14 ก.ค. 2567 | 14:00 น.
KEY
POINTS
ในหลายประเทศทั่วโลก ผู้คนมักมีความเชื่อและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการทำพิธีให้กับ ‘รถยนต์ใหม่’ เพื่อเป็นการอวยพรขอให้มีความปลอดภัยและโชคดี ซึ่งประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นก็มีความเชื่อในเรื่องนี้เช่นกัน แต่อาจมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปบ้าง เราลองมาดูกันว่าทั้งสองประเทศมีความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับรถยนต์อย่างไรบ้าง
หากพูดถึงวัฒนธรรมการ ‘เจิม’ เป็นเรื่องที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน พบเห็นได้ทั่วโลกในแทบทุกศาสนา ซึ่งศาสนาพุทธในไทยก็ได้รับอิทธิพลส่งต่อมาจากทางอินเดีย โดยมีความเชื่อว่าการเจิมนั้นเป็นการสร้างความเป็นสิริมงคล และป้องกันสิ่งชั่วร้ายสำหรับคนไทย
การทำพิธีเจิมรถยนต์ใหม่ถือเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนาน มีหลักฐานว่ามีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว โดยมีความเชื่อว่าหากทำพิธีเจิม ‘เกวียน’ หรือ ‘ราชรถ’ ก่อนออกเดินทางหรือก่อนการศึกสงคราม จะช่วยให้เดินทางปลอดภัย ได้รับชัยชนะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง และนำความเป็นมงคลมาสู่ผู้คนที่ออกเดินทางหรือทหารที่กำลังจะไปร่วมการศึกสงคราม
การเจิมยังเป็นเครื่องหมายของการเริ่มต้นใหม่ และสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคล โอกาสที่ดีอย่างงานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ ส่งต่อมาจนถึงความเชื่อในการเจิมของใหม่อย่าง ‘รถใหม่’ ที่กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในพิธีการเจิมที่เราพบเห็นกันอย่างในทุกวันนี้ เพราะความเชื่อที่ว่าการเจิมรถจะช่วยสร้างเสริมความเป็นสิริมงคล สร้างขวัญกำลังใจให้ผู้ขับขี่แคล้วคลาดปลอดภัย และมีชีวิตก้าวไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่น เช่นเดียวกับรถที่จะไปยังเส้นทางข้างหน้าเพื่อไปพบเจอแต่สิ่งที่ดี
ในยุคปัจจุบัน พิธีเจิมรถของไทยมักจัดที่วัด โดยนิมนต์พระสงฆ์มาประกอบพิธี เริ่มจากพระสงฆ์จะนำด้ายสายสิญจน์ผูกที่กระจกหน้ารถ จากนั้นจะใช้น้ำมนต์ประพรมไปทั่วคัน พร้อมสวดมนต์อวยพรให้เกิดความเป็นสิริมงคล ตอนท้ายจะมีการตั้งเครื่องบูชาบนหน้ารถและถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์
เจิมแบบไทย ๆ ต้องใช้อะไรบ้าง
สำหรับวันและเวลาที่ดีสำหรับการเจิม สามารถใช้ฤกษ์ดีที่ใช้ประกอบพิธีอื่น ๆ ได้เช่นกัน เช่น ฤกษ์พิธีมงคลสมรส ฤกษ์ออกรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์คันใหม่ ฤกษ์ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เพราะถือเป็นเวลาที่ดีในการประกอบกิจอันเป็นมงคล สามารถใช้เหมือนกันได้ หรือจะเป็นฤกษ์สะดวก เพื่อความสบายใจ ไม่พะวง มีห่วงอะไร อย่างไรก็ตาม หากได้ฤกษ์ดีตามปฏิทิน แต่เป็นวันที่ไม่พร้อมเลย แต่จำต้องฝืนทำพิธีแบบนั้นก็ไม่แนะนำครับ
ค่าใช้จ่ายในการจัดพิธีเจิมรถของไทยอยู่ที่ประมาณ 3,000 - 5,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของพิธีและจำนวนพระสงฆ์ที่นิมนต์มา ซึ่งถือเป็นราคาที่ไม่สูงมาก จึงยังเป็นที่นิยมในสังคมไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะคนที่ซื้อรถใหม่มักจะทำพิธีเจิมรถเกือบทุกราย
สำหรับประเทศญี่ปุ่น แม้จะมีเทคโนโลยีทางด้านรถยนต์ที่ก้าวหน้าและมั่นใจในคุณภาพของรถที่ผลิตออกมา แต่คนญี่ปุ่นก็ยังคงมีความเชื่อเกี่ยวกับการทำพิธีเพื่อความปลอดภัยให้กับรถยนต์อยู่ โดยในศาสนาชินโตของญี่ปุ่นมีเทพเจ้าหลายองค์ที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคมและการขนส่ง โดยเฉพาะ ‘โคโตะฮิระ’ (Kotohira) หรือที่รู้จักในอีกชื่อว่า ‘คมปิระ’ (Kompira) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเทพเจ้าผู้ปกป้องนักเดินทาง, ชาวประมง และผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการขนส่ง
ตำนานเล่าว่าโคโตะฮิระเป็นเจ้าชายแห่งเมืองชิโกกุ ผู้กล้าหาญและมีพลังวิเศษ วันหนึ่งท่านได้ปราบปีศาจร้ายที่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้คนในเมือง พระองค์ได้กลายเป็นที่เคารพนับถือของชาวเมือง และภายหลังก็ได้รับการยกย่องให้เป็น ‘เทพเจ้าแห่งท้องทะเล’ ปกปักรักษาเหล่าชาวประมงและนักเดินเรือ ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงสร้างศาลเจ้าคมปิระขึ้นบนเขาโซเทะซัง เมืองชิโกกุ เพื่อเป็นที่สักการะบูชาโคโตะฮิระ มีผู้แสวงบุญมากราบไหว้ขอพรเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางอยู่เสมอ นอกจากนี้ในศาลเจ้าคมปิระยังมีเรือขนาดเล็กจำลองทำจากไม้มากมาย ที่ผู้คนนำมาถวายเป็นสัญลักษณ์ขอพรเรื่องความปลอดภัยและความสำเร็จในการทำมาหากิน
แม้ว่าในเวลาต่อมา การคมนาคมได้เปลี่ยนจากการใช้เรือมาสู่การใช้ยานพาหนะอย่างรถม้าและรถยนต์ ความเชื่อเรื่องเทพเจ้าผู้ปกป้องนักเดินทางก็ยังคงอยู่ แต่ได้ถูกขยายขอบเขตจากนักเดินเรือและชาวประมง มาถึงผู้ที่เดินทางโดยทางบกด้วย
หลักฐานที่เห็นได้ชัด คือ การที่ผู้คนยังคงนำรถยนต์มาทำ ‘พิธีสะเดะเซ็นเท’ (Shaden Shiki) หรือพิธีแต่งรถยนต์ตามประเพณี ณ ศาลเจ้าคมปิระ เพื่อแสดงความเคารพต่อโคโตะฮิระและขอพรให้เกิดความปลอดภัย
มีหลักฐานว่ามีประเพณีนี้มาตั้งแต่ช่วงเอโดะ ราวปี ค.ศ. 1603 - 1867 ซึ่งมีความเชื่อคล้ายคนไทย คือ การทำพิธีจะช่วยให้รถใช้งานได้นานและผู้ขับขี่มีความปลอดภัย โดยเริ่มจากพิธี ‘คุราบะชิกิ’ (Kurubashiki) ซึ่งก็คือการแต่ง ‘รถม้า’ นั่นเอง คาดว่าจุดเริ่มต้นน่าจะมาจากความเชื่อทางลัทธิชินโตที่ได้อธิบายไปแล้วข้างต้น
ในยุคเริ่มแรกของพิธี รถม้าจะถูกนำมาไว้ในโรงแต่งรถที่เชื่อมต่อกับศาลเจ้า โดยมีนักบวชผู้ทำพิธี เรียกว่า ‘โทริโยะ’ (Toriyo) ทำหน้าที่เขียนอักษรคันจิลงบนแผ่นกระดาษแล้วนำไปติดบนรถม้า จากนั้นจะกล่าวคำอธิษฐานและประพรมเกลือรอบรถเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย ก่อนจะสาดเมล็ดข้าวและเหล้าสาเกลงบนตัวรถ
การแต่งรถในยุคแรกถือว่าเป็นพิธีที่ใหญ่และสำคัญมาก เพราะรถม้าเป็นทรัพย์สินสำคัญของผู้นำและซามูไร ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อรถยนต์เข้ามาแทนที่รถม้า พิธีแต่งรถก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบตาม โดยมีการจัดทำในศาลเจ้าชินโตโดยตรง แทนที่จะใช้โรงแต่งรถแบบเดิม นอกจากนี้การแต่งรถยังเปิดกว้างสำหรับประชาชนทั่วไปอีกด้วย ทำให้พิธีกลายเป็นที่นิยม ผู้คนมักจะนำรถใหม่มาทำพิธีกันอย่างแพร่หลาย
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันนี้พิธีแต่งรถเริ่มไม่เป็นที่นิยมเหมือนในอดีต เพราะผู้คนเริ่มไม่ค่อยเชื่อในความขลังของพิธีกรรม อีกทั้งด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงและความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีสมัยใหม่มากขึ้น จึงทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำพิธีกันแล้ว แต่ก็ยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุหรือคนที่ยังคงเชื่อเรื่องโชคลาง ทำให้พิธีนี้ยังไม่ได้หายไปจากสังคมญี่ปุ่นอย่างสิ้นเชิง
พิธีกรรมของญี่ปุ่นจะเริ่มจากการนำรถใหม่ไปจอดที่วัด จากนั้นพระสงฆ์จะเขียนอักษรคันจิลงบนกระดาษสีขาวแล้วติดไว้ที่คานหน้ารถ ต่อด้วยการสวดมนต์เป็นภาษาญี่ปุ่นโบราณ จากนั้นจะนำกิ่งต้นซากากิจุ่มน้ำศักดิ์สิทธิ์คล้ายน้ำมนต์ประพรมรอบคันรถ เพื่อขับไล่สิ่งไม่ดีออกไป ก่อนจะตั้งเครื่องบูชาบนหน้ารถและสวดมนต์อีกครั้ง โดยพิธีแต่งรถแบบญี่ปุ่นจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที
ค่าใช้จ่ายในพิธีแต่งรถของญี่ปุ่นจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 - 40,000 เยน หรือราว 9,000 - 12,000 บาท ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศไทย จึงทำให้ปัจจุบันการทำพิธีแต่งรถในญี่ปุ่นไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าสมัยก่อน
เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของพิธีกรรมเกี่ยวกับรถยนต์ของไทยและญี่ปุ่นแล้ว จะเห็นได้ว่าทั้งสองประเทศต่างมีความเชื่อคล้ายกันว่าการทำพิธีจะช่วยให้ผู้ขับขี่ปลอดภัย และรถใช้ได้นาน โดยเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมายาวนาน แต่รายละเอียดของพิธีกรรมจะต่างกัน คือ ไทยจะเป็นพิธีเจิมรถ ใช้น้ำมนต์ประพรมและผูกด้ายสายสิญจน์ ส่วนญี่ปุ่นจะเป็นพิธีแต่งรถ แต่งโดยพระสงฆ์ในศาสนาชินโต มีการสวดมนต์เป็นภาษาโบราณและใช้กิ่งไม้ประพรม
สำหรับความนิยมในการทำพิธีนั้น ดูเหมือนประเทศไทยจะยังคงมีการปฏิบัติอย่างแพร่หลายมากกว่า เพราะค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก แต่ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงและคนส่วนใหญ่มั่นใจในเทคโนโลยีของรถยนต์มากขึ้น จึงทำให้ประเพณีนี้เริ่มลดความนิยมลงไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังมีให้เห็นอยู่บ้างในปัจจุบัน
เรื่อง : ดาวหางสีแดง...ชาร์ อัสนาเบิ้ล