29 ธ.ค. 2567 | 16:00 น.
KEY
POINTS
“ความสุข ความทุกข์ คือโทษของการมีชีวิต”
‘อาจารย์เบียร์ คนตื่นธรรม’ ให้สัมภาษณ์ไว้ในรายการ WOODY FM เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2024 เขาขยายความให้กระจ่างขึ้นมาอีกว่า ลองย้อนกลับไปดูตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลก จินตนาการไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ว่ามนุษย์เราจะเสียน้ำตากี่หยด ให้เอาปี๊ปใบเดียวมาใส่น้ำตาที่เผยทั้งความสุขและเศร้าคงไม่เพียงพอ ดังนั้นนี่แหละคือ ‘โทษ’
บทลงโทษของการมีชีวิตอยู่บนโลกในชาติภพนี้ ซึ่งเป็นบทลงโทษที่โหดร้ายทารุณ เพราะน้อยคนนักจะตระหนักรู้ได้ว่า ความสุข-ความทุกข์ ที่กำลังเผชิญอยู่นั้นเป็นเพียงแค่ของมายา หากทุกคนรับรู้ได้คงไม่มีใครอยากเกิดอีกเป็นแน่
“เราร้องไห้เพราะความเสียใจ ร้องไห้เพราะความดีใจมาแล้วกี่ครั้งภายในชาติภพเดียว ในตลอดชีวิตเนี่ยหนักหนาสาหัสมากนะ
“คําถามคือพระพุทธเจ้าบอกว่าการที่เราจะเดินออกจากความยึดมั่นถือมั่นในความสุข ที่เราคิดว่าเป็นความสุขในโลกเนี่ยจะเดินออกยังไง พระองค์สอนที่เรามองเห็นโทษ
“โทษของอะไร...
“โทษของการมีชีวิต”
กว่าอาจารย์เบียร์จะก้าวมาถึงจุดนี้ เขาเองก็เคยเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้รับรู้หรือตระหนักถึงคุณโทษของการมีชีวิตมาก่อน หลังจากเรียนจบปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ เอกการสื่อสารแบรนด์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เขาคือเด็กจบใหม่ไฟแรงอยากจะหาเงินมาปรนเปรอตัวเองและครอบครัวให้ได้มากที่สุด จึงเริ่มต้นทำธุรกิจร้านซักรีด แต่สุดท้ายก็ต้องปิดตัวลงไป เพราะขาดประสบการณ์ในการทำธุรกิจ เขาไม่มีทั้งความรู้และประสบการณ์จึงจำใจต้องแบกรับบทเรียนแรกของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไว้อย่างไม่เต็มใจนัก
แต่การล้มเหลวตั้งแต่อายุยังน้อย ผลักให้เขามองโลกเปลี่ยนไป เบียร์เริ่มต้นชีวิตการทำงานใหม่สมัครเป็นพนักงานบริษัทเอกชน เริ่มสายงานตามวิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา กระทั่งได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการตลาด จากเงินเดือน 40,000 - 50,000 ขยับไปเป็นระดับผู้จัดการ และเปลี่ยนบริษัทไปอีกหลายที่ เป็นที่ปรึกษาการตลาดการสร้างแบรนด์ จนสุดท้ายก็สามารถหาเงินได้เดือนละไม่ต่ำกว่าแสนบาท
ยิ่งหาเงินมาได้เยอะก็ยิ่งทุกข์มากขึ้นเรื่อย ๆ เขาต้องเสียภาษีสังคมสูงลิ่ว เงินหลักแสนก็ไม่ช่วยให้ชีวิตของเขาสุขสบาย มีแต่ต้องหาเงินเพิ่มมากขึ้นอีก เพื่อให้คนในแวดวงให้การยอมรับนับถือ เมื่อทุกอย่างเริ่มไม่เป็นอย่างหวัง ชายคนนี้จึงหันมาพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นทุกวัน เขาสวดภาวนา ขอร้องอ้อนวอนเทพเจ้าว่าขอให้ชีวิตต่อจากนี้ประสบความสำเร็จ เงินทองไหลมาเทมาเป็นกอบเป็นกำ เพื่อให้เขากลายเป็นคนที่ใครต่อใครต่างเคารพนับถือ
กลายเป็นว่ายิ่งพยายาม ก็ยิ่งผลักให้เขาห่างไกลจากโลกความจริงมากขึ้นทุกที เบียร์จึงหันมาเข้าสู่วงการมูเตลู ถึงขั้นเป็นหมอดูดวงนานถึง 7 ปี ช่วงแรกที่เป็นหมอดูเขาทำเพราะอยากช่วยให้ทุกคนคลายความทุกข์ใจ แต่นานวันเข้ากลับถูกความโลภเข้าครอบงำ จากหวังดีกลายเป็นหวังผลประโยชน์จากคนมาดูดวงแทน เบียร์เริ่มมีของมาขายให้กับผู้มีจิตศรัทธา มีพิธีกรรมเสริมดวงชะตา ทั้งหมดนี้กลายเป็นเงินเป็นทอง จากศึกษาเรื่องดวงเล่น ๆ กลายเป็นว่าอาชีพนี้ทำให้เขามีเงินเดือนมากพอโดยไม่ต้องทำงานประจำ
7 ปีที่เขาทำเงินได้จากความเชื่อความศรัทธา ไม่ได้ทำให้เขาสบายใจมากนัก ในระหว่างนั้นจึงเริ่มศึกษาธรรมะควบคู่ไปด้วย และเริ่มคิดได้ว่าสิ่งที่เขาทำมาตลอดก็ไม่ต่างจากการไปหลอกลวงคนอื่น เบียร์จึงเลิกอาชีพหมอดูและนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการศึกษาธรรมะมาเผยแผ่ต่อสาธารณะแทน โดยตั้งเป้าเอาไว้ว่าเขาจะทำหน้าที่ตรงนี้ 3 ปี ก่อนจะบวชที่วัดป่านาคําน้อย จังหวัดอุดรธานี
ซึ่งคำว่า ‘อาจารย์’ ก็ได้มาจากการที่เขาทำอาชีพหมอดูมาก่อน คนเลยติดเรียกเขาว่าอาจารย์เบียร์มานับแต่นั้น อาจารย์เบียร์เผยว่าเขาคิดอยากจะบวชมาตั้งแต่เลิกเป็นหมอดู แต่ด้วยภาระทางโลกไหนจะหนี้สิน ไหนจะแม่ที่ต้องดูแล เขาจึงพับแผนบวชตลอดชีวิตไว้ก่อน แต่ด้วยใจที่อยากจะเผยแผ่หลักคำสอน เขาจึงตัดสินใจเปิดช่อง ‘คนตื่นธรรม’ จนกลายมาเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน
ด้วยสไตล์การสอนธรรมะไม่อ้อมค้อม มาพร้อมกับถ้อยคำรุนแรง พูดมึง-กูจนเป็นเรื่องปกติ บางครั้งก็มีกระโถนยกมาตีเรียกสติคนฟังธรรม หลายคนจึงมองว่าเขาทำเกินกว่าเหตุ สอนธรรมะไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดหยาบคายเช่นนั้นก็ได้ บางคนถึงขั้นบอกว่าเขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้ห่มผ้าเหลืองทำไมต้องฟังธรรมจากคนแบบนี้ด้วย หรือคนตื่นธรรมจะเป็นลัทธิไม่ต่างจากกรณีอื่นที่พบเห็นได้ทั่วไปหรือเปล่า
ซึ่งในรายการ WOODY FM ผู้ดำเนินรายการอย่างวู้ดดี้ (วุฒิธร มิลินทจินดา) เองก็ถามคำถามเดียวกันว่า
“ทำไมคุณไม่บวชไปเลยล่ะ หรือว่าทำไมไม่ห่มผ้าเหลืองเลย อาจจะเป็นสิ่งที่เขาฟังแล้วรู้สึกว่าเหมาะไปเป็นพระมากกว่าเป็นฆราวาสมาสอนธรรม อยากให้แชร์หน่อยว่าฆราวาสโดยทั่วไปก็มีสิทธิ์ในการแชร์เรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่แค่คนห่มผ้าเหลืองเท่านั้น”
“โดยปกติในสมัยพุทธกาลฆราวาสสอนธรรมมีเยอะแยะมากมายพระพุทธเจ้าไม่เคยห้าม พระองค์บอกว่าผู้ทรงธรรมทรงวินัยให้ช่วยกันนําคําสอนของพระองค์ไปบอกสอนต่อ ซึ่งด้วยความเป็นจริงหน้าที่โดยตรงเนี่ยเป็นพระภิกษุสงฆ์แน่นอนอยู่แล้ว อันนี้เป็นเรื่องชัดเจน เพราะพระภิกษุสงฆ์เป็นสมณสากยปุตติยะ เป็นบุตรที่เกิดจากปากของพระพุทธเจ้าโดยตรง เรียกว่าบุตรที่เกิดโดยธรรมของพระพุทธเจ้าเข้าไปสู่ธรรมวินัย
“ส่วนที่เหลือ ฆราวาสญาติโยมสามารถบอกสอนมาได้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระพุทธเจ้าบอกว่าสามารถสอนธรรมะของพระองค์ได้หมด แล้วพระองค์ประกาศสรรเสริญไว้ด้วยว่าใครก็ตามที่พูดธรรมะของพระองค์ได้อย่างถูกต้องเรียกว่ารัตนะ 5 เป็นบุคคลที่หาได้ยากในโลกหนึ่ง
“ผู้ที่เอาธรรมะพุทธเจ้าไปบอกสอนแก่คนในโลก โดยมีเจตจํานงเจตนาเมตตาสั่งสอนต่อสัตว์โลก ที่กําลังหลงติดอยู่ในสังสารวัฏให้หลุดพ้นให้ได้ จึงเป็นบุคคลที่หาได้ยากในโลก ดังนั้นการสอนธรรมะไม่จําเป็นต้องอยู่ในบริบทของการห่มเหลืองอย่างเดียว หรือการเป็นพระภิกษุสงฆ์อย่างเดียว ฆราวาสก็สามารถสอนธรรมะได้ แต่คําถามธรรมะที่สอนน่ะเป็นธรรมะที่ถูกต้องมั้ย ถ้าเป็นธรรมะที่ขัดแย้ง ขวางต่อธรรมะพระพุทธเจ้าอันนี้ไม่ควรสอน ควรปฏิเสธออกไปเสีย
“แต่ถ้าเป็นธรรมะที่ถูกต้องตามหลักคําสอนพระพุทธเจ้า สอดรับไม่ขัดแย้งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เข้ากันได้ดีดุจน้ำนมกับน้ำอันนี้พระพุทธเจ้าบอกว่าสามารถสอนได้เลย ทําให้คนมีดวงตาเห็นธรรม แต่ถามว่าในความเป็นจริงแล้วเนี่ยควรแก่การจะไปบวชมั้ย ถ้าตัวเองเนี่ยเข้าใจและอยู่ในหลักการปฏิบัติธรรมจะทําให้ตัวเองเนี่ยถึงที่สุดแห่งทุกข์ก็ควรแก่การไปบวช อย่างเช่นอาจารย์ ไม่ใช่อาจารย์จะไม่บวช ในช่วงปลายปีอาจารย์ก็จะไปบวชซึ่งอาจารย์กําหนดแล้วว่าอาจารย์จะสอนธรรมในฐานะฆราวาสเนี่ยอยู่แค่ 3 ปีเท่านั้น”
อาจารย์เบียร์ทำหน้าที่เผยแผ่คำสอนมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ปี เหลือเวลาอีกแค่หนึ่งปีเศษ ๆ ที่เขาจะทำหน้าที่ตรงนี้ในฐานะฆราวาส ก่อนจะมุ่งสู่ทางธรรมอย่างเต็มตัว
เหตุผลที่เขายังบวชตอนนี้ไม่ได้เพราะยังคงติดอยู่กับบ่วงทางโลก เขาต้องชำระหนี้ให้เสร็จสิ้น หากไม่จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยคงทำให้ทุกข์ใจเสียเปล่า “อาจารย์แค่อยากเคลียร์ทุกอย่างให้จบก่อนถึงจะไปบวชได้”
รายได้ส่วนใหญ่ของเขามาจากการค้าขาย ทั้งน้ำพริก เสื้อผ้า อาหารแห้ง นี่คือรายได้หลักในการปลดเปลื้องภาระทางโลก ส่วนการสอนธรรมะเป็นกิจที่เขาทำโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่มีรายได้เข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่บาทเดียว หากมีรายได้เข้ามาจะนำไปเข้ากองกลาง เพื่อเลี้ยงผู้ปฏิบัติธรรมเวลาอาจารย์เบียร์เปิดบรรยายธรรม ซึ่งเขาจะจัดขึ้นเดือนละครั้ง รับครั้งละ 600 คน
“ปกติจะสอนธรรมะทุกวันอยู่แล้วผ่านการไลฟ์สด ไม่มีวันหยุด วันละ 5 ชั่วโมง ส่วนปฏิบัติธรรมที่บ้าน จะจัดขึ้นเดือนละครั้ง รับครั้งละประมาณ 600 คน เริ่มสอนตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงบ่ายสอง”
หากถามว่าชื่อเสียงของคนตื่นธรรมเริ่มโด่งดัง จนเป็นที่รู้จักทั้งประเทศตั้งแต่ตอนไหน คงเป็นช่วงที่กระแสแฮชแท็ก #ทำไมดูเป็นคนดีจัง พูดเรื่องการขโมยดวง ซึ่งได้คุณปอยมาเล่าในเดอะโกสท์ เรดิโอ และรายการโหนกระแสเชิญอาจารย์เบียร์ไปพูดคุยถึงประเด็นดังกล่าว และแน่นอนว่าคำตอบของอาจารย์เบียร์รุนแรงเสียจนใครได้ยินเป็นต้องสะดุ้งกันบ้าง
บทบาทของอาจารย์เบียร์ในสังคมปัจจุบันย้ำเตือนเราว่า ความสงบและความสุขไม่ได้มาจากภายนอก แต่เกิดจากการเข้าใจธรรมชาติและดำเนินชีวิตด้วยปัญญาและสติ
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : คนตื่นธรรม/ Facebook
ที่มา :
“อาจารย์เบียร์ คนตื่นธรรม” ตายเลยตอนนี้ดับทุกข์ได้? แน่ใจนะว่าจบ ตกนรกรับไหวไหม | WOODY FM. https://www.youtube.com/watch?v=JhsMq8cy8lE