25 พ.ค. 2566 | 18:00 น.
/ บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่อง Beau is Afraid /
“อารี แอสเตอร์ กลับมาอีกครั้ง เขาจะเอาอะไรมาให้เราได้ชม?”
ขออนุญาตกล่าวตามตรงว่าหากอยากจะชมภาพยนตร์เรื่องนี้ - ใช่ครับ ผมหมายถึง ‘Beau is Afraid’ - อย่างเข้าใจ การซื้อตั๋วไปดูอีกสักรอบ ในความเห็นของผม คือ ‘A-Must’ (ต้องทำ!) นะครับ ไม่เพียงแค่มันจะทำให้คุณจับต้นชนปลายเรื่องราวที่พันกันเป็นปมจนไม่รู้จะแกะตรงไหนก่อนได้ถูก (หรืออย่างน้อยก็ดีขึ้นสักหน่อยหนึ่ง) แต่มันจะทำให้คุณได้ลิ้มอรรถรสที่แตกต่างจากคราวแรกที่คุณได้ชมมัน
ผู้เขียนไม่ใช่คนเดียวที่ยืนกรานถือธงบอกว่าทุกคนควรดูรอบที่สอง (หรือสาม สี่ และห้า) เพราะจากที่ได้อ่านความเห็นของใครหลายคน โดยเฉพาะกับเหล่ากลุ่มคนดูจากทางฝั่งสหรัฐอเมริกา ก็บอกออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่าควรเบิ้ลสองรอบไปเลย ดังที่บอกว่ามันน่าจะทำให้คุณสามารถปล่อยวางกับเรื่องราวเส้นเรื่องที่วายป่วงสุดขีด (ซึ่งเราจะมาว่ากันในส่วนนี้กันภายหลัง) และทำให้คุณสามารถเพ่งดูรายละเอียดที่แอบซ่อนอยู่ได้มากขึ้น
หากคุณกดเข้ามาอ่านในบทความนี้ ผมก็คิดว่าคุณน่าจะทราบเรื่องราวของ Beau is Afraid เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะคุณอาจจะดูมันในโรงภาพยนตร์ไปแล้ว แต่หากคุณอยู่ในกลุ่มคนที่ฟังเพียงสปอยล์หรือเข้ามาอ่านเผื่อจะได้แง้มดูว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร ผมขอแนะนำว่าให้หันหลังกลับไปชมมันที่โรงภาพยนตร์เถอะครับ ผมไม่ได้พยายามจะทำตัวเป็นผู้พิทักษ์ความถูกต้อง แต่ผมกำลังจะบอกว่า ‘ผมคงไม่สามารถบรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นให้คุณได้เข้าใจ รู้สึก หรือประสบ ได้เหมือนในภาพยนตร์เป็นอย่างแน่นอน’ และผมอยากให้ทุกคนได้ลองไปประสบมันดูสักครั้งหนึ่ง
สำหรับภาพรวมของภาพยนตร์เรื่องนี้ การได้ชมมันครั้งแรก ผู้เขียนอยากจะยืนกรานว่าสิ่งที่เราในฐานะผู้ชมควรทำคือ ‘ปล่อยวาง’ และ ‘รัดเข็มขัด’ เตรียมตัวให้พร้อมกับอะไรก็ตามที่จะมาถึง ปล่อยให้ผู้กำกับอย่าง อารี แอสเตอร์ (Ari Aster) จะพาเราไปไหนก็เชิญเขาเลย พวงมาลัยและคันเร่งเป็นของเขา แต่เข็มขัดนิรภัยเป็นของเรา ฉะนั้น รัดให้แน่น
Beau is Afraid พาผมไปทั่ว เสมือนรถไฟเหาะ - ที่ไม่ได้พาผมไปเหวี่ยง ๆ สนุกสนานแล้วจอดที่เดิม แล้ววนซ้ำทำแบบนั้นใหม่ แม้ว่าจะมีรถไฟเหาะรุ่นใหม่ถูกผลิตออกมาก็ตาม - ที่พาผู้ชมไปที่ไหนก็ไม่อาจทราบได้ เราจะได้เจอกับอะไรที่ไม่คาดคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เส้นเรื่องที่อยู่นอกกรอบขนบความเคยเป็น เราจะผจญภัยไปกับโบ ไปเจอโลกที่เขาเห็น เหตุการณ์ที่เขาเจอ ไปประสบ ไปทุกข์ ไปบาดเจ็บ ไปเปิดแผล ไปฝันร้ายกับเขา อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย... สำหรับรอบแรก ผมว่าเราเตรียมตัวแค่นี้ก็เพียงพอ
ถึงกระนั้นก็เป็นหน้าที่ของผู้เขียนที่จะเอ่ยถึงที่มาที่ไปและเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเรื่อง Beau is Afraid กันเสียก่อน เพื่อเป็นการเริ่มต้นตามธรรมเนียมที่ควรจะเป็น และหากใครที่เบื่อจะต้องอ่านการรีแคปและอยากทราบว่า ‘ไอจ้อนยักษ์มันคือใคร?’ หรืออะไรทำนองนั้น ผู้เขียนก็ขอชี้แนะให้เลื่อนผ่านสองย่อหน้าถัดไปได้เลย
Beau is Afraid เป็นเรื่องราวที่จะพาผู้ชมไปตามติดชีวิตของ ‘โบ วาสเซอร์แมนน์’ (Beau Wassermann) ชายวัยกลางคนผมบางเทา ที่นำแสดงโดย ‘วาคีน ฟีนิกซ์’ (Joaquin Phoenix) ที่มีลักษณะนิสัยวิตกกังวลไปเสียจะทุกเรื่อง ซึ่งในคราวแรกหลายคนก็อาจจะไม่ได้คิดว่าเขาจะวิตกกังวลขนาดนั้น เพราะเหล่าเรา ๆ ก็ล้วนเคยเสิร์ชกูเกิลค้นหาอาการแล้วได้คำตอบว่าเป็นมะเร็งกันอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อได้เล่าไปเรื่อย ๆ และพาเราไปตามติดชีวิตของโบ เราก็จะทราบได้ทันทีว่าเขาติดอยู่ในบ่วงภาวะวิตกกังวลขั้นรุนแรง และภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าของเขาคือการกลับบ้านไปหา ‘แม่’ ที่ที่ (หรือบุคคลที่) อาจจะเป็นต้นตอของความวิตกกังวลของเขาทั้งหมด
ความยากของภาพยนตร์เรื่องนี้ในการวิเคราะห์และจับต้นชนปลายประเด็นต่าง ๆ เข้าด้วยกันคือความซับซ้อนในประเด็นแยกนั้น ๆ ผู้เขียนพอจะลิสต์ประเด็นออกมาได้ว่ามีสิ่งใดบ้างที่ต้องหาคำตอบ แต่ผู้เขียนก็ยังไม่พบหรือเข้าใจคำตอบนั้น ๆ อย่างกระจ่างชัด ดังนั้นจึงเป็นการยากมากที่จะนำเศษเสี้ยวของคำตอบที่ไม่สมบูรณ์มาประกอบร่างเป็นคำตอบใหญ่ที่ทุกคนใฝ่หา ดังนั้น ในบทความนี้ ผมจึงขอนำข้อสันนิษฐานและความเห็นของผมมาเล่าสู่กันฟัง และหากท่านผู้อ่านสามารถปะติดปะต่อและ Eureka! อะไรขึ้นมาได้ ก็ขอเชิญชวนให้และเปลี่ยนกันได้ตามสบายครับ
อารี แอสเตอร์ เซอร์ไพรส์ผมเสมอมา (ใช้คำนั้นได้ไหมนะ?) ไม่ว่าจะด้วยการชะโงกหน้าออกนอกหน้าต่างหรือโดดผาลงสู่หินเพราะคิดว่าชีวิตจบสิ้นแล้ว เพราะฉะนั้น สำหรับใครที่ได้เคยชมผลงานของผู้กำกับที่หน้าตาเฟรนด์ลี่แต่อุดมไปด้วยไอเดียวิปลาสคนนี้มาก่อน คุณมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเดินเข้าโรงแบบตั้งการ์ดอย่างเต็มร้อย - เช่นผม
ตลอดเรื่องราวเส้นทางของโบ เขาต้องต่อกรกับ ‘ความกลัว’ ของตัวเอง หากถามว่าเขากลัวอะไร ตอบได้ไม่ยากว่า ‘ทุกอย่าง’ เขากลัวผลที่ตามมาจากการกลืนน้ำยาบ้วนปาก เขากลัวแมงมุมที่อยู่ในอะพาร์ตเมนต์ของเขา เขากลัวบรรยากาศโดยรอบที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อน เขากลัวขอทานเร่ร่อนที่วิ่งไล่เขาเมื่อเขากำลังเข้าตึก เขากลัวทำคนรอบข้างไม่พอใจ เขากลัวไปหมด…
แต่คำถามที่สำคัญกว่าการถามว่าเขากลัวอะไร เราควรจะย้อนไปถามถึงว่า ‘ต้นตอ’ ที่ก่อกำเนิดเป็นความกลัวของเขาเช่นนี้คืออะไร?
‘แม่’ ของเขาคงเป็นคำตอบแรก ๆ ที่ผุดขึ้นมา เราจะได้เห็นการกระทำของเขาตลอด ไม่ว่าจะในแง่การปลูกฝังหรือการเลี้ยงดูว่าแม่ของโบมีองค์ประกอบความเป็น ‘พ่อแม่รังแกฉัน’ อยู่มาก ไม่ใช่ว่าเธอตามใจเกินไป แต่เธอ (‘แกสไลต์’ (Gas Light) ลูกของเธอเสมอมา ด้วยการตอกกลับการกระทำต่าง ๆ ว่าทำไมแกถึงไม่รักฉันเท่าที่ฉันรักแก การหล่อหลอมเช่นนี้จึงก่อร่างกำแพงภายในใจของโบจนเหลาให้เขาหันเหเข้าหาเป้าหมายเดียว - ทำให้แม่พอใจ
กล่าวถึง ‘กำแพง’ ไม่เพียงแค่สไตล์การเลี้ยงดูสุดท็อกซิกของแม่ที่ทำให้โบมีลักษณะนิสัยเช่นนี้จะเป็นกำแพงในการใช้ชีวิตของเขาเท่านั้น แต่อีกประเด็นหนึ่งที่ทำหน้าที่เสมือนเป็นโซ่ตรวนล่ามเขาตลอดมาคือตำนานเล่าขานปลอม ๆ ที่แม่คอยกรอกหูว่าตัวของโบได้รับยีนจากรุ่นพ่อ ปู่ จนถึงทวด กับความผิดปกติที่หากถึงจุดสุดยอดจะเสียชีวิตในทันที นี่จึงทำให้เรื่องทางเพศเป็นสิ่งต้องห้ามของเขา (หากไม่อยากตาย)
ผู้เขียนมองว่าความกลัวเหล่านี้คือ ‘สัตว์ประหลาด’ ที่โบ ในฐานะตัวดำเนินเรื่องต้องปราบลงให้ได้ และอาวุธที่สามารถใช้ต่อกรกับความกลัวคงเป็นสิ่งใดไปไม่ได้นอกเสียจาก ‘ความกล้าหาญ’ เขาต้องกล้าที่จะเอาขวานพังโซ่ตรวนออกและกล้าไปใช้ชีวิตดั่งที่เขาได้จินตนาการตัวเองในละครเวทีที่เขาได้พบเจอในป่าแห่งหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ผมจึงมองว่าละครเวทีในป่านั้นจึงเป็นภาพจำลองในกรณีของโบถ้าเขามีความกล้ามากพอที่จะเผชิญกับความกลัวและออกไปใช้ชีวิตดั่งวีรบุรุษ เขาจะมีชีวิตที่สุขสมต่างจากความเป็นจริงในปัจจุบันที่จมปลักอยู่กับความกลัว ที่กลายเป็นคนขี้แพ้จนแม่ตัวเองยังไม่เห็นใจ
แม้จะสามารถทลายโซ่ในการมีเซ็กซ์เป็นครั้งแรกและไม่ตาย จนเสมือนเป็นการเกิดใหม่ที่ได้เข้าใจผิดมาตลอดชีวิต แต่โบก็ยังไม่สามารถทวงคืนความกล้าหาญกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน เขายังคงมีความกลัวที่ยังไม่กล้าเผชิญอยู่ และถ้าหากเขากล้าฝ่ามันออกมาได้ เขาจะเป็นวีรบุรุษผู้ปราบมังกร… แต่เมื่อเขาก้าวขึ้นไปบนห้องใต้หลังคานั้น เขาพ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่า
กล่าวมาถึงตรงนี้คงต้องทำความเข้าใจกันก่อนจะไปต่อสักนิดหนึ่ง ส่วนตัวผมมองว่าห้องใต้หลังคา แฝดเครายาว และ ‘อสุรกายจู๋ยักษ์’ อาจจะไม่มีอยู่จริง ผู้เขียนคิดว่าทั้งหมดบนห้องใต้หลังคาดูจะเป็นภาพแทนจิตใจของโบเสียมากกว่า อย่างแฝดอีกคนของเขาที่ในฝันหนึ่งถูกขังลืมไว้บนห้องใต้หลังคา ดูจะแทนความกล้าหาญภายในที่ถูกกักขังให้หายไปโดยการกระทำของแม่ ส่วนสัตว์ประหลาดน่าจะเป็นความกลัวในการมีเพศสัมพันธ์และถึงจุดสุดยอดที่แม่ของเขาได้ปลูกฝังมามากกว่า และมันได้กลายเป็นภาพแทนของพ่อของเขาอีกด้วย
อีกฉากหนึ่งที่น่าจะช่วยชี้ชัดข้อมูลในส่วนนี้ได้ก็คงเป็นฉากชั้นศาลกลางทะเลที่น่าจะเป็นความคิดในหัวของโบที่ตีกันระหว่างความรู้สึกผิดกับความกล้าที่จะยืนหยัดเพื่อตัวเองของเขา และเราจะเห็นได้ชัดว่าความกล้านั้นเสียงเบาก่อนที่ท้ายที่สุดจะร่วงลงกระแทกหินเหมือน Midsommar ชี้ให้เห็นว่าความกล้าหาญของเขาช่างอ่อนแรงเกินกว่าจะต้านความรู้สึกผิดและความกลัวที่เสียงดังกว่าหลายเท่าตัวได้ ซึ่งอาจจะเป็นผลพวงจากความรู้สึกที่ตัวเขาได้พลั้งมือฆ่าแม่ของตนเองไปก็เป็นได้
นอกจากนั้นเราจะได้เห็นผู้ชมที่นั่งดูการไต่สวนครั้งนี้อยู่เต็มอัฒจันทร์ และพอการไต่สวนจบ โบจมหายถูกครอบโดยเรือของเขา ผู้ชมก็ค่อย ๆ ทยอยลุกออกไปอย่างไร้เยื่อใย เสมือนกับเราทุกคนที่นั่งชมอยู่ในโรงภาพยนตร์ ณ ขณะนั้น ที่ได้มานั่งดูความล้มเหลวและความกลัวของโบเหมือนกับคนอื่น ๆ ก่อนจะเดินจากไปไม่ต่างอะไรจากคนในจอ…
ภาพ : Beau is Afraid