27 ม.ค. 2568 | 11:00 น.
โยอะโซบิ (YOASOBI) หมายถึงการเล่นสนุกยามค่ำคืน ช่วงเวลาที่พวกเขาหวังจะส่งบทเพลงไปสู่ใจคนฟัง คอยคลอเคล้าอยู่เคียงข้างจนกว่ารัตติกาลจะผันเปลี่ยน
เราเจอพวกเขาในช่วงเวลาเกือบเย็นของวัน – ไม่ใช่กลางคืนเสียทีเดียว - ในห้องสีเหลืองสดใจกลางกรุงเทพมหานคร แม้จะรายล้อมไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา แต่มองแค่ปราดเดียวก็รู้ทันทีว่า หนุ่มสาวตรงหน้านี่แหละคือศิลปินระดับโลก ที่ใครต่อใครต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า บทเพลงของพวกเขาช่วยปลอบประโลมจิตใจอันบอบช้ำได้เป็นอย่างดี
คนไทยถึงขนาดเคยติดแฮชแท็ก #โปรดมาแสดงคอนเสิร์ตที่เมืองของฉัน เรียกร้องให้มาจัดแสดงอย่างล้นหลาม จนมาถึงวันที่ #ประเทศไทยมีYOASOBIแล้ว หลังจากพวกเขามาแสดงคอนเสิร์ต SUMMER SONIC Bangkok 2024 เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และเมื่อไม่กี่วันก่อนพวกเขาเพิ่งมาทัวร์ประเทศไทย 'YOASOBI ASIA TOUR 2025 Live in Bangkok' นั่นแหละทำให้เห็นแล้วว่าอาการหูเคลือบทองมันเป็นยังไง!
เพราะทุกเพลงที่ขับร้องออกมาล้วนสรรสร้างขึ้นมาจากนิยาย ซึ่งผู้ประพันธ์สามารถบรรจุความอ้างว้าง เดียวดาย และระทมทุกข์จนแทบจะโหยไห้ลงไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด แน่นอนว่าการนำงานเขียนมาเป็นบทเพลง คนคนนั้นอาจ ‘เคย’ อยู่ในห้วงอารมณ์นั้นไม่มากก็น้อย
อันที่จริงโยอะโซบิเกิดขึ้นจากความบังเอิญ หลังจากค่ายเพลง Sony Music Entertainment Japan อยากลองทำโปรเจกต์เพลงประกอบนิยายบนเว็บไซต์ Monogatary ซึ่งเป็นพื้นที่ให้เหล่านักเขียนหน้าใหม่ได้ออกมาประชันผลงานกัน
ความบังเอิญแรก คือ หลังจากนักพัฒนาศิลปินของค่ายได้ฟังเพลงของอายาเสะ (Ayase) ซึ่งเริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะ Vocaloid-p (Vocaloid producer) ก็เกิดหลงรักในสไตล์ของเขาเข้าอย่างจัง จึงชักชวนให้มาเป็นสมาชิกคนแรกของโปรเจกต์
ความบังเอิญต่อมา คือ อายาเสะเจอคลิปคัฟเวอร์เพลงของ ‘ริระ อิคุตะ’ (Lilas Ikuta ต่อมาเธอใช้ชื่อสเตจเนมว่า อิคุระ) หนึ่งในสมาชิกวง Plusonica หลังจากฟังครั้งแรกเขาก็รู้ได้ทันทีว่า นี่แหละ คือเสียงร้องที่เขาตามหามาโดยตลอด และเธอก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะเธอคนนี้คือผู้ถ่ายทอดทั้งความหม่นเศร้าและสดใสออกมาได้อย่างมหัศจรรย์
จากความบังเอิญทั้งหมด ได้เปลี่ยนคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันมาสู่เพื่อนร่วมวง โดยมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือความรักที่มีให้กับดนตรี พวกเขาเฝ้าฝันมาโดยตลอดว่าอยากจะลองใช้พรสวรรค์ต่อสู้กับโลกใบนี้ดูสักตั้ง และโชคชะตาของทั้งคู่ก็ลากเส้นมาบรรจบกันในปี 2019
ทั้งสองทำเพลงร่วมกันมาไม่ต่ำกว่า 5 ปี และเป็นเวลาครึ่งศตวรรษแล้ว ที่เพลงของทั้งคู่ปล่อยออกสู่สาธารณะ ช่วงเวลาผันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีโยอะโซบิก็จับจองพื้นที่ในใจของแฟนเพลงทั่วโลกได้อย่างน่าอัศจรรย์
ต่อจากนี้คือเรื่องราวของดูโอ้สัญชาติญี่ปุ่น ผู้มอบสีสันให้โลกดนตรีผ่านบทเพลงซึ้งตรึงใจ ศิลปินผู้เปลี่ยนโลกนิยายให้มีชีวิต สอดแทรกอยู่ในทุกช่วงจังหวะการเต้นของหัวใจ
“ตอนที่เจอเขา (อายาเสะ) ครั้งแรก ฉันคิดว่า โอ้! เขาเหมือนกับภาพปกที่เป็นตัวละครโวลาคอยด์นั้นเลย ผมแบบนี้ แววตาแบบนี้ เห็นครั้งแรกก็ตกใจเลยค่ะ”
“จริง ๆ ก่อนที่เราจะเจอกัน เราไม่เคยเห็นหรือรู้จักใบหน้าค่าตากันมาก่อน ผมก็จะทำเพลงปล่อยออกมาทางยูทูปเป็นปกติ เพียงแค่ไม่ได้เปิดเผยใบหน้าแค่นั้น”
“ถ้าถามว่าความประทับใจที่มีต่อเธอ (อิคุระ) เปลี่ยนไปมั้ย ไม่ ผมว่าไม่เปลี่ยนเธอยังคงสดใสเหมือนเดิม เป็นผู้หญิงที่ดูใสซื่อและไร้เดียงสา เพียงแค่ในวันแรกที่เราเจอกัน ผมอายุ 24 เธออายุ 18 ปี อายุเราต่างกันค่อนข้างเยอะ และผมก็ผจญโลกของผู้ใหญ่มาเยอะกว่าเธอเช่นกัน โลกของเราเลยแตกต่างกันนิดหน่อย แต่ความประทับใจทุกอย่างจากวันนั้นจนวันนี้ ทุกอย่างยังเหมือนเดิมครับ”
อิคุระพยักหน้าช้า ๆ หลังจากได้ฟังคำตอบอันอ่อนโยนของอายาเสะ ก่อนเธอจะเสริมว่าด้วยความที่อายุต่างกัน เธอมักจะมองว่าอายาเสะดูค่อนข้างเงียบขรึม และเข้าถึงยาก การได้รับรู้ถึงความรู้สึกตรงไปตรงมาของเขา ทำให้เธออดเอ่ยถึงความประทับใจถึงรุ่นพี่คนนี้เพิ่มเติมไม่ได้
“ตอนนั้นฉันยังเด็กอยู่เลยค่ะ แต่สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นสุด ๆ เลยคือ ฉันคิดว่าคนคนนี้เขาไม่ค่อยพูดค่ะ ต่างกับฉันที่ชอบคุยกับผู้คน”
นี่คือความประทับใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทั้งสองมีให้กัน แม้จะร่วมเดินทางกันมาอย่างยาวนาน แต่พวกเขายังคงเคารพและให้เกียรติเพื่อนร่วมวงไม่ต่างจากวันวาน
เหตุผลหลักคือ ช่องว่างของอายุทำให้การวางตัวยิ่งต้องชัดเจน ช่วงขวบปีแรก อายาเสะมักเว้นระยะห่างกับอิคุระเสมอ พยายามพูดคุยเฉพาะเรื่องงานเท่านั้น เพื่อไม่ให้รบกวนเวลาส่วนตัวของนักร้องสาวมากจนเกินไป อาจเพราะการวางตัวเช่นนี้ อิคุระจึงมองว่าอายาเสะเป็นคนเงียบขรึมก็เป็นได้
แต่หลังจากใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น ความสนิทสนมเริ่มก่อตัว ช่องว่างเหล่านั้นดูเหมือนจะขยับแคบลงอย่างช้า ๆ จนอิคุระถึงกับเอ่ยปากออกมาว่า เธอกับอายาเสะมีอะไรที่เหมือนกันกว่าที่คิด โดยเฉพาะการชอบอยู่ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน
“พอร่วมงานกันมาเรื่อย ๆ ก็เข้าใจว่าเขา (อายาเสะ) เป็นคนช่างพูดเหมือนกัน พูดเก่งมาก คุยสนุกด้วย แล้วก็เป็นคนให้ความสำคัญกับ Vibes คือชอบอยู่ในบรรยากาศที่สนุก นี่คือสิ่งที่เปลี่ยนไปจากวันแรกที่เรารู้จักกันค่ะ”
ใช่ว่าเส้นทางการเป็นศิลปินของทั้งสองจะราบรื่นเสียทีเดียว อายาเสะกับอิคุระยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า อุตสาหกรรมนี้การแข่งขันสูงลิ่ว จึงเป็นเรื่องยากไม่น้อยที่จะยึดเอาสิ่งที่รักมาเป็นอาชีพหลักในการเลี้ยงดูตัวเอง และคนในครอบครัว
โชคดีที่พวกเขามีครอบครัวและคนรอบข้างน่ารัก ทำให้ความอึดอัดใจช่วงแรกมลายหายไป จนสามารถโฟกัสกับการทำเพลงได้อย่างเต็มที่
“ฉันเริ่มเส้นทางการเป็นศิลปินตอนอยู่ ม.2 ค่ะ ตอนนั้นไปเล่นดนตรีเปิดหมวก (street performance) ก็ทำแบบนั้นมาเรื่อย ๆ พอเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 ก็ได้รับการทาบทามจากคุณอายาเสะให้มาร่วมโปรเจกต์นี้ด้วยกันค่ะ”
ส่วนอายาเสะเริ่มสนใจโลกดนตรีตั้งแต่ชั้นประถม โดยขอให้พ่อกับแม่ซื้อกีต้าร์เพื่อฝึกฝนการเล่น “พ่อแม่ของผมเค้ารู้ดีครับว่าการจะเป็นนักร้องแล้วประสบความสำเร็จ มีคนจำนวนเพียงแค่หยิบมือเท่านั้นที่ทำได้ ส่วนคำถามที่ว่าครอบครัวสนับสนุนยังไงบ้างใช่มั้ยครับ อันที่จริงพวกเขาค่อนข้างเป็นห่วงผมเลยล่ะ รู้ดีว่าอาชีพนี้มันไม่มั่นคง แต่พวกเขาไม่เคยปล่อยมือหรือยอมแพ้ในตัวผมเลย เพราะฉะนั้นผมเลยต้องทำทุกอย่างให้เต็มที่ที่สุด ซึ่งมันเป็นความคิดที่ผมคิดมาตั้งแต่วันแรกจนถึงทุกวันนี้ครับ”
ความพยายามของอายาเสะกับอิคุระไม่สูญเปล่า เห็นได้ชัดจากซิงเกิลแรก ‘Yoru ni Kakeru’ (Racing into the Night) หรือ ‘วิ่งสู่ค่ำคืน’ ทะยานไปติดชาร์จ Billboard Japan Hot 100 ถึง 3 สัปดาห์ติดกัน และหลังจากนั้นไม่ว่าจะปล่อยมากี่เพลง ชื่อของโยอะโซบิก็ติดโผเพลงฮิตยอดนิยมอยู่เสมอ
การได้รับความนิยมในชั่วข้ามคืนทำให้ชีวิตพวกเขาเปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม โดยเฉพาะอิคุระ เธอแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าสามารถทำตามฝันได้แล้ว
“ชีวิตฉันเปลี่ยนไปมากเลยค่ะ เมื่อก่อนไม่เชื่อเลยว่าการเป็นศิลปินจะเลี้ยงตัวเองได้ ช่วงแรกพ่อแม่ก็เลยเป็นคนที่คอยให้การสนับสนุนอยู่ตลอด แต่ว่าทุกวันนี้ มันเปลี่ยนไปหมดแล้วค่ะ ฉันสามารถใช้ดนตรีเลี้ยงชีพได้จริง ๆ รู้สึกดีมาก ๆ มันเป็นความรู้สึกอิ่มใจ มันมีความสุขที่ได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ นี่คือสิ่งที่ฉันอยากทำให้พวกท่านมาโดยตลอด”
“อืมม ผมว่าการเป็นศิลปินมันไม่มีวันหยุดเลยครับ” อายาเสะเสริม
ถึงจะต้องเจอกับความเหนื่อยล้าระหว่างทางบ้าง แต่เขาไม่เคยย่อท้อ ในทางกลับกันเขากลับชอบตัวเองที่ยืนอยู่ ณ จุดนี้
“มันเป็นงานที่เต็มไปด้วยความสุขครับ นี่คือสิ่งที่ผมรู้สึกตลอดเวลา ทุกเวลาคือการเป็นศิลปิน เรียกว่าเป็นอาชีพที่อยู่ในลมหายใจตลอดเวลา”
แต่เขาไม่ใช่หุ่นยนต์สามารถคิดผลงานออกมาได้ตลอดเวลา มีบ้างที่สมองตื้อจนคิดอะไรไม่ออก อิคุระเองก็เช่นกัน หากวันใดวันหนึ่งเธอรู้สึกสูญเสียตัวตน หนทางเยียวยาเดียวที่ทำได้คือการเข้าสู่อ้อมกอดของคนที่รักและรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอ
“มีบางครั้งค่ะที่ฉันรู้สึกว่า อิคุระตัวจริงกำลังจางหาย บางทีตัวฉันคนนั้นอาจจะเอียงไปทางซ้ายหรือขวาไปหน่อย ถ้าเป็นแบบนั้นเมื่อไหร่ฉันจะปรึกษากับคนรอบตัวค่ะ ให้พวกเขาช่วยดึงกันกลับมาอยู่ตรงกลาง ให้อิคุระคนนั้นกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง”
ขณะที่อิคุระเลือกปรึกษาคนรอบตัว คำตอบของอายาเสะทำให้ทุกคนถึงกับหลุดหัวเราะ เพราะเขาบอกว่าทางแก้เดียวคือ การออกไปดื่ม!
“ดื่มเท่านั้นครับ” (หัวเราะ)
“เพราะงานของผมมันเหมือนต้องอยู่คนเดียว เพื่อจะใช้เวลากับการทำเพลง แต่การจมอยู่ในสถานที่เดียวตลอดเวลา แล้วเมื่อถึงคราวดาวน์หรือคิดไม่ออก ไม่มีไอเดีย การนั่งจมจ่อมอยู่ตรงนั้นมันไม่ได้ช่วยอะไร เพราะฉะนั้นเลยคิดว่าการออกไปดื่มกับเพื่อนทั้งคนสนิทหรือไม่สนิท ผมไปได้หมดเลย ขอแค่ออกไป ใครก็ได้ครับ ได้เจอเพื่อนแล้วมันเหมือนได้รับการรีเฟรช ได้พลังความสดชื่นกลับมาอีกครั้ง”
“ผมโหยหาเวลากลางวันสุด ๆ เลยครับ”
อายาะเสตอบหลังจากเราถามว่าช่วงเวลากลางวันหรือกลางคืนที่ชื่นชอบมากกว่ากัน ซึ่งสร้างความแปลกใจให้เราไม่น้อย เพราะคิดว่าคำตอบของเขาจะเป็นช่วงเวลากลางคืนมากกว่าเสียอีก
“อยากจะตื่นเช้า ออกไปนั่งคาเฟ่บ้าง มันเป็นความรู้สึกแบบนั้นอะ ถ้าถามว่าชอบตอนไหน ตอนนี้อยากจะใช้เวลาไปกับกลางวันสุด ๆ เลยครับ”
“ถ้าฉันมีโอกาสนะคะ คิดว่าอยากตื่นเช้าเหมือนกัน เพราะเวลาทำอะไรเช้า ๆ มันสดชื่นจริง ๆ นะ เลยโหยหาช่วงกลางวันเหมือนกันค่ะ”
“แต่ถ้าถามว่าร่างกายพร้อมจะลุยช่วงไหนกว่ากัน คงต้องบอกว่ากลางคืน ไอเดีย หรือว่าออกไปแสดงสด ตอนกลางคืนร่างกายจะทำได้ดีกว่า เหมือนร่างกายตื่นตอนนั้น แต่ก็ยังอยากใช้เวลากลางวันมากกว่าอยู่ดีค่ะ”
เอาเป็นว่าค่อนข้างประหลาดใจกับคำตอบของทั้งคู่พอตัว เลยอดไม่ได้ที่จะถามคำถามต่อไปอีกนิดว่า ถ้าให้มองกันและกันเป็นเฉดสีหนึ่งเฉด คุณจะมองอีกคนเป็นสีอะไร
อิคุระนิ่งคิดก่อนจะตอบว่า ‘สีดำ’
“สีดำค่ะ เหมือนจะดูน่ากลัวใช่มั้ยคะ แต่สีดำสำหรับฉันคือความแข็งแกร่ง มั่นคง และไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด แล้วคุณอายาเสะเขาก็เป็นแบบนั้นค่ะ เขาเป็นคนที่มีแกนกลางมั่นคงมาก ๆ และไม่หวั่นไหวกับอะไรง่าย ๆ ด้วย”
ส่วนอายาเสะตอบสั้น ๆ ว่าอันที่จริง เขามองว่าตัวเองเป็นสีขาว เช่นเดียวกับโยอะโซบิ ซึ่งเป็นสีขาวเช่นกัน แต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาที อายาเสะคนเดิมก็บอกว่า ไม่ล่ะ เขาว่าโยอะโซบิเป็นสีใสมากกว่า
สีใส ซึ่งเป็นสีสันเปิดพื้นที่ให้ใครต่อใครจินตนาการ ร่วมกันแต่งแต้มได้โดยไร้ขีดจำกัด ทุกคนสามารถมองโยอะโซบิได้หลากหลายแง่มุม ไม่มีถูก ไม่มีผิด เพราะสุดท้ายแล้วโยอะโซบิก็พร้อมอยู่เคียงข้างทุกคนอยู่เสมอ
หากให้เขียนจดหมายของตัวเองก่อนจะจากโลกนี้ไป คุณอยากจะเขียนอะไรทิ้งไว้ถึงคนที่เหลือมั้ย - เราถาม “ผมว่าถึงเวลานั้นผมคงไม่คิดอะไรครับ” อายาเสะตอบ เพราะเขามองว่าสุดท้ายแล้ว เขาก็จากโลกนี้ไปอยู่ดี ไม่มีวันรับรู้ว่าคนที่เหลือจะมองหรือรู้สึกอย่างไร
“มันเป็นโลกที่ไม่มีผมแล้วครับ ผมว่าเวลานั้นคงไม่มีอะไรอยากจะฝากฝัง แต่ถ้าตอบแบบเท่ ๆ เลยนะ ผมว่าผมไม่เคยรู้สึกเสียใจหรือเสียดายชีวิตที่ผ่านมาของผมเลยแม้แต่วินาทีเดียว”
ไม่มีอะไรเสียใจ คือ สิ่งที่อายาเสะเน้นย้ำมาโดยตลอด และเขายังคงยืนยันเช่นนั้นจนจบบทสนทนา “ผมไม่เสียใจอะไรเลยครับ เพราะทำทุกอย่างมาเต็มที่แล้ว”
หลังจากอิคุระพิจารณาว่าอยากจะเขียนอะไรเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนจากโลกนี้ไป เธอค่อย ๆ กลั่นกรองออกมา และตอบออกมาด้วยความอ่อนโยน จดหมายของเธอจึงมีหน้าตาอ่อนหวาน ไม่ต่างจากเสียงใสกังวาลเข้ามาโอบกอดผู้ฟังทั่วโลกอย่างอบอุ่นใจ
“ฉันได้มอบความรักอย่างเต็มที่ให้กับคนที่ฉันห่วงใย และใช้ชีวิตอย่างดีที่สุดในฐานะ ริระ อิคุตะ”