24 มี.ค. 2567 | 19:00 น.
การหวนกลับมาเยือนประเทศไทยอีกครั้งของป๋า Slash ในปี 2024 นับเป็นเวลาทั้งหมดเกือบ 5 ปี จากครั้งล่าสุดในปี 2019 แสดงให้เห็นเลยว่ากาลเวลานั้นทำอะไรป๋า Slash ที่ทัวร์มาตั้งแต่ยุค 80’s ไม่ได้จริงๆ
เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 2024 มีการจัดงานคอนเสิร์ตที่จะมีการแสดงโชว์ของ Slash featuring Myles Kennedy & The Conspirators ซึ่งประกอบไปด้วย ‘ไมลส์ เคนเนดี’ (Myles Kennedy) นักร้องนำที่เสียงสูงดั่งหินผา, ‘ซอล ฮัดสัน’ (Saul Hudson) หรือ ‘สแลช’ (Slash) มือกีตาร์หลักแห่งคณะ Guns N’ Roses ที่ใครต่อใครก็รู้จัก ผู้เป็นดั่งไอคอนของ Guitar Hero ที่ผ่านมาแล้วหลายยุคสมัย, ‘เบรนท์ ฟิตซ์’ (Brent Fitz) เทพกระเดื่องมือกลองประจำคณะที่คอยมอบจังหวะความสนุกตลอดการโชว์, ‘ท็อดด์ เคิร์นส์’ (Todd Kerns) มือเบสที่เต็มไปด้วยความสามารถต่าง ๆ โดยเฉพาะการร้องผสานที่เล่นคู่เสียงที่สูงกว่าเสียงของนักร้องนำเสียอีก และ ‘แฟรงก์ ซิดอริส’ (Frank Sidoris) มือกีตาร์รองที่คอยซัพพอร์ต Slash เวลาเล่นลูกโซโล่
การแสดงถูกจัดที่ Center Point Studio ซอยลาซาล โดยตัวผู้เขียนเองก็ตกใจกับการจัดการของงานนี้มาก ตั้งแต่ที่โชว์ยังไม่เริ่ม ทุก ๆ อย่างดูจะเป็นใจไปหมด ทั้งในส่วนของที่จอดรถที่สามารถหาได้อย่างง่ายดาย กล่าวคือหากคุณคือผู้ที่ไปชม แสดงว่าคุณจะได้มีที่จอดรถอย่างปลอดภัยแน่นอน รวมถึงการแจกตั๋วที่ถูกจัดการอย่างสะดวกและไม่เหนื่อยเลย ทำให้ผมรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก
โดยประตูเปิดตั้งแต่เวลา 18.00 น. ผู้คนต่างพร้อมใจกันเดินเข้าไปในฮอลล์แสดงเพื่อที่จะรอวงเปิดเล่น ซึ่งคือวง ‘Black Sonic Pearls’ ศิลปินแนว Alternative Rock ที่ผลงานเดบิวต์มาจากอัลบั้ม ‘SONIXOMNIA’ มาเล่นเปิดเวทีที่ช่วงเวลา 19.00 - 20.00 นาฬิกา เป็นเวลา 1 ชั่วโมงเต็ม พูดได้เลยว่าเป็นการแสดงแบบจัดเต็มถึงขั้นว่านักร้องนำอินจัดจนต้องลงมาร้องเพลงหน้าเวทีติดกับคนดูแถวหน้าเลยทีเดียว เป็นการแสดงเปิดที่ทำให้คนดูต่างเครื่องติดพร้อมที่จะรับชมการแสดงทั้งหมดแบบ Full Course… และอย่าลืมนะครับ นี่แค่วงเปิดเท่านั้น
ผมซึ่งเป็นคนที่ชื่นชอบในการเล่นเครื่องดนตรี มองขึ้นไปบนเวทีก็รู้เลยครับว่าป๋า Slash จะยืนเล่นที่ตำแหน่งไหน โดยการสังเกตจากตำแหน่งการวางอุปกรณ์ต่าง ๆ หลังจากนั้นก็ไม่รีรอ ผมรีบไปยืนในจุดนั้นและเฝ้ารอการแสดงที่กำลังจะเกิดขึ้น
เมื่อเวลาก้าวเข้าสู่ 2 ทุ่ม และแล้ว… เวลาก็มาถึง ทุก ๆ อย่างในฮอลล์มืดสนิท ความเงียบค่อย ๆ เข้าปกคลุม จู่ ๆ คนข้าง ๆ ผมก็ตะโกนออกมาว่า
“Slash!!!!”
ทุกคนเดินออกมาประจำที่ ทั้งฮอลล์กรี๊ดสนั่นต้อนรับการกลับมาของตำนาน และผมก็วิเคราะห์ถูกครับ Slash เดินออกมาประจำตำแหน่งตามจุดที่ผมคาดเอาไว้จริง ๆ วงไม่ได้มีการรีรอใด ๆ ทำการเล่นเพลงแรกทันที
โดยเริ่มด้วย ‘The River Is Rising’ โดยเป็น Track แรกของอัลบั้ม ‘4’ แสง สี เสียง รอบโชว์ทำให้ผมรู้สึกสนุกมาก และผมคิดว่าทุกคนที่ไปดูก็คงรู้สึกเช่นนั้น เนื่องจากพลังบวกที่ทาง Slash ได้ปล่อยออกมา เขาได้วิ่งเล่นไปทั่วเวทีจนผ่านไป 4 - 5 เพลง ไม่ว่าจะเป็น Driving Rain, Halo, Too Far Gone, Back From Cali, Whatever Get You By เฮีย Slash ก็ไม่เหนื่อย จนทำให้ผมคิดในใจเลยว่า เฮียคนนี้ออกทัวร์มาตั้งแต่ยุค 80’s แล้ว มาจนถึงทุกวันนี้เกือบ 40 ปี แต่พลังและความคึกคักของแกกลับไม่เปลี่ยนเลย
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งก็รู้สึกตกใจ เพราะว่าเวลาตอนนั้นมันก็ 3 ทุ่มแล้ว เลยคิดกับตัวเองว่านี่มันผ่านไปครึ่งโชว์แล้วเหรอ เวลาผ่านไปเร็วมาก ๆ ไมลส์ เคนเนดีออกไปพักข้างเวที มอบหน้าที่การร้องนำให้กับมือเบส ท็อดด์ เคิร์นส์ โดยตลอดทั้งโชว์นั้นนอกจากมือเบสจะคอยร้องผสานเสียงแล้ว ยังได้ร้องเพลงแบบเต็ม ๆ อีก 2 เพลงคือ Always On The Run และ Bad Apples แต่คุณภาพของการแสดงนั้นไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ความสนุกยังเต็มร้อยอยู่เสมอ
ในขณะเดียวกัน ชาวต่างชาติข้าง ๆ ผมตัดสินใจที่จะให้เพื่อนของเขาขี่คอเพื่อที่จะได้มองเห็นคอนเสิร์ตได้ชัดขึ้น เสียดายที่มันดันไปบังวิสัยทัศน์คนอื่น ๆ แต่มันก็เป็นแบบนั้นอยู่แค่ครู่เดียวครับ เพราะพี่ยาม 2 - 3 ท่านก็ได้รีบเดินเข้ามา แล้วอธิบายติเตือนกับชาวต่างชาติไปว่าทำแบบนี้ไม่ได้ ทำให้ผมรู้สึกประทับใจกับการจัดการโดยรวมของคอนเสิร์ตนี้มากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
และก็ได้มาถึงจุดที่ผมประทับใจมากที่สุดสำหรับคอนเสิร์ตนี้เลยก็ว่าได้ ช่วงตอนที่คอนเสิร์ตได้ผ่านไปกว่า 70% แล้ว ไมลส์ เคนเนดี ก็ได้พูดขึ้นมาประมาณว่า
แปลคร่าว ๆ ประมาณว่าเพลงต่อไปที่เราจะเล่นได้รับแรงบันดาลใจมาจากสุนัขของผม และผมก็แต่งขึ้นมาผ่านมุมมองของสุนัข
และวงก็ได้ทำการเล่นเพลง ‘Fill My World’ โดยเป็นเพลง Track ที่ 7 ของอัลบั้ม ‘4’ ซึ่ง ไมลส์ เคนเนดี เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อไว้ว่า
ผมมองไปก็ได้เห็นใครหลาย ๆ คนหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมาแล้วเปิดรูปสัตว์เลี้ยงคู่หูของตนชูขึ้นมา มันทำให้ผมนึกถึงสัตว์เลี้ยงสุนัขตัวแรกของผม เธอได้กลับไปดาวสุนัขในวันที่ผมไม่ได้อยู่กับเธอ ผมจึงเปิดรูปสุนัขของผมขึ้นแล้วชูไปในทิศทางของเวที มันกินใจผมมาก และผมคิดในใจเลยว่า ความทรงพลังของเสียงเพลงนั้นมันยิ่งใหญ่จริง ๆ นี่เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมจะไม่มีวันลืม
“This is probably one of my favorite tour we ever did”
Slash featuring Myles Kennedy & The Conspirators ก็ได้ทำการเล่นเพลง ‘World on Fire’ จากอัลบั้มในชื่อเดียวกัน ขึ้นเป็นเพลงสุดท้าย และระหว่างที่เพลงจบนั้น ทั้งวงก็ได้ทำการแนะนำตัวเองจนครบทั้งวง จากนั้น Myles Kennedy ก็ได้กล่าวขึ้นมาว่า “This is probably one of my favorite tour we ever did” “นี่น่าจะเป็นหนึ่งในทัวร์ที่ผมชอบที่สุดจากทุกทัวร์ของเรา”
ผมก็เชื่ออย่างนั้น เพราะว่าขณะที่เล่นเพลงต่าง ๆ ตลอดทั้งโชว์นั้น ไมลส์ เคนเนดี ดูตกใจกับเอนเนอร์จี้ของผู้ชมมาก ๆ นอกจากที่ Slash จะคึกคักตลอดทั้งโชว์ คนดูที่ไปงานวันนั้นก็คึกคักไม่แพ้กัน หลังจากที่วงกล่าวแนะนำตัวเสร็จก็ได้กล่าวขอบคุณและเดินลงเวทีไป
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาก็ตกใจเพราะมันยังไม่ถึง 4 ทุ่มเลย จึงนึกได้ว่า นี่คงเป็นเหมือนธรรมเนียมของการดูคอนเสิร์ตโดยเฉพาะกับแนวเพลงร็อคสินะ ที่เราจะต้องตะโกนเพื่อให้เห็นว่าเราต้องการจะฟังเพิ่ม คิดไม่ทันเสร็จ กลุ่มคนข้าง ๆ ผมก็ตะโกนขึ้นมาว่า “Slash! Slash! Slash! Slash!” เป็นแบบนี้อยู่พักหนึ่ง
ทันใดนั้นเองก็ได้มีทีมงานนำเครื่องดนตรีประหลาดที่เรียกว่า ‘Pedal Steel Guitar’ หรือ ‘กีตาร์เหล็กเหยียบ’ ขึ้นมาวางหน้าเวที และทั้งวงก็เดินกลับขึ้นมาบนเวทีอีกครั้งส่งผลให้ทั้งฮอลล์ก็ส่งเสียงร้องอย่างดังลั่น แต่ที่ผมประหลาดใจที่สุดคือครั้งนี้ Slash ไม่ได้เล่นกีตาร์แต่กลับมาเล่นเครื่องดนตรีชิ้นนี้ที่ทีมงานเอาขึ้น Slash ก็เริ่มบรรเลง
เสียงของมันนั้นแตกต่างจากกีตาร์โดยสิ้นเชิง และไมลส์ก็เริ่มร้องขึ้นมา
“She packed my bags last night pre-flight”
ทั้งฮอลล์ก็ร้องเฮขึ้นมา ผมถึงกับอุทานว่า “เฮ้ยเพลงนี้เลยเหรอ!” ใช่ครับมันคือเพลง ‘Rocket Man’ ที่มีเจ้าของเป็นดั่งอีกหนึ่งตำนานของโลกดนตรีซึ่งก็คือ ‘เซอร์ เอลตัน จอห์น’ (Sir Elton John) โดยทั้งวงทำการเรียบเรียงใหม่ และบรรยายมันออกมาในรูปแบบของตนเอง ซึ่งมันดีมาก ๆ และทุกคนก็ชื่นชอบและมีความสุขไปกับเซอร์ไพรส์นี้ที่ไม่มีใครสามารถเดาออกได้เลยจริง ๆ
และก็มาถึงเพลงสุดท้าย ‘Anastasia’ Track ที่ 8 จากอัลบั้ม ‘Apocalyptic Love’ ที่ถูกปล่อยมาในปี 2012 น่าจะเป็นเพลงที่ดังที่สุดของ Slash ในทุก ๆ อัลบั้มโซโล่ของเขาเลยก็ได้ ซึ่งตัวผมเองก็ตั้งหน้าตั้งตารอมาฟังเพลงนี้เช่นกัน เต็มอิ่มแบบสุด ๆ และเพลงสุดท้ายจบไป โชว์ก็ได้จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ
ทั้งคณะได้เดินมาหน้าเวทีเพื่อกล่าวขอบคุณเหล่าแฟน ๆ และก็ได้เดินลงเวทีและจากไป เพื่อไปพักผ่อนเนื่องจากโชว์ที่ประเทศไทยเป็นโชว์สุดท้ายของทวีปเอเชีย ก่อนที่จะต้องไปเล่นต่อที่เมือง Dublin เมืองหลวงของประเทศ Ireland ในวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 2024 นั้นเอง
นับเป็นหนึ่งในค่ำคืนที่หน้าจดจำของชาวร๊อคที่ได้มาเป็นดั่งสักขีพยานต่อการแสดงอันสุดมันส์ในครั้งนี้