04 ม.ค. 2568 | 10:01 น.
KEY
POINTS
ถามว่า ‘นักฟุตบอลแห่งอนาคต’ หน้าตาเป็นอย่างไร?
‘นักฟุตบอลแห่งอนาคต’ ก็เหมือนกับ ‘พนักงานแห่งอนาคต’ ที่หลายองค์กรต้องการพนักงานที่ทำได้หลายอย่างในตัวคนเดียว พูดอีกแบบก็คือ นายจ้างต้องการลูกจ้างที่มี ‘Multi-skill’ หรือ ‘ทักษะที่หลากหลาย’
‘ความยืดหยุ่น’ คือสิ่งที่บริษัทต่าง ๆ ต้องการในสถานการณ์โลกที่ผันผวน คาดเดาไม่ได้ หรือ ‘VUCA World’ ดังนั้น พนักงานที่มีความยืดหยุ่น สามารถทำอะไรได้หลายอย่างในตัวคนเดียวกัน คือสิ่งที่ภาคธุรกิจต้องการมาก
เช่นเดียวกับ ‘นักฟุตบอล’
ในปัจจุบัน ถ้าแฟนบอลสังเกตให้ดี เราจะเริ่มเห็นระบบการเล่นใหม่ ๆ เกิดขึ้นในการแข่งขันฟุตบอลอาชีพในลีกชั้นนำของยุโรป กระทั่งอเมริกาใต้ จากระบบ 4-4-2 มาเป็น 5-3-2 หรือ 3-5-2 และ 4-3-3
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 4-1-4-1 ที่เลข 4 แทนกองหลัง 4 คน เลข 1 คือกองกลางตัวรับ 1 คน รวมแนวรับ 5 คน เลข 4 ถัดมาคือแนวรุก 4 คนแบบมีปีก 2 ข้าง และกองกลางตัวรุก 2 คน ส่วนเลข 1 ที่เหลือคือกองหน้าตัวเป้า
จะสังเกตเห็นว่า ระบบ 5-3-2 ก็ดี 3-5-2 ก็ดี 4-3-3 ก็ดี 4-1-4-1 หรือ 4-4-2 ก็ดี จะต้องมีกองกลางตัวรับอย่างน้อย 1 คนยืนอยู่หน้าไลน์กองหลัง เพื่อปัดกวาดหน้าบ้านให้สะอาด ก่อนที่บอลจะไปถึงพื้นที่อันตรายหน้าประตู
ขณะเดียวกัน ในโลกฟุตบอลสมัยใหม่ ที่กองกลางตัวรับ ไม่เพียงจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองคือ ‘เกมรับ’ แต่จะต้องมีภารกิจในด้าน ‘เกมรุก’ เพิ่มเข้ามาอีกด้วย นี่คือรูปแบบของ ‘นักฟุตบอลแห่งอนาคต’ ที่แท้จริง
เรากำลังพูดถึง ตัวอย่างของ ‘นักฟุตบอลแห่งอนาคต’ ที่ชื่อ ‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’
‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 2002 ที่เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ (ฮอลแลนด์) เริ่มต้นเล่นฟุตบอลกับทีมเยาวชนของ ‘AVV Zeeburgia’ ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีมเยาวชนของ ‘Ajax Amsterdam’ ในปี ค.ศ. 2010
ใช้เวลา 9 ปี ไต่เต้าเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ของ Ajax ในปี ค.ศ. 2019 ในยุคของ ‘เอริก เทน ฮาก’ อดีตโค้ชแมนฯ ยูฯ โดย ‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ ลงสนามให้ Ajax 103 นัดยิงได้ 12 ประตู บวก 13 แอสซิสต์ ในตอนนั้น ถือว่าเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งของยุโรป
แมวมอง ‘ลิเวอร์พูล’ เป็นหนึ่งในนั้น ที่จับตาดาวรุ่งอย่าง ‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ แบบตาไม่กะพริบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘เจอร์เกน คล็อปป์’ นายใหญ่ ‘หงส์แดง’ ในเวลานั้น ทว่า ‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ กลับเลือกเซ็นสัญญากับเสือใต้ ‘บาเยิร์น มิวนิค’ แทน
แต่ต้องบอกว่า ‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ ไม่ประสบความสำเร็จกับ ‘เสือใต้’ เมื่อเทียบกับสนนราคาค่าตัวที่ ‘บาเยิร์น มิวนิค’ จ่ายไปถึง 35 ล้านยูโรในปี ค.ศ. 2022 เพราะ ‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ ลงเล่นไป 34 เกมยิง 1 และแอสซิสต์ 1 เท่านั้น
ในส่วนผลงานของ ‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ กับทีมชาติเนเธอร์แลนด์นั้น ลงเล่นตั้งแต่ชุด U-15 ไต่เต้ามาถึงชุด U-21 และลงเล่นให้กับทีมชาติชุดใหญ่นัดแรกเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ปี ค.ศ. 2021 ในเกมฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือกโซนยุโรป ในเกมที่พบกับตุรกี
และในที่สุด ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล ก็สามารถลักพาตัวกองกลางดาวรุ่งชาวดัตช์อย่าง ‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ มาร่วมทีมได้สำเร็จด้วยสนนราคาค่าตัว 40 ล้านยูโร โดย ‘เฟอร์จิล ฟาน ไดค์’ มีบทบาทสำคัญในการเกลี้ยกล่อม ‘กราเฟนแบร์ก’ ให้ย้ายทีม
ซึ่งก่อนหน้านี้ ‘เฟอร์จิล ฟาน ไดค์’ ได้เคยทำสำเร็จในกรณีของ ‘โคดี้ กัคโป’ เหตุผลก็คือ ทั้ง ‘ฟาน ไดค์’ ‘กัคโป’ และ ‘กราเฟนแบร์ก’ สนิทกันมาก นอกจากจะเป็นคนชาติเดียวกันแล้ว พวกเขายังเล่นเคียงบ่าเคียงไหล่ในทีมชาติเนเธอร์แลนด์ตั้งแต่ชุดเยาวชน
‘กราเฟนแบร์ก’ ลงเล่นให้กับ Ajax ฤดูกาล 2020/2021 ในตำแหน่งกองกลางตัวโฮลดิ้งบอล 79% กองกลางตัวรับ 21% ฤดูกาล 2021/2022 ลงเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรับ 73% รองลงมาคือ กองกลางตัวโฮลดิ้งบอล 26% มีสถิติแอสซิสต์มากที่สุดในลีก
ส่วนการลงเล่นให้กับ ‘บาเยิร์น มิวนิค’ ในฤดูกาล 2022/2023 ลงเล่น 559 นาที ในตำแหน่งกองกลางตัวรับ 41% รองลงมา 34% ในบทบาทกองกลางตัวโฮลดิ้งบอล และกองกลางตัวรุก 12% มีส่วนร่วมในการเล่นเกมรับ 8 ครั้งต่อเกมถือว่ามากพอสมควร
บทบาทช่วงแรกของ ‘กราเฟนแบร์ก’ ที่ ‘ลิเวอร์พูล’ คือกองกลางตัวโฮลดิ้งบอล หรือ ‘เบอร์ 8’ ซึ่งเขาทำได้ดีตอนท้าย ๆ ของฤดูกาลสุดท้ายที่ ‘เจอร์เกน คล็อปป์’ คุมทีม ‘หงส์แดง’ แต่เมื่อ ‘ลิเวอร์พูล’ เปลี่ยนกุนซือเป็น ‘อาร์เน่อ สล็อต’ บทบาทของเขาเริ่มเปลี่ยนไป
แท็คติกของ ‘สล็อต’ เน้นการครองบอลมากกว่า ‘คล็อปป์’ เพราะ ‘สล็อต’ ใช้กองกลาง ‘เบอร์ 6’ สองคน คือ ‘อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์’ กับ ‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ ทำหน้าที่เกื้อหนุนกัน ซึ่งสุดท้าย ‘กราเฟนแบร์ก’ กลายเป็นตัวเลือกแรกของ ‘ลิเวอร์พูล’ ในปัจจุบัน
การใช้ ‘เบอร์ 6 สองคน’ เพื่อสลับหน้าที่กันในแต่ละจังหวะ โดยคนหนึ่งจะยืนปักหลักเป็นกระดูกสันหลัง (ตัวรับ) ขณะที่อีกคนจะคอยวิ่งไล่บอลในเมื่อทีมต้องเล่นเกมรับ และเติมขึ้นไปเป็นตัวรุกเพิ่มในแดนหน้า สรุปคือ ตัวรับยืน 1 คน และหมุนตำแหน่งกับตัวรุก 1 คน
‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ จะทำหน้าที่ไล่บอล และตัดบอลกลางสนาม ขณะเดียวกัน ในจังหวะที่ทีมกำลังเล่นเกมรุก แต่พลาดท่าเสียบอล ‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ จะเป็นคนไปซ้อนเพื่อเอาบอลกลับมาตั้งใหม่ โดยถ้าไม่ส่งคืนหลัง ก็จะหาช่องพลิกบอลไปข้างหน้าด้วยตัวเอง
เพราะปรัชญาของ ‘สล็อต’ จะเน้นการครองบอล และเล่นตามสถานการณ์มากกว่า ‘คล็อปป์’ สิ่งที่แตกต่างกันคือจังหวะการแย่งบอลกลับ คือการดักบอลกลางสนาม แล้วสวนกลับเร็ว ถือเป็นอาวุธที่ ‘ลิเวอร์พูล’ ทำได้อันตราย และดุดันมากในฤดูกาล 2024/2025 นี้
‘ลิเวอร์พูล’ โฉมใหม่ในยุค ‘อาร์เน่อ สล็อต’ แม้ทั้งทีมจะเป็นนักเตะเก่าสมัย ‘เจอร์เกน คล็อปป์’ ทว่า ‘หงส์แดง’ มีการเปลี่ยนการเล่นไปจากเดิม คือปรับจากรูปแบบการยืน 4-3-3 มาเป็น 4-2-3-1 โดยมีกองกลาง ‘เบอร์ 6’ ยืนร่วมกัน 2 คน ช่วยกันรักษาพื้นที่หน้าไลน์กองหลัง
‘หงส์แดง’ ยุคใหม่ตามปณิธานของ ‘สล็อต’ ไม่จำเป็นต้องมีกองกลางตัวรับที่ ‘เล่นหนัก’ แบบ ‘เบอร์ 6 โบราณ’ แต่ ‘เบอร์ 6 แห่งอนาคต’ ที่นอกจากจะมีทักษะเกมรับที่ดีแล้ว ยังต้องมีความหลากหลายสร้างเกมรุกได้ ครองบอลดี ผ่านบอลแม่น พลิกบอลเก่ง
หากย้อนกลับไปอ่านบทความในตอนต้น ก็จะพบคุณสมบัติเหล่านี้ในตัว ‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ แบบครบถ้วนกระบวนความ เพราะทั้งหมด เป็นธรรมชาติที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของ ‘กราเฟนแบร์ก’ จริงๆ ตั้งแต่ชุดเยาวชน Ajax สู่ตัวจริงในชุดใหญ่ และที่ ‘บาเยิร์น มิวนิค’
ทำให้สไตล์การเล่นของ ‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ สอดคล้องกับแนวทางของ ‘สล็อต’ ที่แน่นอนว่า คนเป็นโค้ชต้องเห็นจากการฝึกซ้อม และจากข้อมูลของแมวมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทีมงานด้านสถิติ ว่า ‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ เหมาะสมกับระบบของ ‘สล็อต’ ทุกประการ
เห็นได้จากบทสัมภาษณ์หลังเกม ที่ ‘อาร์เน่อ สล็อต’ มักอวย ‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ อยู่เนือง ๆ ประมาณว่า กองกลางของทีมน่าตื่นตาตื่นใจทั้งเกมรับ และเกมรุกที่ไหลลื่นด้วยการรักษาระยะระหว่างแดนได้อย่างสมดุล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะ
อย่างไรก็ดี บทบาท ‘นักเตะแห่งอนาคต’ ของ ‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ หาได้เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินของนักเตะหรือโค้ช หากแต่เป็นธรรมชาติดั้งเดิมของ ‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ มากกว่า ที่มีองค์ประกอบของ ‘กองกลางยุคใหม่’ ที่ครบถ้วน-สมบูรณ์แบบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบ ‘กลางรับคู่’ ของ ‘สล็อต’ ที่ดูเหมือน ‘ลิเวอร์พูล’ จะเล่นบอลช้าตั้งแต่การขึ้นเกมจากแดนหลัง สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือความแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จังหวะเข้าทำในเกมรุก หรือการโต้กลับแบบฉับพลันที่ขึ้นมาพร้อมกันทั้งทีมแบบรวดเร็ว และน่ากลัวมาก
‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ คือ ‘เบอร์ 6 ยุคใหม่’ ที่นอกจากมีสัมผัสของกองกลางตัวรับที่ดีมากแล้ว ร่างกายยังแข็งแกร่งด้วยกล้ามเนื้อ และกระดูกบอล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่วนสูงที่กำลังพอเหมาะพอดี ที่มาพร้อมสมรรถนะการตัดบอลที่ดี ครองบอลเหนียวแน่น และแย่งบอลได้เร็วแล้ว
‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ ยังมีมิติในเกมรุกสีสันจัดจ้าน ด้วยการลากเลื้อยตะลุย เลี้ยงบอลทะลุขึ้นหน้าได้แบบ ‘เบอร์ 10’ แถมยังโฮลดิ้งบอลได้อย่างนุ่มนวล ชะลอเกม และเปลี่ยนจังหวะได้อย่าง Smooth ดุจดั่ง ‘เบอร์ 8’ และสร้างสรรค์เกมเองได้ ผ่านได้ทั้งบอลสั้นและบอลยาว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘การเลี้ยงกินตัว’ ได้ 3-4 คน จากการพลิกบอลครั้งเดียว หรือการตัดบอลแค่ครั้งเดียว ที่ ‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ หันหลังให้คู่ต่อสู้เพื่อรับบอลจากกองหลัง แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็แทงทะลุขึ้นไปตรง ๆ ผ่านกองหลังคู่แข่งพรวดเดียว 3 คนไปถึงกองหน้าที่ยืนอยู่ในแดนตรงข้ามไกลถึง 20 หลา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณสมบัติของ ‘นักเตะแห่งอนาคต’ ที่ทุกทีมต้องการก็คือ “ยามเมื่อไม่มีบอล” หรือ ด้าน Off the Ball ที่เป็นจุดเด่นของ ‘ไรอัน กราเฟนแบร์ก’ จากตำแหน่งการยืนที่ต่ำกว่ากองกลางตัวรับ ขณะที่ยามเติมเกมรุกเขากลับยืนสูงกว่า ‘เบอร์ 8’ แบบดั้งเดิม
การครองบอลแบบ ‘เบอร์ 10’ จึงมีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผ่านบอลที่มีโอกาสเสียบอลยาก และถูกแย่งบอกยากกว่ากองกลางแบบเดิม ๆ แถมยังได้บอล และครองบอลได้มากกว่าเดิมอีกด้วย และนี่คือคุณสมบัติของ ‘นักเตะแห่งอนาคต’ ที่ทุก ๆ ทีมต้องการอย่างแท้จริง!
เรื่อง: จักรกฤษณ์ สิริริน
ภาพ: Getty Images