‘ศศลักษณ์ ไหประโคน’ แข้งสู้ชีวิตจากความลำบาก-ผิดหวัง สู่นักเตะทีมชาติไทย

‘ศศลักษณ์ ไหประโคน’ แข้งสู้ชีวิตจากความลำบาก-ผิดหวัง สู่นักเตะทีมชาติไทย

นักเตะสไตล์สู้ สู้ และสู้ นักฟุตบอลไทยดีกรีแชมป์ลีกเกาหลีใต้ (แม้จะลงเล่นไปไม่กี่นาที) ‘ศศลักษณ์ ไหประโคน’ ผ่านมาตั้งแต่ชีวิตยากลำบากในวัยเด็ก ถึงวันที่ต้องสู้เพื่อให้ได้เล่นฟุตบอลอาชีพ ในวันที่ได้เป็นแชมป์ เขาก็ยังต้องสู้

  • ศศลักษณ์ ไหประโคน นักฟุตบอลชาวไทยดีกรีทีมชาติ และแชมป์เคลีกเกาหลีใต้ เติบโตท่ามกลางความยากลำบากและความผิดหวัง แต่เขาไม่ยอมแพ้ ยังเดินตามเส้นทางที่ฝัน
  • ศศลักษณ์ ฝ่าฟันความยากลำบากจนได้เป็นนักเตะในสโมสรดัง ติดทีมชาติ และไปค้าแข้งในต่างแดนร่วมกับทีมแชมป์เคลีก ถึงจะประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง แต่ในสนาม เขายังคงต้องสู้ต่อไป

เมื่อไม่นานมานี้ชื่อของ ‘ศศลักษณ์ ไหประโคน’ นักฟุตบอลทีมชาติไทย สังกัดสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กลายเป็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในโลกโซเชียลมีเดียของประเทศเกาหลีใต้และไทย สิ่งที่ถูกกล่าวถึงนั้นกลับไม่ใช่เรื่องราวในสนามฟุตบอล แต่เป็นเรื่องของการถูกเหยียดสีผิวและเชื้อชาติเมื่อ ‘ปาร์ค ยองวู’ และ ‘อี คยูซอง’ สองนักฟุตบอลเกาหลีใต้ของสโมสรอุลซาน ฮุนได ได้โพสต์ข้อความถึง ‘อี มยองแจ’ เพื่อนร่วมทีมในเชิงล้อเลียน ‘ศศลักษณ์’ และ ‘โควตาอาเซียน’

เรื่องดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับสังคมโซเชียลมีเดียของเกาหลีใต้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นแฟนคลับของสโมสรชุนบุค ฮุนได มอเตอร์ อดีตต้นสังกัดของศศลักษณ์ ไหประโคน รวมทั้งแฟนฟุตบอลชาวไทยด้วยเช่นกัน ที่มองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการไม่ให้เกียรตินักฟุตบอลทีมชาติไทยรายนี้ อีกทั้งบริบทของสังคมในปัจจุบันก็ไม่สนับสนุนการกระทำในลักษณะดังกล่าว โดยเฉพาะกับนักกีฬาที่ควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เยาวชนและคนในสังคม

สำหรับ ‘ศศลักษณ์ ไหประโคน’ นักฟุตบอลทีมชาติไทยที่ถูกพาดพิงถึงนั้นเขาคือใคร และมีเส้นทางชีวิตทั้งในและนอกสนามเป็นอย่างไร ตลอดเวลาที่ผ่านมา นักฟุตบอลทีมชาติไทยรายนี้ต้องต่อสู้กับอะไรมาบ้าง พบกับเรื่องราวของเจ้าตัวได้ในบทความนี้ครับ

ชีวิตที่มีแต่ฟุตบอลและความยากลำบากเป็นแรงผลักดัน

ในวัยเด็กของ ‘ศศลักษณ์ ไหประโคน’ นั้น เจ้าตัวเกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างยากลำบาก แต่ศศลักษณ์ ก็มีเกมลูกหนังที่คอยเป็นเพื่อนและสร้างความสุขให้กับชีวิต ในทุกวันหลังเลิกเรียนและช่วงของวันหยุด เจ้าตัวจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่นฟุตบอลร่วมกับเพื่อนและรุ่นพี่ภายในหมู่บ้านตั้งแต่เย็นจนพลบค่ำ โดยในช่วงแรกนั้นครอบครัวของเจ้าตัวก็ไม่ได้ให้การสนับสนุนมากนักเพราะแท้จริงแล้วครอบครัวนั้นอยากให้ศศลักษณ์ มุ่งไปกับการเรียนหนังสือมากกว่า เพราะเชื่อว่าการศึกษาที่ดีจะช่วยให้หยุดพ้นจากความยากลำบากได้

แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ศศลักษณ์ ได้พิสูจน์ให้คนรอบข้างเห็นแล้วว่า ความรักและความสนใจในเกมลูกหนังของเจ้าตัวไม่ใช่แค่การเล่นเพื่อความสนุกสนานไปวัน ๆ แต่มันคือความตั้งใจที่จะเอาดีทางด้านนี้อย่างจริงจัง นักฟุตบอลอาชีพคือความใฝ่ฝันสูงสุดของเด็กชายที่ชื่อ ศศลักษณ์ ไหประโคน

ศศลักษณ์ เริ่มต้นหนทางแห่งความฝันด้วยการไปคัดตัวเป็นนักฟุตบอลของโรงเรียนประโคนชัย แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อไม่สามารถฝ่าด่านสำคัญเพื่อติดโควต้านักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียนได้ แต่อย่างไรก็ดี ในท้ายที่สุดเขาก็สามารถสอบเข้าโรงเรียนดังกล่าวได้สำเร็จ และแม้ว่าจะไม่ได้เข้าไปเรียนในฐานะโควตานักกีฬาแต่ศศลักษณ์ ก็ยังคงตั้งใจเล่นฟุตบอลและหมั่นฝึกฝนทักษะของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ

ศศลักษณ์ ยังคงไม่ละทิ้งความฝันในการเล่นฟุตบอล พยายามมาคัดตัวเป็นนักกีฬาของโรงเรียนที่มีชื่อเสียงเชิงลูกหนังที่เมืองกรุงอีกครั้งหลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น แต่ก็ยังต้องพบแต่ความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าจนเจ้าตัวเกือบจะละทิ้งความฝันไปแล้ว ซึ่งสาเหตุหนึ่งก็มาจากรูปร่างที่เล็กและผอมบางของศศลักษณ์ ที่เป็นอุปสรรคสำคัญ แต่ในท้ายที่สุดความพยายามของเจ้าตัวก็ส่งผลเมื่อโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ภายใต้การดูแลของอาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ ได้ให้โอกาสครั้งสำคัญกับศศลักษณ์

 

โดดเด่นในเรื่องฟุตซอลจนเตะตาชลบุรี บลูเวฟ

เมื่อ ศศลักษณ์ ไหประโคน ก้าวเข้ามาสู่รั้วโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรีได้แล้ว เจ้าตัวกลับประสบความสำเร็จในกีฬาฟุตซอลมากกว่าฟุตบอลจนถึงขนาดได้เป็นกัปตันทีมของโรงเรียนและสามารถพาโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรีคว้าแชมป์ฟุตซอล สพฐ.ลีก ได้ 3 สมัยติดต่อกันรวมทั้งประสบความสำเร็จในการแข่งขันฟุตซอลรายการต่าง ๆ อีกมากมาย และด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นและยอดเยี่ยมก็ทำให้สโมสรชลบุรี บลูเวฟ ยอดสโมสรฟุตซอลของไทยที่มีดีกรีเป็นถึงอดีตแชมป์สโมสรเอเชียตัดสินใจมอบสัญญาการเป็นนักฟุตซอลอาชีพให้กับเจ้าตัว

อย่างไรก็ดี ศศลักษณ์ ไหประโคน ตัดสินใจปฏิเสธโอกาสครั้งสำคัญดังกล่าวเพราะว่าเจ้าตัวนั้นมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเอาดีในการเล่นฟุตบอลมากกว่า ถึงแม้ว่าศศลักษณ์ จะได้รับการคาดการณ์ว่าหากเลือกลงสนามโต๊ะเล็กให้กับสโมสรชลบุรี บลูเวฟ ก็มีโอกาสที่ศศลักษณ์ จะสามารถไต่เต้าไปถึงการเป็นนักฟุตซอลทีมชาติไทยได้ในอนาคตอย่างแน่นอน

แต่กับการเป็นนักฟุตบอลอาชีพนั้นก็ไม่มีอะไรมาการันตีได้ว่าศศลักษณ์ จะมีโอกาสประสบความสำเร็จ แต่เมื่อมองถึงปัจจัยต่าง ๆ รอบด้านแล้วก็ต้องยอมรับว่าการเป็นนักฟุตบอลอาชีพนั้นสามารถสร้างรายได้ และมีโอกาสในการขยับขยายมากกว่าการเป็นนักฟุตซอลอาชีพ ประกอบกับในช่วงเวลาเดียวกันนั้น สโมสรทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ก็ให้ความสนใจที่จะเซ็นสัญญานักฟุตบอลอาชีพกับเจ้าตัวเช่นกันหลังจากที่ศศลักษณ์สามารถทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในการลงเล่นฟุตบอลรายการเยาวชนโค้กคัพให้กับทีม และนั่นจึงทำให้เจ้าตัวเลือกที่จะเป็นหนึ่งในขุนพลแข้งเทพ ลุยศึกฟุตบอลไทยลีกในฤดูกาล 2014 ภายใต้การคุมทีมของ ‘โค้ชวัง’ ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล

 

ความยากลำบากกับแข้งเทพ

การก้าวขึ้นมาสู่เวทีไทยลีกของ ศศลักษณ์ ไหประโคน ด้วยวัย 18 ปี ถือว่าไม่ใช่งานง่ายเพราะสโมสรทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด เป็นสโมสรใหญ่และมีนักเตะชื่อดังในทีมมากมาย อีกทั้งความคาดหวังก็สูงตามขนาดของทีม และแน่นอนว่าศศลักษณ์ นั้นไม่อาจสอดแทรกขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีมได้โดยในฤดูกาลแรกเจ้าตัวมีโอกาสลงไปสัมผัสเกมในสนามเพียงแค่ 9 นาทีเท่านั้น ในเกมกับสโมสรเชียงราย ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2014

จากนั้นในอีก 2 ฤดูกาล เจ้าตัวก็ลงสนามให้สโมสรทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ไปเพียงฤดูกาลละ 6 นัดเท่านั้นโดยสามารถทำได้ 1 ประตูในเกมไทยลีกเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2016 ที่สโมสรต้นสังกัดเปิดบ้านเอาชนะสโมสรบีอีซี เทโรศาสนไป 3-0 และนั่นก็คือประตูเดียวที่เจ้าตัวทำได้ตลอดการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของสโมสรทรู แบงค็อก ยูไนเต็ดกว่า 3 ฤดูกาลครึ่ง

ซึ่งถึงแม้ว่าศศลักษณ์ จะไม่ประสบความสำเร็จกับสโมสร แต่สิ่งหนึ่งที่เจ้าตัวได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากนั่นก็คือความมีระเบียบวินัย ความมุ่งมั่นและอดทนที่จะทำงานหนักทั้งในสนามซ้อมและสนามแข่งขัน ศศลักษณ์ไม่เคยบ่นเมื่อถูกสั่งให้ทำอะไร กลับกันเจ้าตัวตั้งใจทำทุกอย่างแบบเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกครั้ง และเพื่อมีโอกาสได้ลงสนามแม้เพียงมันจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่มากนัก ศศลักษณ์ ไหประโคน ก็ทุ่มเทอย่างเต็มที่เสมือนว่านี่คือโอกาสสุดท้ายของตัวเอง

 

เริ่มต้นใหม่กับสโมสรบ้านเกิด พร้อมกับการติดทีมชาติไทย

ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังของศึกการแข่งขันฟุตบอลไทยลีกฤดูกาล 2017 ศศลักษณ์ ไหประโคน ได้ย้ายไปสังกัดสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นสโมสรในจังหวัดบ้านเกิดของเจ้าตัว โดยเหตุผลหลักเลยก็คือความต้องการที่จะได้รับโอกาสในการลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวก็ถือได้ว่าถูกต้อง เพราะศศลักษณ์ สามารถทำผลงานได้ดีมีโอกาสลงสนามไปถึง 9 นัดระยะเวลารวมกว่า 740 นาที ซึ่งเป็นจำนวนระยะเวลาการลงสนามที่มากกว่าตลอด 3 ฤดูกาลครึ่งในถิ่นทรูสเตเดียมเสียอีก นอกจากนี้ เจ้าตัวก็มีส่วนร่วมในการเป็นแชมป์ไทยลีกของทีม

จากนั้นโอกาสครั้งสำคัญในชีวิตของศศลักษณ์ ก็มาถึง เมื่อมีชื่อเป็นหนึ่งในขุนพลทีมชาติไทยชุดคว้าเหรียญทองฟุตบอลซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ปี 2017 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย จากนั้นในฤดูกาล 2018 ศศลักษณ์ ไหประโคน ได้กลายเป็นผู้เล่นหลักของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้รับโอกาสในการลงสนามอย่างต่อเนื่องทั้งในศึกไทยลีกและเอเอฟซี แชมเปียน ลีก โดยเฉพาะในรายการชิงแชมป์สโมสรเอเชียนั้น เจ้าตัวสามารถสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นจนเป็นส่วนสำคัญในการพาทีมต้นสังกัดผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ได้สำเร็จ

โดยในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่พบกับสโมสรชุนบุค ฮุนได มอเตอร์ จากเกาหลีใต้นั้น ศศลักษณ์ ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นทั้ง 2 นัดที่พบกัน และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทีมจากเคลีกให้ความสนใจและจับตามองเจ้าตัว ขณะที่ในศึกไทยลีก ศศลักษณ์ ก็สามารถคว้าแชมป์ร่วมกับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้สำเร็จ

การที่ศศลักษณ์ สามารถทำผลงานได้ดีกับต้นสังกัดในฤดูกาลดังกล่าวทำให้มีชื่อติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ในยุคของมิโลวาน ราเยวัช โดยติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในการแข่งขันฟุตบอลนัดกระชับมิตร FIFA International A Match กับทีมชาติจีน เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2018 จากนั้น ศศลักษณ์ มีชื่อเป็นหนึ่งในขุนพลทีมชาติไทยชุดลงทำการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนหรือเอเอฟเอฟ แชมเปียนชิพที่มีชื่อตามผู้สนับสนุนว่าเอเอฟเอ ซูซูกิ คัพ ในปีเดียวกัน และก็ตกรอบรองชนะเลิศ

จากนั้นในช่วง 2019-2021 ศศลักษณ์ ไหประโคน ยังคงเป็นกำลังสำคัญของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดและทีมชาติไทยในการแข่งขันทุกระดับ เจ้าตัวมีพัฒนาการและประสบการณ์ที่ดีขึ้นเป็นลำดับ

 

ชีวิตไม่เคยง่าย นักเตะไทยรายที่ 2 ในศึกเคลีก และแชมป์อาเซียนกับทีมชาติชุดใหญ่

ฤดูกาล 2021 ศศลักษณ์ ไหประโคน ได้มีโอกาสไปเปิดประสบการณ์ใหม่ในศึกเคลีก 1 ณ ประเทศเกาหลีใต้ กับสโมสรชุนบุค ฮุนได มอเตอร์ ด้วยสัญญายืมตัวระยะเวลา 6 เดือน โดยเจ้าตัวนับว่าเป็นนักเตะไทยคนที่ 2 ต่อจาก ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ที่เคยไปค้าแข้งกับสโมสรลักกี้ โกลด์สตาร์ มาแล้วในช่วงยุค 80s

โดยผลงานของศศลักษณ์ กับยอดทีมของเกาหลีใต้นั้น ทำได้ไม่สมบูรณ์นัก เมื่อมีโอกาสลงสนามในศึกเคลีกไปเพียง 2 นัด ระยะเวลารวมแค่ 11 นาทีเท่านั้น โดยการลงสนามนัดแรกอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2021 ศศลักษณ์ ถูกเปลี่ยนตัวลงสนามในเกมพบกับสโมสรแดกู เอฟซี ในนาทีสุดท้าย ก่อนที่นัดต่อมาลงเล่นในเกมกับสโมสรกวางจู เอฟซี เจ้าตัวมีโอกาสลงสนามทั้งสิ้น 10 นาที ก่อนจะมีชื่อเป็นตัวสำรองอีก 3 นัดในเกมลีกที่สโมสรชุนบุค ฮุนได มอเตอร์ จะต้องพบกับสโมสรซูวอน เอฟซี, เอฟซี โซล และอินชอน ยูไนเต็ด ในท้ายที่สุดก็ไม่ได้รับโอกาสลงไปวาดลวดลายในสนามอีก 

อย่างไรก็ดี เมื่อจบฤดูกาลของการแข่งขันฟุตบอลเคลีก 1 ของประเทศเกาหลีใต้ ศศลักษณ์ ไหประโคน ถูกจารึกชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรในการคว้าแชมป์ฟุตบอลเคลีกในฤดูกาลดังกล่าว

ขณะที่ในศึกเอเอฟซี แชมเปียน ลีก ศศลักษณ์ มีโอกาสลงสนามในเกมที่สโมสรชุนบุค ฮุนได มอเตอร์ พบกับสโมสรบีจี ปทุม ยูไนต็ด จากประเทศไทย โดยลงสนามไปทั้งหมด 81 นาที แต่ก็ถือได้กว่าเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญกับเจ้าตัว เพราะศศลักษณ์ ได้มีโอกาสไปเรียนรู้และเสริมประสบการณ์ด้านฟุตบอลในลีกที่เป็นอันดับต้น ๆ ของทวีปเอเชีย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเกิดขึ้นกับนักฟุตบอลไทย

แม้ว่าศศลักษณ์ ไหประโคน จะต้องพบกับความผิดหวังในการไปเล่นฟุตบอลเคลีก แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ละทิ้งความมุ่งมั่นและพยายาม ศศลักษณ์ มุ่งมั่นฝึกซ้อมเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ของตนเอง เจ้าตัวทุ่มเทการเล่นให้กับสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จนผลงานเป็นที่ยอมรับจนล่าสุดในศึกการแข่งขันเอเอฟเอฟ แชมเปียนชิพ 2022 ศศลักษณ์ ไหประโคน ก็เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของทีมชาติไทยที่สามารถโค่นทีมชาติเวียดนาม คว้าแชมป์มาครองได้เป็นสมัยที่ 7 นับเป็นการคว้าแชมป์รายการหลักรายการแรกกับทีมชาติไทยชุดใหญ่ ซึ่งกว่าที่เจ้าตัวจะประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ก็ต้องผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มามากมาย สำหรับชายที่ชื่อ ศศลักษณ์ ไหประโคน แล้วไม่มีอะไรได้มาโดยง่าย ดังที่เขาโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า

“ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราต้องผ่านอะไรมาบ้าง กว่าจะมาถึงวันนี้ต้องเจอคำวิจารณ์หรืออะไรมากมาย แต่ผมไม่เคยโฟกัสกับพวกคนเหล่านั้นเลย เพราะผมรู้ว่ายังมีคนที่รักและคนที่รอผมอีกมาก มีแค่พวกเค้าเท่านั้นที่รู้ว่าผมต้องสู้กับอะไรบ้าง และพวกเค้าภูมิใจในตัวผมเสมอ ผมก็ภูมิใจตัวเองเสมอ ผมไม่เคยบอกเลยสักครั้งว่าผมเก่ง ผมภูมิใจที่ผมสู้จนมาถึงทุกวันนี้ได้ แค่นี้ผมก็ขอบคุณตัวเองและคนที่รักผมมากพอแล้วที่คอยอยู่ข้างผมเสมอ แค่นี้พอ” 

ปัจจุบัน ศศลักษณ์ ไหประโคน ยังคงเป็นผู้เล่นคนสำคัญของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และมีส่วนร่วมในการคว้า 3 แชมป์ในฤดูกาลล่าสุดกับสโมสร เจ้าตัวยังคงมุ่งมั่นทำงานหนักทั้งในและนอกสนาม เพื่อรอคอยโอกาสครั้งสำคัญต่อไป และเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า “ความพยายาม อดทน มุ่งมั่น และทำงานเต็มที่” เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้คนเราประสบความสำเร็จในเส้นทางที่เลือกเดินได้

ครับ และนี่คือเรื่องราวของนักฟุตบอลที่ได้รับความสนใจอยู่ขณะนี้ ... ศศลักษณ์ ไหประโคน

 

เรื่อง: ธิษณา ธนคลัง (เต้นคุง)

ภาพ: แฟ้มภาพ Getty Images