‘JAMES ARTHUR’ SOUTH EAST ASIA TOUR 2023 คอนเสิร์ตเต็มรูปแบบครั้งแรกในไทย ของศิลปินผู้ปลดล็อกทุกความรู้สึก...ผ่านเส้นเสียงของดนตรี

จากจุดเริ่มต้นความประทับใจที่ย้อนกลับไปนึกถึงภาพของหนุ่มอังกฤษวัย 24 ปี ที่เคยใช้เสียงร้องอันทรงพลังของเขาสะกดคนดูทั้งโลกไว้ชั่วขณะในรอบออดิชั่นของรายการประกวดร้องเพลงระดับโลกอย่าง X Factor Season 9 ในปี 2012 จนตอนนี้เขาได้ก้าวขึ้นเป็นไอคอนสายดนตรีที่สร้างสรรค์ผลงานเพลงฮิตไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพลงฮิตขึ้นหึ้งอย่าง ‘Say You Won’t Let Go’ ที่ปล่อยออกมาในปี 2016 ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเพลงแรกของเขาที่ได้รับตราประทับของสมาคมอุตสาหกรรมแผ่นเสียงของอเมริกา หรือ (RIAA) ซึ่งมีเพียง 100 ศิลปินในโลกเท่านั้น ที่จะได้รับตราประทับนี้ และถูกบันทึกลงไว้ในประวัติศาสตร์วงการเพลง ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีศิลปินดังระดับตำนานอย่าง ‘เอลตัน จอห์น’ (Elton John) และศิลปินแถวหน้าของโลกอย่าง ‘บรูโน มาร์ส’ (Bruno Mars) ร่วมอยู่ด้วย นับว่า ‘เจมส์ อาร์เธอร์’ ถือเป็นศิลปินยุคใหม่ที่ดีกรีไม่ธรรมดาทีเดียว

ทุก ๆ การเดินทางของ ‘เจมส์’ ก็ได้ฝากผลงานเพลงฮิตไว้มากมายตั้งแต่เพลงเปิดตัวอย่าง Impossible ในปี 2013 เป็นเพลงเดียวกันกับเพลงที่เคยใช้ประกวดในรายการ รวมถึงเพลงประกอบภาพยนตร์สุดยิ่งใหญ่อย่าง Rewrite The Stars ในปี 2017 หรือเพลง Can I Be Him ในปี 2016 เพลง Naked ในปี 2019 เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในศิลปินที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากมายจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในครั้งนี้ ‘เจมส์ อาร์เธอร์’ ได้นำพาความรู้สึกของเขาเดินทางรอบโลกมาในวันที่เติบโตและเป็นที่ยอมรับของผู้คนมากมาย

เมื่อเริ่มย่ำกรายเข้าไปในงาน JAMES ARTHUR SOUTH EAST ASIA TOUR 2023 บรรยากาศภายในงานถูกจัดวางด้วยความเรียบง่าย ไม่ได้มีความวุ่นวายหรือกิจกรรมหน้างานให้ต้องเดินชมอะไรให้เหนื่อย คล้ายจะเป็นการบ่งบอกกลาย ๆ ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของโชว์ก็คือเสียงของเจมส์นั่นเอง ในเวลาก่อนคอนเสิร์ตจะเริ่มเป็นช่วงเวลาประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง เมื่อเพลงคลอบรรยากาศเสียงปลุกพลังจากหลังเวทีดังออกมาข้างหน้าราวกับเป็นการบอกให้แฟนเพลงเตรียมตัวพบเจอกับความประทับใจที่เตรียมมามอบให้ในค่ำคืนนี้

เปิดม่านการแสดงด้วยการชวนคนดูลุกขึ้นเต้นตั้งแต่เพลงแรก

แล้วโชว์ก็เริ่มขึ้นด้วยการประเดิมเพลงแรก ‘You’re Nobody ’Til Somebody Loves You’ ที่สำคัญคือแค่เพลงแรกก็ชวนคนดูลุกจากเก้าอี้ขึ้นมาโยกตามจังหวะตั้งแต่เริ่มกันเลยทีเดียว จากนั้นก็ต่อด้วยเพลงใหม่ ดนตรีที่ผสมผสานกลิ่นอายแบบซินธ์ป๊อปจังหวะชวนกระโดด แต่เนื้อหาของเพลงก็แฝงไปด้วยความเศร้าและคิดถึงคนรักอย่างเพลง ‘Blindside’ จากสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 5 Bitter Sweet Love ที่จะปล่อยอัลบั้มเต็มในช่วงต้นปี 2024 ถือว่าแฟนเพลงชาวไทยมีโอกาสได้ฟังสดก่อนใคร ๆ เลยก็ว่าได้

ก่อนจะสะกดคนดูให้ร้องตามทั้งฮอลล์ด้วยการวางกีตาร์ไปนั่งเล่นเปียโนเพลง ‘Falling Like The Stars’ และชวนให้คนดูสร้างคลื่นทะเลดาวสวยงามแบบนั่งไม่ติดที่นั่งกันเลย แล้วตามด้วยเพลงฮิต ‘Can I Be Him’ จากอัลบั้ม Back From The Edge จากนั้นก็เข้าเพลงที่ถือเป็นหมัดเด็ดใช้สะกดคนทั้งฮอลล์แบบอยู่หมัดด้วยการเปลี่ยนเซตอัปของเครื่องดนตรีที่ใช้การสื่อสารเพื่อให้เห็นถึงความจริงใจ โดยเหลือแค่เพียงเปียโนและกีตาร์เท่านั้น กับเพลงที่แฟนเพลงรอฟังแบบสด ๆ อย่าง ‘Rewrite The Stars’ เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Greatest Showman ตามด้วยเพลง Train Wreck จากนั้นก็น็อกคนดูด้วยเพลงตบท้ายในช่วงเปียโนเซตที่ตราตรึงด้วยพลังเสียงทรงพลังกระแทกไปถึงใจแฟนเพลงทุกคน จนถึงน้ำตาคลออย่างเพลง ‘Naked’ จากอัลบั้ม You ต่อด้วย ‘Last of the Whiskey’ จากอัลบั้ม It’ll All Make Sense in the End

แล้วก็เข้าอีกหนึ่งเพลงที่สามารถชวนคนดูโยกย้ายเคลื่อนตัวกันได้อีกครั้ง พร้อมด้วยการปล่อยหมัดเด็ดอีกอย่างคือการโชว์สกิลแรปอย่างลื่นไหลในเพลง ‘Sermon’ นับเป็นศิลปินที่ทั้งร้องและแรปรวมถึงทำโชว์ออกมาได้ค่อนข้างกลมกล่อม พอมาถึงในตอนนี้ก็คล้ายกับว่ากำลังเดินทางมาถึงช่วงกลางของโชว์แล้ว ถ้ามัวแต่อัดเพลงใส่คนฟังที่ถึงจะดูคุ้มแต่มันก็จะขาดอรรถรสบางอย่างไปเหมือนกัน ก็เลยถึงช่วงที่พักคุยหยอกล้อกับแฟนเพลงนิด ๆ หน่อย ๆ ก่อนที่จะไปต่อกันที่เซตเพลงต่อไปอย่าง ‘September’, ‘A Year Ago’ แต่ดูเหมือนว่าพลังคนร้องยังล้น และพลังคนดูก็ยังเหลือ ลองโยกย้ายกันเบา ๆ กันต่อในเพลง ‘Sun Comes Up’ แล้วก็เดินทางมาถึงช่วงไฮไลต์ของท้าย ๆ โชว์ที่พร้อมจะเข้าเพลงเปิดตัวที่ยังอยู่ในใจทุกคนอย่าง ‘Impossible’ ที่คนทั้งฮอลล์ต่างก็อินและร้องตามกันอย่างตั้งใจ

หลังจากจบเพลงแจ้งเกิดของเขา ก็พักคุยกับคนดูอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีความประทับใจเกิดขึ้นสด ๆ ในโชว์ เพราะมีแฟนเพลงบางส่วนตะโกนขึ้นไปให้กำลังใจบอกรักและขอเพลง ‘เจมส์’ ที่ได้ยินเสียงเหล่านั้น ก็ได้เล่าเรื่องราวการทัวร์ของเขาให้ฟังว่า “การตะโกนขึ้นไปของคนดูนั้นเปรียบเสมือนการส่งพลังให้เขามีแรงในการสร้างผลงานและออกมาทัวร์ต่อไป” ก่อนจะเข้าเพลงฮิตที่เป็นเหมือนการกำเนิดของเขากับเพลง ‘Impossible’ อีกครั้ง เพื่อเป็นการส่งสารให้แฟนเพลงถึงกำลังใจที่ตัวเขาเองได้รับตั้งแต่เริ่มออกมาทัวร์ จากนั้นก็ต่อด้วยเพลง ‘Just Us’ และตอกย้ำความเศร้าไปอีกด้วยเพลงฮิตอย่าง ‘Car’s Outside’ เพลงที่คุ้มค่าการรอฟังอย่างไม่มีข้อกังขาใด ๆ 

แล้วก็เดินทางมาถึง 2 เพลงสุดท้ายที่ตั้งใจเอามามอบให้แฟนเพลงในค่ำคืนนี้อย่าง ‘Lasting Lover’ และแน่นอนที่สุดก็ต้องตบท้ายด้วยเพลงฮิตที่สุดตลอดกาลของ ‘เจมส์ อาร์เธอร์’ อย่าง ‘Say You Won’t Let Go’ ที่ก็เป็นอย่างที่คาดหวัง คือเต็มไปด้วยเสียงร้องตามอย่างกระหึ่ม ก่อนจบโชว์ในค่ำคืนที่ประทับใจนี้ไป

ถึงแม้จะจบค่ำคืนนี้ไป แต่เสียง ‘เจมส์ อาร์เธอร์’ (James Arthur) ยังก้องกังวานอยู่ในความประทับใจของแฟนเพลง นับเป็นโชว์ที่อิ่มกำลังดีเหมือนกินข้าวแบบพอประมาณ ไม่ต้องแน่นเหมือนสั่งพิเศษพูนจาน หรือการยัดทุกอย่างไปให้แน่นเหมือนการกินบุพเฟต์ อาจจะทำให้การมาเยือนกรุงเทพฯ เมืองคอนเสิร์ตครั้งนี้กลายเป็นการฝากความทรงจำเพื่อให้แฟนเพลงคิดถึงและรอคอยการกลับมาของเขาอีกก็เป็นได้