20 พ.ย. 2561 | 15:35 น.
ถ้าพูดถึงตำนานนักฟุตบอลแห่งวงการลูกหนังอิตาลี หลายคนอาจจะนึกถึงนักเตะอย่าง โรแบร์โต้ บาจโจ้, เปาโล มัลดินี หรือ ฟรันโก บาเรซี แต่ถ้าฮีโร่ที่พาอิตาลีเป็นแชมป์โลกสมัยที่สี่ และเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของยูเวนตุส อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ คือชายที่เรากำลังจะพูดถึง อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ (Alessandro Del Piero) เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 ที่เมืองโกเนลยาโน่ ประเทศอิตาลี ในวัยเด็กเขามักจะถูกเรียกในชื่อ “อาเล่” เดล ปิเอโร่ ก็เหมือนกับเด็กทั่วไปที่ล้วนแต่มีความฝันอยากจะเล่นฟุตบอลให้กับยอดทีมดัง ๆ ของประเทศ จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของเขาเกิดขึ้นเมื่อได้เห็นอิตาลีชนะฟุตบอลโลกเมื่อปี 1982 “ในปีที่อิตาลีได้แชมป์โลก (1982) ผู้คนต่างออกมาเฉลิมฉลอง ผมเองที่ยังไม่รู้ประสีประสาก็ดีใจไปด้วย การที่ได้เห็นฮีโร่ในวัยเด็กของผม อย่าง มาร์โก ทาร์เดลลี่, เปาโล รอสซี่ ลงเล่น กลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ผมอยากพาตัวเองไปถึงยังจุดนั้นบ้าง”
ครอบครัวมีส่วนสำคัญในอาชีพค้าแข้งของเดล ปิเอโร่ เป็นอย่างมาก พ่อของเขาซึ่งเป็นช่างไฟ มักจะหาเวลาไปรับส่งลูกชายทั้งสองเพื่อซ้อมฟุตบอลอยู่เสมอ (พี่ชายของเดล ปิเอโร่ ก็เป็นนักฟุตบอลเช่นกัน) เช่นเดียวกับแม่ของเขาที่คอยสนับสนุนเสมอมา เดล ปิเอโร่ เริ่มต้นเล่นฟุตบอลในตำแหน่งผู้รักษาประตูเพราะคำสั่งของแม่ โดยเธอให้เหตุผลว่ากลัวลูกชายของเธอเจ็บและเหนื่อย ซึ่ง เดล ปิเอโร่ เคยพูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “แม่ของผมอยากให้ผมเป็นผู้รักษาประตู ผมก็ทำได้แค่เพียงเล่นตามคำสั่ง แต่ตัวผมรู้ว่ามันไม่ใช่ตัวผมเลย ผมชอบที่จะเล่นเกมรุก จ่ายบอลไปให้เพื่อนหรือทำประตู” เดล ปิเอโร่ เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับซาน เวนเดมิอาโน่ ก่อนเข้าสู่แคมป์นักเตะเยาวชนของปาโดวา ในวัยเพียง 13 ปี แต่ด้วยรูปร่างที่เล็กของเขา ก็มักจะโดนทั้งเพื่อนและเหล่าแมวมองสบประมาทว่าไม่มีทางประสบความสำเร็จได้หรอก “แกมันทั้งผอมและบางเกินไป ไม่มีทางประสบความสำเร็จได้หรอก !” เดล ปิเอโร่ ก้าวข้ามคำพูดดูถูกเหล่านั้น และเริ่มฉายแววยอดแข้งอัจฉริยะกับทีมเยาวชนของปาโดวา เขามีทั้งความเร็ว ความคล่อง แถมจบสกอร์ดี จนผลงานไปเข้าตาแมวมองของ ยูเวนตุส ยอดทีมแห่งศึก กัลโช่ เซเรีย อา เและต่อมาถูกดึงไปร่วมทัพด้วยค่าตัว 2.8 ล้านยูโร เมื่อปี 1993 ซึ่งนี่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานบทใหม่แห่งเบียงโคเนรี่
ในวัย 19 ปี เดล ปิเอโร่ เริ่มต้นด้วยการเล่นกับทีมเยาวชนของยูเว่ ก่อนมีโอกาสประเดิมลงสนามนัดแรกให้กับทีมชุดใหญ่ในการพบกับฟอกเจีย แม้จะทำประตูไม่ได้ แต่แฟนบอลต่างพากันจับจ้องดาวดวงใหม่คนนี้ เกมต่อมากับเรจจิน่า เดล ปิเอลโร่ ที่มีชื่อเป็นตัวสำรองมีโอกาสลงแทน ฟาบริซิโอ ราวาเนลลี และซัดประตูแรกของเขาได้สำเร็จ และไม่กี่วันต่อมาเขาก็โชว์ฟอร์มเทพ ทำแฮตทริกใส่ปาร์มาพาทีมเอาชนะขาดลอย นี่ถือเป็นการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของเดล ปิเอโร่ เดล ปิเอโร่ เดินหน้าโชว์ฟอร์มเกินเม็ดเงินที่ทีมจ่ายไป เขาพาทีมไล่ล่าแชมป์เป็นกอบเป็นกำทั้ง กัลโช่ เซเรีย อา, ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกส์ รวมถึงในนามทีมชาติอิตาลี ซึ่งเขาเป็นคนสำคัญที่พาอิตาลีทะยานสู่แชมป์ฟุตบอลโลกปี 2006 ตอนนั้นยอดทีมทั่วยุโรปล้วนอยากได้ตัวเขาไปร่วมทีมทั้ง เรอัล มาดริด, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยเฉพาะยอดกุนซืออย่าง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็อยากได้เดล ปิเอโร่ ไปปั่นเกมในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด "ในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เราพบกับยูเวนตุส เขาทำผมแทบคลั่ง เขาเล่นงานแผงหลังของเราซะน่วม กิ๊กซี่ (ไรอัน กิ๊กส์) และ แกรี่ (เนวิลล์) เข้ามาพูดกับผมว่า บอส คุณต้องซื้อตัวเขามาให้ได้ไม่ว่าจะอย่างไร เพราะเขาจะพาเราเป็นแชมป์ได้อีก 10 ปี เมื่อผมติดต่อไปขอซื้ออเลสซานโดร พวกเขาไม่พูดอะไรต่อเลย นอกจากตอบปฏิเสธลูกเดียว” เดล ปิเอโร่ ค้าแข้งอยู่กับยูเวนตุสถึง 19 ฤดูกาล และไม่มีทีมไหนสามารถคว้าลายเซ็นของเขาไปได้เลย เพราะตอนนี้ เดล ปิเอโร่ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของยูเวนตุสไปแล้ว
เดล ปิเอโร่ มีสไตล์การเล่นที่สวยงาม ทั้งเทคนิคการเลี้ยงบอลที่ดี การเปิดบอลที่แม่นยำ หรือทีเด็ดในลูกฟรีคิก และโดยเฉพาะการทำประตูจากฝั่งซ้ายของเขตโทษ อันเป็นเครื่องหมายทางการค้าของแข้งรายนี้ หรือที่เราเรียกกันว่า "เดอะเดลปิเอโร่ โซน" พื้นที่เล็กๆ ข้างซ้ายของกรอบเขตโทษคู่แข่ง มักจะเป็นพื้นมรณะเอาไว้เผด็จศึกของเดล ปิเอโร่ เรียกได้ว่าถ้าเขาง้างไกยิงเมื่อไหร่เป็นอันเข้าทุกลูก ส่วนใหญ่ประตูของเขามักจะมาจากพื้นที่ส่วนนั้นของสนาม โดยเฉพาะลูกยิงฝังเยอรมนี ในรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2006 กลายเป็นประตูแห่งความทรงจำที่ส่งอิตาลีก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ในท้ายที่สุด
เดล ปิเอโร่ ได้รับการยกย่องจากเพื่อนร่วมอาชีพ รวมถึงแฟนบอลมากมายในเรื่อง ‘หัวใจ’ ที่ยิ่งใหญ่ และความเป็นสุภาพบุรุษของเขา ย้อนกลับไปเมื่อฤดูกาล 2005-06 หลังพายูเวนตุสคว้าแชมป์ลีก รวมถึงได้แชมป์โลกที่เบอร์ลิน ดูเหมือนชีวิตของเดล ปิเอโร่ จะก้าวขึ้นไปอยู่บนยอดของภูเขาแล้ว แต่ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เขากลับต้องร่วงหล่นลงมา เมื่อรู้ว่าต้นสังกัดกำลังจะถูกริบแชมป์และตกชั้นไปเล่นในเซเรีย บี จากคดีล้มบอล นักเตะดาวดังของทีมหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, หรือรวมถึงกัปตันทีมชาติอิตาลีอย่าง ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ตัดสินใจทิ้งทีมเพื่อย้ายซบทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรปแทน เหลือเพียงแค่ จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน, พาเวล เนดเวด และตัวเดล ปิเอโร่ เอง ที่ต้องอยู่ช่วยทีมให้กลับมาสู่เซเรีย อา อีกครั้ง ซึ่งแฟนบอลต่างยกย่องความซื่อสัตย์ต่อทีมของเดล ปิเอโร่ จากเหตุการณ์ครั้งนี้ “สุภาพบุรุษที่แท้จริงจะไม่มีวันทิ้งผู้หญิงของเขาเมื่อลำบาก” เดล ปิเอโร่ ให้สัมภาษณ์หลังรู้ข่าวว่ายูเวนตุสต้องตกลงไปเล่นในเซเรีย บี ในฤดูกาลต่อมา เดล ปิเอโร่ รวมถึงทัพดาวรุ่งของทีมในตอนนั้นอย่าง จอร์จิโอ คิเอลลินี และ เคลาดิโอ มาร์คิซิโอ สามารถนำยูเวนตุสกลับสู่เซเรีย อา ได้สำเร็จ
ในนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2007-08 เดล ปิเอโร่ และ ดาวิด เทรเซเกต์ สองกองหน้าระดับยอดของทีม กำลังมีลุ้นคว้ารางวัลดาวซัลโวประจำฤดูกาลด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งก่อนเกมกับซามพ์โดเรียจะเริ่ม ทั้งสองต่างทำประตูได้เท่ากันพอดิบพอดี และในนาทีที่ 6 ของเกม เดล ปิเอโร่ ก็ช่วยให้ทีมได้ลูกจดโทษ ! เขามีโอกาสสังหารลูกดังกล่าวเพื่อก้าวไปคว้าดาวซัลโวเดี่ยว ๆ แต่สุดท้ายเดล ปิเอโร่ ตัดสินใจให้เทรเซเกต์เป็นคนยิงแทน ด้วยเหตุผลที่ว่าศูนย์หน้าเลือดฝรั่งเศสคือเพชฌฆาตเบอร์หนึ่งของทีม แต่ท้ายที่สุด เดล ปิเอโร่ ก็มาซัดอีกสองประตู และสามารถก้าวขึ้นไปคว้ารางวัลรองเท้าทองคำได้สำเร็จ แต่ผลจากการตกชั้น ทำให้ยูเว่ไม่สามารถคว้าแชมป์ได้เลยตลอด 4 ฤดูกาลหลัง ก่อนจะมาประสบความสำเร็จในปี 2011-12 และเดล ปิเอโร่ ก็ใช้โอกาสนี้อำลาทีมเพื่อหาความท้าทายใหม่ ๆ แฟนบอลต่างร่ำไห้เมื่อรู้ว่าฮีโร่ของพวกเขาคนนี้กำลังจะจากไป “จะไม่มีสีใดสว่างในใจผมได้มากกว่าสีขาวและดำอีกแล้ว” 705 คือตัวเลขที่เขาลงสนามให้กับยูเว่ 289 คือจำนวนประตูตลอดระยะเวลา 19 ฤดูกาลที่เขาค้าแข้งอยู่ในตูริน และตัวเลขดังกล่าวคือสถิติการทำประตูสูงสุดตลอดกาลของยูเวนตุส ที่ปัจจุบันก็ยังไม่มีผู้ใดลบมันได้ นี่คือสุภาพบุรุษตัวจริงแห่งวงการลูกหนังอิตาลี และตำนานเบียงโคเนรี่ “อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่”