห็นนั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่บางทีคนที่ไม่ได้อยู่บ้าน (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชราที่ต้องไปรักษาตัวและอาศัยอยู่ในโรงพยาบาล) ก็แค่อยากให้ญาติ ๆ แวะมาให้อาหารหมาบ้างเป็นบางครั้ง แต่กลับเลยเถิดไปยุ่งกับข้าวของส่วนตัว ซึ่งนั่นไม่ใช่ความต้องการของเจ้าของ ดังนั้น เอ็ดการ์จึงมีหน้าที่ในการเก็บของเหล่านั้น และส่งมันคืนให้กับเจ้าของที่แท้จริง
ส่วนเรื่องรายได้ เอ็ดการ์ เล่าว่า เขาได้เงินจากงานแรก (งานของเกรแฮม) เป็นมูลค่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ในบางบทสัมภาษณ์ เขาเล่าว่า คิดค่าใช้จ่ายระหว่าง 2,000-10,000 ดอลลาร์สหรัฐ) และเขาก็ใช้ราคานั้นเป็นมาตรฐานมาโดยตลอด เขามีเหตุผลเรื่องการตั้งราคาสูง เพราะนั่นทำให้ผู้ว่าจ้างต้องคิดและไตร่ตรองให้ดีก่อนตัดสินใจใช้บริการ จะได้ไม่เอางานของเขาไปใช้เพื่อการแก้แค้นหรือทำอะไรที่เป็นแค่เรื่องตลก
“ลูกค้า(ผู้ตาย)ไม่ต้องใช้เงินในที่ที่พวกเขากำลังเดินทางไป และผมก็ไม่เคยได้รับการร้องเรียน” เอ็ดการ์ กล่าว
ทั้งนี้ ในบทสัมภาษณ์ที่เผยแพร่เมื่อปี 2022 เอ็ดการ์ บอกว่า เขาไม่ได้อยากทำงานนี้ต่อไป แต่เป็นลูกค้าที่เข้ามาหาเขาตั้งแต่งานแรกสืบเนื่องต่อมาเรื่อย ๆ เดิมทีแล้วเขาคิดว่าจะใช้ชื่องานว่า Funeral Crasher หรือ นักบุกเข้างานศพ ซึ่งดูจะเป็นชื่อที่ดูรุนแรงเกินไปหน่อย จึงเปลี่ยนมาใช้ชื่อที่เชื่อมโยงกับเนื้องานที่ต้องไปยืนหน้าโลงศพ และอ่านข้อความสารภาพ ความคิดของลูกค้าจึงใช้ชื่อเรียกว่า ‘Coffin Confessor’ (นักส่งสารแห่งโลงศพ) และยังใช้เป็นชื่อหนังสือที่เขาเขียนเล่าประสบการณ์อาชีพนี้ด้วย
ช่วงโควิด-19 เอ็ดการ์ เริ่มได้รับการติดต่อจากคนที่มีสุขภาพปกติดี ซึ่งนั่นทำให้เห็นว่า สถานการณ์ที่ไม่แน่นอนทำให้ผู้คนเริ่มฉุกคิดว่า ความตายอาจมาถึงได้ทุกเมื่อ ลูกค้าของเอ็ดการ์ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจึงหลากหลายมาก
“ผมรู้สึกดีเมื่อพวกเรากำลังเริ่มพูดถึงความตายในแง่บวก ไม่ใช่ในเชิงลบอีกต่อไป โดยเฉพาะในแวดวงที่ผมมีโอกาสไปสัมผัส ผมพยายามตามให้ทัน และพยายามบอกว่า พวกเราทุกคนต้องตายไม่วันใดก็วันหนึ่ง มันไม่มีอะไรสำคัญหรอก คุณสามารถเสียใจ หวาดกลัวกับมัน หรืออื่น ๆ
ท้ายที่สุด เราลาโลกนี้ไปทุกคน มันเป็นการเดินทางที่เราทุกคนต้องเผชิญ เราสามารถมองได้สองทาง จะมองว่าเป็นการเดินทางที่น่าหวาดกลัวก็ได้ หรือจะมองและยอมรับกับมันว่า สักวันหนึ่งเราก็ต้องจากไป และนี่คือวิถีที่เราอยากจากโลกนี้ไป”
งาน ‘ผู้ส่งสารในงานศพ’ ไม่เพียงทำรายได้ให้เอ็ดการ์ งานนี้ยังให้บทเรียนกับเขามากมาย สิ่งสำคัญที่เขาตระหนักจากสิ่งที่ได้สัมผัสมาคือการใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องกังวลถึงเรื่องจุกจิกเล็กน้อย และให้คุณค่ากับเวลา เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถซื้อกลับคืนมาได้ ไม่ว่าเราจะต้องการมันแค่ไหนก็ตาม
“ไปคุยกับคนที่คุณรักและบอกพวกเขาว่าอะไรคือสิ่งที่คุณต้องการจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องปิดบัง และถ้าพวกเขาไม่ชอบมันหรือไม่อยากทำตามสิ่งที่คุณขอ ก็มาจ้าง ‘ผู้ส่งสารในงานศพ’ อย่างผม” เอ็ดการ์ กล่าวทิ้งท้ายในบทสัมภาษณ์กับ Vice
เรื่อง: กัญญาพัชร โสภณพิจิตรไพศาล (The People Junior) และ The People
ภาพ: บิลล์ เอ็ดการ์ กล่าวไว้อาลัยในงานศพแห่งหนึ่งเมื่อ 2021 ไฟล์จาก YouTube/Stacey M. King Author ประกอบกับฉากหลังเป็นภาพสุสาน
อ้างอิง: