13 พ.ย. 2567 | 15:46 น.
KEY
POINTS
ในโลกแห่งความจริง บางครั้ง ‘ความจริง’ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ชัดเจนและเรียบง่ายเสมอไป ลองจินตนาการถึงเหตุการณ์เดียวกัน แต่ละคนเล่าไม่เหมือนกัน แม้จะยืนอยู่ตรงนั้น เห็นเหตุการณ์เดียวกัน แต่สิ่งที่พวกเขาเข้าใจกลับเหมือนมาจากคนละเหตุการณ์ ชวนให้สงสัยว่า “ความจริงคืออะไรกันแน่?”
‘ราโชมอน เอฟเฟกต์’ (Rashomon Effect) ไม่ใช่แค่แนวคิดในภาพยนตร์ญี่ปุ่น แต่เป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนถึงความซับซ้อนของมนุษย์ในทุกยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ การตีความ หรือการสร้างเรื่องราวที่บิดเบือนไปจากภาพรวมของเหตุการณ์จริง คดีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย รวมถึงคดีที่ทุกคนจับตามอง อย่างกรณี ‘ทนายตั้ม’ คือภาพสะท้อนที่สมบูรณ์แบบของราโชมอน เอฟเฟกต์ ในบริบทของเรา
ราโชมอน เอฟเฟกต์ คือแนวคิดที่เกิดขึ้นครั้งแรกจากภาพยนตร์เรื่อง ‘Rashomon’ (1950) ของ ‘อากิระ คุโรซาวะ’ (Akira Kurosawa 1910 - 1998) ซึ่งดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นของ ‘ริวโนะสุเกะ อะกุตะงะวะ’ (Ryunosuke Akutagawa 1892 - 1927) โดยเล่าถึงเหตุการณ์ฆาตกรรมที่พยานแต่ละคนมีคำให้การแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นตัวเหยื่อ ผู้ต้องสงสัย หรือแม้แต่พยานที่บังเอิญอยู่ในเหตุการณ์นั้น ทุกคนเล่าฉากนั้นในแบบที่แตกต่างกัน จนกลายเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบแน่ชัดว่าความจริงที่แท้จริงคืออะไร และใครพูดความจริงกันแน่
ในเชิงประวัติศาสตร์ ราโชมอน เอฟเฟกต์ บอกเล่าความพยายามของมนุษย์ในการเข้าใจเหตุการณ์ผ่านมุมมองที่ไม่สมบูรณ์ แนวคิดนี้สะท้อนสภาพของสังคมญี่ปุ่นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นยุคที่ผู้คนสูญเสียความเชื่อมั่นในอุดมการณ์เก่าและเริ่มตั้งคำถามต่ออำนาจและความถูกต้อง ภาพยนตร์ Rashomon จึงเป็นการท้าทายต่อค่านิยมดั้งเดิม และสะท้อนถึงความเปราะบางของความจริงและการตีความ ในยุคสมัยที่ทุกคนต่างมองเห็นความจริงในแบบของตนเอง
เมื่อเวลาผ่านไป แนวคิดของ ราโชมอน เอฟเฟกต์ เป็นที่รู้จักมากขึ้นในระดับสากล และถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายวงการ ทั้งมานุษยวิทยา สังคมศาสตร์ จิตวิทยา และกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ข้อมูลข่าวสารหลั่งไหลเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ผ่านสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดีย ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากหลายแหล่ง ที่มีมุมมองแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง สถานการณ์โลก หรือกระทั่งเหตุการณ์รายวัน
ในยุคดิจิทัลนี้ ราโชมอน เอฟเฟกต์ กลายเป็นสิ่งที่เราพบเจอทุกวัน ในรูปแบบของความคิดเห็นและการตีความที่หลากหลายผ่านโซเชียลมีเดีย คำบอกเล่าจากเหตุการณ์เดียวกัน แต่ขัดแย้งกันในทุกรายละเอียด จนแทบจะหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ เป็นปรากฏการณ์ที่เตือนใจว่า ‘ความจริง’ อาจไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏเสมอไป
คดีของ ‘ทนายตั้ม’ หรือ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงเงินของนักธุรกิจหญิงไทยที่อาศัยในฝรั่งเศส เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ ราโชมอน เอฟเฟกต์ ที่ชัดเจนในสังคมไทย
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อผู้เสียหายแจ้งความว่าถูกทนายตั้มชักชวนให้ร่วมลงทุนในโครงการหวยออนไลน์ และอ้างว่าเงินจำนวนกว่า 71 ล้านบาทที่เธอให้ไปเป็นการลงทุน ขณะเดียวกัน ทนายตั้มกลับให้คำอธิบายที่แตกต่างออกไป โดยยืนยันว่า เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่ได้รับการให้โดยเสน่หา ไม่มีการบังคับหรือหลอกลวงใด ๆ และตนเองมีหลักฐานเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์
นี่คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนของ ราโชมอน เอฟเฟกต์ ในบริบทสังคมไทย ซึ่งทำให้ผู้คนตั้งคำถามว่า ความจริงคืออะไร และคำให้การของใครกันแน่ที่เป็นข้อเท็จจริง
กรณีคดีทนายตั้มได้แสดงให้เห็นถึง ราโชมอน เอฟเฟกต์ ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกระบวนการยุติธรรม แต่ยังขยายไปถึงการรับรู้และการตีความของสาธารณชน โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดียที่ผู้คนสามารถแสดงความคิดเห็นและสร้างมุมมองที่หลากหลายของตนเองได้ กว่าคดีความนี้จะเข้าสู่ห้องพิจารณาคดี ก็ได้กลายเป็นพื้นที่สาธารณะออนไลน์ที่ทุกคนสามารถเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์และสร้างเรื่องราวของตนเองได้อย่างเสรีแล้ว
ราโชมอน เอฟเฟกต์ ในคดีนี้ ยังชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของสังคมไทยที่มีความเชื่อถือในบุคคลหรือคำให้การของแต่ละฝ่ายตามพื้นฐานของตัวเอง ความเชื่อมโยงนี้ยิ่งชัดเจนเมื่อเราพิจารณาถึงการแบ่งฝ่ายในโลกออนไลน์ ประชาชนบางกลุ่มอาจเลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่สอดคล้องกับความเชื่อหรือมุมมองของตนเอง โดยไม่สนใจข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งส่งผลให้ ราโชมอน เอฟเฟกต์ ทวีความรุนแรงขึ้น และทำให้เกิดข้อขัดแย้งในเรื่องการตีความความจริงที่ไม่มีคำตอบเดียว
ราโชมอน เอฟเฟกต์ ทำให้กระบวนการยุติธรรมต้องเผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อน เมื่อคำให้การของพยานหรือผู้เกี่ยวข้องในคดีไม่ตรงกัน ไม่ว่าจะเป็นเพราะประสบการณ์ส่วนตัว ความจำ ความเชื่อของแต่ละบุคคล หรือผลประโยชน์ ดังกรณีคดีของ ‘Kwesi Millington’ ในแคนาดา เมื่อปี 2007 เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความท้าทายนี้ได้อย่างชัดเจน
ในกรณีนี้ ตำรวจสี่นายที่เข้าจับกุมชายคนหนึ่งถูกตั้งข้อหาว่าทำเกินกว่าเหตุเมื่อใช้ปืนไฟฟ้ายิงชายคนนี้ แต่ละคนให้การว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัว และชายผู้นั้นดูเหมือนจะถือสิ่งของที่เป็นอาวุธ อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกแยกออกมาพิจารณาในศาลหลายครั้ง แต่ละคนกลับให้คำให้การที่ขัดแย้งกัน ทำให้ศาลเกิดความสงสัยในคำให้การเหล่านั้น แม้ในกรณีนี้จะมีวิดีโอที่บันทึกเหตุการณ์ แต่ก็ยังมีประเด็นถกเถียงในแง่การตีความภาพในวิดีโอที่ต่างกัน ทำให้คดีนี้จบลงด้วยคำตัดสินที่ไม่สอดคล้องกัน โดยบางคนถูกตัดสินว่าผิด ในขณะที่บางคนถูกตัดสินว่าไม่ผิด
อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความไม่แน่นอนในคำให้การ คือกรณีการปล้นไปรษณีย์ในเมืองเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ในปี 2001 แม้ว่าจะมีพยานหลายคนที่เห็นเหตุการณ์ แต่การบรรยายลักษณะของผู้ต้องสงสัยกลับขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง เช่น บางคนระบุว่าผู้ต้องสงสัยสูงและมีเครา ในขณะที่บางคนบอกว่าผู้ต้องสงสัยตัวเตี้ยและดูสะอาดสะอ้าน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้แต่พยานที่เห็นเหตุการณ์ใกล้ชิด ก็ยังมีความแตกต่างในมุมมองของตนเอง
ทั้งสองกรณีนี้ ราโชมอน เอฟเฟกต์ ได้แสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดของกระบวนการยุติธรรมในการรับมือกับคำให้การที่ขัดแย้งกัน ความไม่แน่นอนของคำให้การ ทำให้การพิจารณาความจริงมีความยากลำบาก ซึ่งในบริบทของกระบวนการยุติธรรมไม่ได้หมายความว่า เราควรปล่อยให้อาชญากรลอยนวลหรือปฏิเสธการหาความยุติธรรม
สิ่งสำคัญคือการ “พิจารณาและสืบสวนข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบจากหลายมิติ” เพื่อให้ได้ภาพที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด จึงต้องอาศัยทั้ง ‘หลักฐานทางกายภาพ’ เช่น วิดีโอ ภาพถ่าย เอกสาร หรือหลักฐานอื่น ๆ ที่ไม่อาจบิดเบือนได้ รวมถึงการวิเคราะห์คำให้การของพยานจากหลายฝ่ายด้วยความระมัดระวัง
การมีความเข้าใจใน ราโชมอน เอฟเฟกต์ จึงเป็นการเพิ่มความระมัดระวัง ไม่ใช่การปิดตาต่อความจริง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้คำตอบที่ใกล้เคียงกับข้อเท็จจริงมากที่สุด และลดความเสี่ยงที่อาจตัดสินผิดพลาดไปตามอคติของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ภาพ: โปสเตอร์หนัง ‘Rashomon’ (1950) จาก IMDb และภาพทนายตั้มจากศูนย์ภาพเครือเนชั่น