21 เม.ย. 2567 | 22:25 น.
KEY
POINTS
“Every winner was once a beginner” นี่คือประโยคปลุกใจไฟฝัน ที่เขียนไว้บนกำแพงยิมของสโมสรแมนฯยูไนเต็ด กำแพงที่นักเตะเยาวชนปีศาจแดงทุกคนต้องเคยเดินผ่าน เวลามาเสริมสร้างร่างกายให้มีความแข็งแรง ตรงกำแพงจุดนี้เป็นจุดที่เจ้าหนู ‘ค็อบบี ไมนู’ มักจะหยุดมอง หยุดการเคลื่อนไหวของร่างกาย นิ่ง... แล้วคิดพิจารณาคำพูดประโยคนี้อยู่บ่อยครั้ง
โดยภายใต้ประโยคปลุกใจ “ผู้ชนะทุกคนล้วนเคยเป็นมือใหม่มาก่อน” ที่ต้องเห็นแทบทุกวันนั้น จะมีภาพใบหน้าของความภูมิใจของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างเซอร์บ็อบบี้ ชาร์ลตัน, พอล สโคลส์, เดวิด เบ็คแฮม และมาร์คัส แรชฟอร์ด ติดอยู่บนทางเดินสู่ยิม
พฤติกรรมของไมนู ที่ทำอย่างนี้ ได้รับการเปิดเผยมาจาก ‘ทราวิส บินนิโอ’ โค้ชแมนฯยูไนเต็ดชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี ที่ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เขามีโอกาสได้ใกล้ชิด เฝ้าดู ติดตามและคลุกคลีอยู่กับค็อบบี ไมนู กองกลางเพชรเม็ดงามเม็ดใหม่ของสโมสร เพชรที่เปล่งประกายออกมาในฤดูกาลที่ไม่ดีนัก สำหรับต้นสังกัดแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
จนถึงวินาทีนี้ ใครที่เป็นสาวกเรดเดวิลส์ที่ติดตามผลงานของทีมรัก คงไม่มีใครไม่รู้จัก เจ้าหนู ค็อบบี ไมนู เพราะนี่คือฤดูกาลที่กองกลางพลังไดนาโมคนนี้ ได้แปลงกายเป็น ‘ร่างทอง’ แจ้งเกิดอย่างภาคภูมิพร้อมกับผลงานส่วนตัวอันโดดเด่น ซึ่งแม้จะดูส่วนทางกับผลงานโดยรวมของแมนฯยูไนเต็ดสักเล็กน้อย ที่ตอนนี้แทบจะหมดลุ้นไปยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกแล้ว (ขณะที่เหลือโปรแกรมอีก 6 นัดสุดท้าย แต่แมนฯยูไนเต็ด ยังมีคะแนนตามหลังพื้นที่ถ้วยบิ๊กเอียร์ถึง 13 คะแนน)
ในตอนแรก สื่อมวลชนสายฟุตบอลในอังกฤษ คิดกันว่า ค็อบบี ไมนู ถูกประเมินว่าจะเข้ามาเป็นอะไหล่สำรองให้กับบรรดารุ่นพี่กองกลางในทีมอย่าง คาเซมิโร่, โซฟียาน อัมราบัต, สกอตต์ แม็คทอมมิเนย์, คริสเตียน เอริคเซ่น, แต่พอ ค็อบบี ไมนู ได้โอกาสลง จากความไว้เนื้อเชื่อใจของ ‘เอริค เทน ฮาก’ ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2023 ช่วงเวลานั้น เจ้าหนูวัย 18 ปี ที่เคยถูกมองว่า จะเป็น ‘อนาคต’ อันสดใสให้กับถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด แต่พอเอาจริง ๆ เข้าแล้ว ณ เข็มฬิกาเดินถึงตรงจุดนี้ คงต้องบอกว่า เขาไม่ใช่ ตัวความหวังแห่งอนาคตอีกแล้ว แต่เขาคือ ‘ปัจจุบัน’
ค็อบบี ไมนู ซึ่งตอนนี้ เขาคือวัยรุ่นที่เพิ่งเข้าสู่วัย 19 ปีมาเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2024 ที่ผ่านมานี่เอง เขามีช่วงเวลาปีที่ 18 ในชีวิตที่น่าประทับใจและน่าเก็บไว้ในความทรงจำเหลือเกิน เพราะช่วงวัย 18 ปีของเขา ถือเป็นปีแห่งการแจ้งเกิด - ปีแห่งจุดเริ่มต้นของการชื่อเสียง ซึ่งแฟน ๆ แมนฯยูไนเต็ดจะได้ยลฝีเท้าของเขามากขึ้น จากการค่อย ๆ ได้รับโอกาสทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งตอนนี้ไมนูได้กลายเป็นแกนกลางคนสำคัญในแดนมิดฟิลด์ของแมนฯยูไนเต็ด ในยุคของเอริค เทน ฮาก ไปแล้ว
แต่ต่อให้มีชื่อเสียงอย่างไร ค็อบบี ไมนู ก็ยังคงมีบุคลิกเคร่งครึม ปิดปากเงียบ และพูดเท่าที่จำเป็นเหมือนที่เคยเป็นมา ภายใต้ใบหน้าแห่งความเงียบขรึม แต่แววตาของเขายังมีความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม
หากจะมองที่สปอร์ตไลท์ในตัวของไมนู ณ ปัจจุบันแล้ว มันคงต้องย้อนกลับไปดูเส้นทางการฝ่าฟันของเขาในช่วงที่เป็นเด็กน้อยแล้วค่อย ๆ เติบใหญ่มาเป็นวัยรุ่นด้วย
สำหรับไมนูนั้นมีเชื้อสายกาน่า โดยคุณพ่อและคุณแม่ของเขาเป็นชาวกาน่า ที่อพยพย้ายถิ่นฐานมาจากทวีปแอฟริกา แล้วมาอยู่ในสต็อกพอร์ท เมืองที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของใจกลางเมืองแมนเชสเตอร์ ห่างไปไม่กี่กิโลเมตร
แน่นอนว่า เมื่อเติบโตมาใกล้ ๆ เมืองแมนเชสเตอร์ หากจะเลือกเดินเกมชีวิตเป็นนักฟุตบอลแล้ว มันก็มีให้เลือกแค่ สีฟ้าของซิตี้ หรือ สีแดงของยูไนเต็ด และเมื่อวันเวลาเดินมาจนถึงวันที่ต้องตัดสินใจ วันที่ต้องเลือก ไมนูได้ขอ ‘ลงใจ’ กับระบบทีมเยาวชนของผีแดง - แมนฯยูไนเต็ด
ในช่วงที่เขาอยู่ในอคาเดมี่ของแมนฯยูไนเต็ด สตาร์ตตั้งแต่ไมนูอายุ 9 ขวบ ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ เขาสงบและคิดถึงสิ่งรอบตัวตลอดเวลา เขาพัฒนาสิ่งเหล่านี้ตลอด แต่ค็อบบี ไมนูเองก็ไม่ได้ป่าวประกาศให้ใครรู้ เขาเป็นคนเงียบ ๆ สุขุม และเก็บตัว
แต่ทุกอย่างจะแตกต่างออกไปเมื่อเวลาที่เขาอยู่ในสนาม เหมือนเขากลายเป็นเด็กหนุ่มอีกคนที่มาพร้อมกับแววตาอันเป็นประกาย ที่พร้อมจะขับเคลื่อนแดนกลางให้กับทีม พร้อมจะเล่นทั้งรุกและรับ วิ่งขึ้นลงแบบ Box to box แบบไม่มีหมด เพื่อให้ทีมของเขาได้ประโยชน์สูงสุดจากการที่มีเขาอยู่ในสนาม
ในห้วงเวลาแห่งการเป็นนักเตะเยาวชน ภายใต้ยูนิฟอร์มสีแดง ค็อบบี ไมนูนั้นเปล่งประกายฉายแววความเป็นเลิศของฝีเท้าเกินอายุ ในแบบเดียวกับที่รุ่นพี่ในทีมเยาวชนสโมสรผีแดงอย่าง ‘เมสัน กรีนวู้ด’ กับ ‘อเลฮานโดร การ์นาโช่’ เคยทำได้ กล่าวคือนักเตะในชื่อเหล่านี้จะถูกผลักดันไปเล่นในรุ่นอายุที่มากกว่าตัวเองเสมอ หรือเรียกกันอย่างเข้าใจง่าย ๆ ว่า ไมนูต้องเล่นแบบ ‘แบกอายุเล่น’ เสมอมา เช่น เมื่อพวกเขาอายุ 13 ปี พวกเขาขยับไปเล่นทีม U-16 พวกเขาอายุ 16 ถูกขยับขึ้นไปเล่น U-18 อะไรทำนองนี้เป็นต้น
แต่ก็ใช่ว่า ชีวิตของไมนู จะเดินทางสะดวก มีเส้นทางโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เพราะ เมื่อครั้นที่เด็กอายุ 16 ปี ถูกจับโยนไปใส่ทีมชุด U-21 มันยากมากที่จะแสดงอะไรออกมา รุ่นอายุที่แตกต่าง มันแทบไม่ต่างอะไรกับการโยนคนว่ายน้ำได้แบบงู ๆ ปลา ๆ ประคองตัวได้ แต่ให้ไปแข่งกับนักว่ายน้ำระดับมหาวิทยาลัย
ในส่วนประเด็นด้านกายภาพ ร่างกายที่ยังไม่เติบโต และประสบการณ์ที่ยังไม่เทียบเท่า วันนั้นในอดีต ไมนูเสียทรงเล็กน้อย เขาถือว่ายังสอบไม่ผ่าน จนทีมต้องส่งเขากลับมาลงเล่นในรุ่น U-16 และ U-18 อีกครั้ง แน่นอนว่าใครหลายคนอาจจะมองว่าเป็นการ ก้าวเดินถอยหลัง อย่างไรก็ตาม การถอยหลังครั้งนี้ เหมือนด่านทดสอบจิตใจ เด็กที่ถูกมองว่าเก่ง มีของ และมหัศจรรย์ สร้างความผิดพลาด และได้รับการพูดถึง เขาจะรับมือกับมันยังไงต่อไป ?
และวันนี้ เขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ด่านทดสอบจิตใจ และความผิดหวัง ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ เขายังคงก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป พัฒนาทักษะของตัวเองในแต่ละองค์ประกอบให้ดี คำว่า ‘ถอดใจ’ คงไม่มีอยู่ในหัวสมองของเด็กหนุ่มที่กำลังห้าวและสดคนนี้ เขาค่อย ๆ ก้าวพัฒนาอย่างมั่นคง
ไมนูกลับไปทบทวน เรียนรู้และยกระดับขีดจำกัดของตัวเองใหม่ สร้างมาตรฐานที่นิวไฮของตัวเองไปเรื่อย ๆ ค่อยก้าว Step by Step ช้า ๆ แต่มั่นคง ซึ่งไมนูนั้นมีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว ปัจจัยเหล่านี้ พร้อมจะโตไปอีกขั้น นั่นคือขั้นตอนของการเติบโตจากการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม เขารอคอยโอกาส จูนสัญญาณคลื่นความถี่ของตัวให้พร้อมอยู่เสมอในการรอรับสัญญาณจากทีมชุดใหญ่ และเมื่อโอกาสมาถึง เขาก็คว้าไว้ และไม่ปล่อยให้มันลื่นหลุดมือไปไหนอีกแล้ว เอริก เทน ฮาก ดันเขาขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ของปิศาจแดง ด้วยความเชื่อมั่น เพื่ออุดรอยรั่วในตำแหน่งกองกลางตัวรับ หมายเลข 6 ในช่วงเวลาที่ ‘คาเซมิโร’ บาดเจ็บไม่พร้อมลงสนาม
อย่างไรก็ตาม หากมองให้ลึกซึ้งในเกมฟุตบอลจริง ๆ แล้ว ค็อบบี ไมนู ถือเป็นในตำแหน่งหมายเลข 8 ยุคใหม่ ต่างหาก เขาสามารถลงมาช่วย โฮลด์บอลกับนักเตะหมายเลข 6 (กลางรับอย่าง คาเซมิโร่) ได้ หน้าที่ของเขาหลัก ๆ แล้วคือการช่วยแกะเพรสซิ่ง ทำสถานการณ์ที่อึดอัด ตึงเครียดให้ดูผ่อนคลายขึ้น และจากนั้นจึงปล่อยบอลไปให้กับนักเตะตัวรุกคนอื่น ๆ ทำหน้าที่เป็นหลักต่อไป
นับสถิติจนถึงทุกวันนี้ ที่ยังหลือเวลาอีกราว ๆ 1 เดือนเศษ ๆ ก่อนที่ฤดูกาลอันมหัศจรรย์ของไมนูจะจบลงไป เขามีส่วนร่วมกับเกมในช่วง 3 - 4 เดือนหลังมานี้ นับจนถึงตอนนี้เขาสังหารประตูไปแล้ว 3 ประตู (นับถึงวันที่ 21 เม.ย 2024) และ 2 ใน 3 ประตูที่เขาทำได้นั่นถือว่ามีความหมายเป็นอย่างมาก ทั้งการยิงประตูชัยเกมเยือนวูล์ฟแฮมตัน ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ และประตูในเกมแดงเดือด ที่เสมอกับลิเวอร์พูล 2 - 2 ในโรงละครแห่งความฝันเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา
แม้ ณ ตอนนี้ อาจจะยังมีเครื่องหมายคำถามอยู่ว่า ค็อบบี ไมนู จะเป็นแบบดาวรุ่งแมนฯยูไนเต็ด คนอื่น ๆ หรือไม่ ที่เคยได้รับการยกย่องว่าเก่งกาจ มีแววเป็นเพชรและมีอนาคตที่สดใส มีสายรุ้งที่ปลายฟ้ารออยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานต่างพากันหลุดวงโคจรและยืนระยะไม่ได้ หลายคนยังกลัวกันว่า ไมนู จะเป็นนักเตะประเภท one season wonder หรือเก่งแบบมหัศจรรย์เป็นพลุไฟลุกวาบ ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เรียกร้องความสนใจจากแฟนบอลได้ครู่เดียว ฤดูกาลเดียว แล้วฟอร์มที่ดีจะจางหายไปเหมือนรอยสีของกางเกงยีนส์หรือไม่ ?
คำตอบของเรื่องนี้ คงต้องรอคอยให้กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
กับเด็กชายวัย 19 ปี ที่ตอนนี้ได้สัญญาเป็นนักเตะอาชีพมาเมื่อพฤษภาคม 2022 และยึดตำแหน่งตัวจริงของแมนฯยูไนเต็ดได้มาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2023 ยังมีโอกาสเดินทางในเส้นทางลูกหนังอีกมาก รวมถึงกับทีมชาติอังกฤษด้วย เพราะถึงแม้เขาจะเพิ่งเป็นกำลังสำคัญให้แมนฯยูไนเต็ดได้เพียงครึ่งฤดูกาล แต่ก็ได้รับโอกาสจากทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่แล้ว โดยเขาได้รับโอกาสให้ลงสนามในเกมอุ่นเครื่อง 2 นัดกับบราซิล และเบลเยียม เมื่อมีนาคม 2024 ที่ผ่านมา ซึ่งในเกมดวลกับเบลเยียม และสุดท้ายเสมอกันไป 2 - 2 นั้น ไมนู ได้ลงเป็นตัวจริงให้ทัพสิงโตคำรามครั้งแรก และจบแมตช์ด้วยการเป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ด้วย
นอกจากนี้ การที่เขาได้เล่นทีมชาติอังกฤษ ยังทำให้ค็อบบี ไมนู กลายเป็นนักเตะปีศาจแดงที่อายุน้อยที่สุดเป็นอันดับสามที่ออกสตาร์ทให้ทีมชาติอังกฤษในวัย 18 ปี กับ 342 วันอีกด้วย เป็นรองแค่ ‘ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์’ ที่ทำไว้ 18 ปี กับ 183 วัน และ ‘มาร์คัส แรชฟอร์ด’ ในวัย 18 ปี กับ 209 วัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือตัวเลขสถิติอันน่าชื่นชม กับเจ้าหนูคนนี้
ดังนั้น ประตูสำหรับโอกาสในการเล่นทีมชาติอังกฤษ ทีมขวัญใจมหาชนนั้นยังเปิดกว้าง และอ้าแขนรอโอบกอดด้วยความอบอุ่นอยู่เสมอ ๆ เมื่อมองจากสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนประเด็นว่าเขาจะเป็น 1 ใน 26 ขุนพลที่ ‘แกเร็ธ เซาธ์เกต’ หยิบเลือกไปใช้งานในยูโร 2024 หรือไม่นั้น คงต้องรอคอยจนจบฤดูกาล และมาดูปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ อีกครั้ง เพราะเขาเองก็ยัง ‘ใหม่’ มากกับฟุตบอลระดับท็อป แม้จะมีความนิ่ง ความสงบที่สยบคู่แข่งได้ แต่สุดท้ายแล้ว คำตอบว่าจะไปทัวร์นาเมนต์ใหญ่เลยหรือไม่ คงต้องให้เซาธ์เกตเป็นคนฟันธง เพราะพื้นที่กองกลางในทีมชาติอังกฤษ มีตัวหลัก ซึ่งถ้าหากไม่บาดเจ็บใด ๆ จะติดทีมไปแน่นอนอยู่แล้ว ทั้ง จู๊ด เบลลิงแฮม, ดีแคน ไรซ์ , จอร์แดน เฮนเดอร์สัน รวมถึง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ - อาร์โนลด์ ที่ปรับจากฟลูแบ็ก มาบัญชาเกมตรงกลางได้
แต่ในทางกลับกัน หากจะเลือกมองในแง่บวก จากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ทีมชาติใหญ่ ๆ ก็มักจะมีธรรมเนียม ที่จะพาดาวรุ่งอย่างน้อย 1 คน ติดทีมไปเสมอ เหมือนเมื่อครั้งอดีตที่ ‘โรนัลโด้’ ติดทีมชาติบราซิลไปเล่นฟุตบอลโลก 1994 (ที่ไม่ได้สัมผัสเกมเลยแม้แต่นาทีเดียว แต่มีชื่ออยู่ในทีมชุดแชมป์โลก) เพราะการเรียกดาวรุ่งไปทัวร์นาเมนต์ใหญ่นั้น มันมีผลต่อทางด้านจิตวิทยา และเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเตะรุ่นเด็ก ๆ รุ่นที่เป็นดาวรุ่งต่อ ๆ มา เพื่อเป็นหมุดหมายของนักเตะที่จะก้าวขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติ
ไม่มีทางที่ใครจะปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือได้ ในเมื่อความโดดเด่น และ ‘แสง’ ของไมนูเด่นชัดขนาดนี้ ย่อมมีการถูกพูดถึงและสรรเสริญเยินยอประดับยศขึ้นมาบ้าง อาทิ ‘ริโอ เฟอร์ดินานด์’ อดีตปราการหลังทีมชาติอังกฤษ และรุ่นพี่ในสโมสรแมนฯยูไนเต็ด ที่ยอมรับว่า ค็อบบี ไมนู ทำให้เขานึกถึงตำนานกองกลางเนเธอร์แลนด์ของเอซี มิลาน อย่าง ‘คลาเรนซ์ ซีดอร์ฟ’ ขณะที่ ‘เนมานย่า วิดิช’ อดีตกองหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเพื่อนร่วมรุ่นของริโอก็เชื่อว่าค็อบบี ไมนู มีความคล้ายคลึงในการเล่นคล้าย ‘ลูก้า โมดริช’ ยอดกองกลางทีมชาติโครเอเชียของเรอัล มาดริด ที่เคยได้บัลลง ดอร์ และเคยพาโครเอเชียไปถึงตำแหน่งรองแชมป์โลก 2018 มาแล้ว
แต่ไม่ว่าจะถูกชื่นชมมากแค่ไหน ไมนูเองก็พยายามทำตัวให้เล็ก เพื่อจะบอกว่าเขาก็แค่นักเตะธรรมดา ๆ คนหนึ่ง พยายามหลบซ่อนอยู่ในเซฟโซนอันปลอดภัยของภัยของเขา ไม่ได้ให้สัมภาษณ์บ่อยนัก ขณะเดียวกัน เอนริค เทน ฮาก ผู้จัดการทีมแมนฯยูไนเต็ด ผู้ซึ่งเป็นคนผลักดันเขาขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ก็มีส่วนช่วยในเรื่องนี้อยู่ด้วย เพราะอดีตกุนซืออาแจ็กซ์ผู้เคยทำงานกับเด็กดาวรุ่งมามากมาย เคยบอกเอาไว้ว่า ถ้าวันใดวันหนึ่ง ไมนู เกิดหลงระเริง เหลิงขึ้นมากับชื่อเสียง เขาเองจะเป็นคนไปใช้คำพูดอบรม และจะเตือนสติให้ เจ้าหนูไมนูอยู่กับร่องกับรอย เหมือนที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้เอง
ต่อไป คงต้องเฝ้าติดตามดูกันต่อว่า ค็อบบี ไมนู จะกลายเป็นนักเตะระดับเวิลด์คลาสอย่างที่รุ่นพี่ในสโมสรแมนฯยูไนเต็ด อย่าง ‘พอล สโคลส์’ (เล่นในตำแหน่งคล้ายคลึงกันกับไมนู) ได้หรือไม่ ชีวิตของเด็กวัย 19 ยังมีอีกหลายเรื่อง หลายอุปสรรคให้เดินก้าวข้าม และเป้าหมายที่หอมหวานนั้น มันไม่เคยมีทางลัด สำหรับที่ที่จะเดินทางไปถึง
จากนี้ ต้องปล่อยให้เวลาทำหน้าที่ของมัน และคงต้องปล่อยให้เจ้าหนูค็อบบี ไมนู ใช้ฝีเท้าและมันสมองฟุตบอลของเขา ทำงานหนักอย่างเงียบ ๆ แล้วปล่อยให้ความสำเร็จ ส่งเสียงดังแทนตัวเขา ต่อไป
เรื่อง : วิเวียน
ภาพ : Getty Images
อ้างอิง :