22 เม.ย. 2567 | 17:40 น.
KEY
POINTS
หลังจากที่อัลบั้ม ‘Midnights’ ถ้อยคำรำพึงจากเที่ยงคืนเงียบสงัด ได้สร้างปรากฏการณ์ล้างชาร์ตเพลงของ Billboard Top 10 และคว้ารางวัลอัลบั้มแห่งปีจากเวทีใหญ่วงการดนตรีอย่าง ‘Grammys’ ทั้งยังเป็นรางวัลอัลบั้มแห่งปีรางวัลที่ 3 ที่ส่งให้ ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ กลายมาเป็นศิลปินหญิงคนแรกและเพียงคนเดียวที่ได้รับรางวัลนี้ถึงสามครั้งด้วยกัน
นั่นยังเป็นเพียงเศษเสี้ยวความสำเร็จของเทย์เลอร์ที่เราหยิบยกมาเท่านั้น เพราะเรายังไม่ได้กล่าวถึงภาพยนตร์คอนเสิร์ต ‘The Eras Tour’ บนแพลตฟอร์ม Disney+ ที่ตัวภาพยนตร์เองก็สามารสร้างปรากฏการณ์ในการกลายมาเป็นภาพยนตร์ที่มีรายได้สูงสุดตลอดการในหมวดหมู่สารคดีและภาพยนตร์คอนเสิร์ตทั้งหมด โดยกวาดรายได้ไปมากถึง 261.6 ล้านเหรียญทั่วโลก
ยังไม่นับรวมทัวร์คอนเสิร์ตที่ยังคงดำเนินการแสดงไปทั่วโลกคืนแล้วคืนเล่า และแม้การทัวร์จะยังไม่จบลง แต่ทัวร์ของเทย์เลอร์ก็ได้ขึ้นบัลลังก์เป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลไปเรียบร้อยแล้ว โดยทำรายได้ไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านเหรียญ
ถึงอย่างนั้น นักร้องและนักประพันธ์เพลงผู้นี้ดูเหมือนจะไม่มีวันหยุดงาน อาจเพราะว่าการร้อยเรียงเรื่องราวเป็นบทกลอนได้กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันของเธอ ไม่ต่างจากการหายใจเข้าออก แม้ว่าเทย์เลอร์จะมีวันที่โหดร้ายเพียงใด เธอก็ยังคงทำงาน และประพันธ์เรื่องราวออกมาได้ ‘ด้วยหัวใจที่แม้จะแตกสลายไปแล้วของเธอ’
เทย์เลอร์ได้ออกมาประกาศบนเวที Grammy ว่า ตลอดสองปีที่ผ่านมา เธอมีความลับที่เก็บงำไว้จากแฟน ๆ ซึ่งนั่นก็คืออัลบั้มใหม่ลำดับที่ 11 ซึ่งเป็นเพลงป๊อบในชื่อ ‘The Tortured Poets Department’
นี่เป็นถ้อยคำโปรยอัลบั้มใหม่ที่เพิ่งถูกปล่อยสู่สาธารณะชน ซึ่งสามารถบอกถึงเนื้อหาและภาพรวมของอัลบั้มได้เป็นอย่างดี ว่าอัลบั้มนี่จะต้องเต็มไปด้วยรอยร้าว บาดแผล ความสำนึกผิด และความโศกเศร้า จากการสูญเสียสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยได้ครอบครอง
อาจจะเพราะมีความเป็นไปได้ที่บ่งชี้ว่า หลายเพลงในอัลบั้มนี้อาจจะเกิดขึ้นจากการจบความสัมพันธ์ระยะเวลา 6 ปี กับอดีตแฟนหนุ่มอย่าง ‘โจ อัลวิน’ ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นชายผู้ฉุดรั้งเธอขึ้นมาจากความวุ่นวายในอดีต และแต่งแต้มสีสันหลากรสให้กับชีวิตของเธอ ที่ท้ายที่สุดแล้วต้องจบลงอย่างน่าใจหาย
หากจะให้อธิบายเพิ่มเติมว่าอัลบั้มนี้จะสามารถพรรณาความเศร้าได้มากมายสักแค่ไหนกันนะ ผู้เขียนก็คงต้องขอเบิกทั้งพยานและหลักฐานเช่นกัน โดยก่อนการปล่อยอัลบั้มใหม่นี้ เทย์เลอร์ได้จัดเพลย์ลิสต์เพื่อโปรโมตอัลบั้ม โดยใช้ปกอัลบั้ม 5 ปกใน โดยแต่ละเพลย์ลิสต์จะเป็นตัวแทนระยะในภาวะการสูญเสียทั้ง 5 นั่นเอง ซึ่งแต่ละปกนั้นยังแฝงเนื้อเพลงจากอัลบั้มมาอีกด้วย
ระยะที่ 1 — ‘Denial’ ระยะปฏิเสธความจริง โดยใช้ปกที่มีเนื้อเพลงว่า “I Love You, It’s Ruining My Life — ฉันหลงรักคุณ และนั่นเป็นสิ่งย้อนมาทำลายชีวิตของฉันเอง”
ระยะที่ 2 — ‘Anger’ ระยะโกรธ โดยใช้ปกที่มีเนื้อเพลงว่า “You Don’t Get to Tell Me About Sad — คุณไม่มีสิทธ์ที่จะมาบอกฉันว่าความโศกเศร้านั้นเป็นเช่นไร”
ระยะที่ 3 ‘Bargaining’ ระยะต่อรอง ปกของเพลย์ลิสต์นี้ใช้เนื้อเพลงว่า “Am I Allowed to Cry? — ฉันได้รับอนุญาตให้ร้องไห้ไหมนะ?”
ระยะที่ 4 ‘Depression’ ระยะโศกเศร้า เพลย์ลิสต์นี้ใช้เนื้อเพลงว่า “Old Habits Die Screaming — การกระทำที่คุ้นเคยได้ตายจากไปพร้อมกับเสียงกรีดร้อง”
ระยะที่ 5 ‘Acceptance’ ระยะยอมรับความจริง ได้เนื้อเพลงที่มีความว่า “I Can Do It With a Broken Heart — ฉันยังคงเดินหน้าทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยหัวใจพัง ๆ ดวงนี้ได้อยู่”
อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นเพียงแค่ ‘การซ้อมเป็นคนเศร้า’ เพียงเท่านั้น เพราะของจริงแน่นอนว่าต้องมาพร้อมกับเพลงในอัลบั้มใหม่อย่างแน่นอน
ย้อนกลับไปเมื่อวันวาน เมื่อครั้งที่เทเลอร์ยังเป็นสาวน้อยวัยละอ่อน เธอเขียนเพลงมากมายเกี่ยวกับความรักของหนุ่มสาวจากสองแง่มุมหลัก ๆ นั่นก็คือยามตกหลุมรัก และยามแตกสลายจากความรัก ซึ่งตรงใจวัยรุ่นมากมาย
ปัจจุบัน เทยเลอร์เติบโตขึ้นมาก ผ่านมรสุมพายุมากมายที่ทำให้เธอใสสะอาดและแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และแน่นอนว่าแง่มุมที่เธอมีต่อความรักนั้นย่อมแตกต่างออกไป เมื่อสุขสม ย่อมสุขสมอย่างสุขล้น เมื่อชอกช้ำ ก็ย่อมชอกช้ำอย่างท่วมท้นเช่นกัน
บทเพลงของเธอจึงกล่าวถึงความเจ็บปวดที่จมดิ่งลึกเข้าไปในหัวใจมากยิ่งขึ้น บาดแผลฉกรรจ์ ความทรงจำฝังรากลึก ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านถ้อยคำซึ่งถูกตรึกตรองและสง่างาม
‘Folklore’ อัลบั้มที่ได้รับรางวัลอัลบั้มแห่งปีครั้งที่สองของเทย์เลอร์จากงานประกาศรางวัล Grammys Award เป็นอัลบั้มหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขานอย่างกว้างขวางถึงการใช้ภาษาและเปรียบเปรยได้อย่างสละสลวยเสียเหลือเกิน ตัวอย่างที่ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นซิงเกิ้ลแรกอย่าง ‘Cardigan’ ที่ในปัจจุบันยังคงเป็นไวรัลทั้งในส่วนของเนื้อเพลงและทำนองดนตรีบนแพลตฟอร์มคลิปวิดีโออย่าง Tiktok เมื่อครั้งที่เธอเขียนเพลงในอัลบั้มนั้น เธอเคยให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า เธอจินตนาการภาพตัวเองว่านั่งแต่งเพลงเพลงอยู่ในกระท่อมลึกเข้าไปในป่าซึ่งร้างห่างไกลผู้คน
เทย์เลอร์ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น ‘กวี’ ที่เก่งกาจเหลือเกิน ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาเธอจะไม่เรียกตัวเองว่าเป็นกวีอย่างเป็นทางการเลยสักครั้งก็ตาม แต่ผลงานถ้อยคำและเรื่องราว ที่เธอได้แจกจ่ายสู่แฟนเพลงนับล้าน ก็เป็นเครื่องยืนยันความเป็นกวีของเธออยู่ดี
แต่ครั้งนี้ เธอไม่เพียงแค่ประกาศว่าเธอเป็นกวีอย่างเต็มตัว แต่เธอยังแต่งตั้งตัวเองเป็นถึง ‘ผู้บริหารแห่งแผนกของเหล่ากวีผู้ชอกช้ำทั้งมวล’ อีกด้วย แล้วอย่างนี้ จะไม่ให้ผู้คนรู้สึกหวาดหวั่นและตื่นเต้นไปกับเรื่องราวและบทบาทใหม่ที่เทย์เลอร์กำลังจะถ่ายทอดได้อย่างไรกัน
เมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา ตัวอัลบั้มก็ได้ถูกปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่าง ๆ โดยประกอบด้วยเพลงทั้งหมด 16 เพลง และข่าวดีสำหรับแฟน ๆ ที่ใจจดใจจ่อรอฟังผลงานเพลงใหม่ของเธอมาแสนนานคือภายในวันเดียวกันนั้น เทย์เลอร์ได้โพสต์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของเธอว่า อัลบั้มนี้จะเป็น ‘Double Albums’ หรือ ‘อัลบั้มคู่’ นั่นเอง อย่างที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นกับ ‘Folklore’ ที่มีอัลบั้มน้องสาวอย่าง ‘Evermore’ โดยจะมีเพลงใหม่ที่เพิ่มเข้ามา รวมเป็นทั้งหมด 31 เพลง อัลบั้มคู่ที่เพิ่มมา เธอให้ชื่อว่า ‘The Tortured Poets Department: The Anthology’ เธอบอกว่าเธอเขียนบทกวีเหล่านี้เอาไว้มากมายจริง ๆ และอยากจะแบ่งปันทั้งหมดนี้กับแฟน ๆ ของเธอจริง ๆ
โดยมีหนึ่งเพลงในนั้นที่จะถูกตัดมาเป็นซิงเกิ้ลแรกพร้อมมิวสิควิดีโอ นั่นคือเพลง ‘Fortnight (feat. Post Malone)’ ซึ่งถูกปล่อยในเช้าวันถัดมาตามเวลาประเทศไทย
ชื่อเพลง Fortnight มีความหมายว่า ‘สองสัปดาห์’ ในที่นี่หมายความว่าสองสัปดาห์แห่งความสุขที่เราสองได้รักกัน จากเนื้อเพลงทั้งหมด ผู้เขียนตีความได้ว่า นี่อาจจะเป็นเรื่องราวของชายหนุ่มที่แอบนอกใจภรรยาของเขาเพื่อมามีความสัมพันธ์กับหญิงสาวบ้านข้าง ๆ ก็เป็นได้
“And for a fortnight there we were forever runin’
‘Til you sometimes ask about the weather
Now you’re in my backyard, turned into good neighbors
Your wife waters flowers, I want to kill her”
“เมื่อสองสัปดาห์นั้นที่ความรักของเราเบ่งบาน จนมาตอนนี้ที่เธอเพียงแค่ถามเรื่องทั่ว ๆ ไป แล้วตอนนี้เธอก็ยังอยู่ที่สวนหลังบ้านของฉัน ทำตัวเป็นเพื่อนบ้านที่แสนดี แถมภรรยาของเธอก็กำลังรดน้ำต้นไม้ ฉันล่ะอยากจะกำจัดเธอไปให้พ้น ๆ ซะจริง”
ซีนแรกของมิวสิควิดีโอนั้นจะเป็นฉากเรียบ ๆ ที่มีชื่อเพลงปรากฏอยู่ตรงกลางภาพ ซีนนี้ทำให้นึกถึงยุคสมัยของ ‘หนังเงียบ’ อย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งการแต่งหน้า และโทนของมิวสิควิดีโอที่เป็นขาวดำ ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าเทย์เลอร์อาจจะได้รับแรงบันดาลใจนี้มาจากเพลงที่เธอเขียนถึงนักแสดงสาวในยุคสมัยหนังเงียบอย่าง ‘Clara Bow’ ซึ่งเป็นแทร็คสุดท้ายของอัลบั้มนั่นเอง
‘Clara Bow’ เป็นนักแสดงหนังเงียบที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1905 - 1965 เธอโด่งดังและโดดเด่นมาก และเรียกได้ว่านั้นเป็นยุคทองของเธอเลยก็ว่าได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ประวัติเรื่องราวชีวิตของเธอนั้นก็ไม่ได้สวยหรูเช่นเดียวกับผู้ประสบความสำเร็จท่านอื่น ๆ และนี่เองอาจจะเป็นเรื่องราวที่เชื่อมนักแสดงจากครั้งอดีตเข้ากับเทย์เลอร์ที่ตอนนี้เธอเองก็เป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลของยุคนี้ด้วยเช่นกัน
Clara Bow ไม่ใช่สตรีจากปี 1920 เพียงคนเดียวที่เทย์เลอร์เขียนถึง แต่ยังรวมไปถึง ‘Idina Sackbville’ ซึ่งเป็นหญิงสาวที่ถูกชาวบ้านขนาดนามว่า ‘The Bolter’ ที่ต่อมาเป็นแรงบันดาลใจให้เทย์เลอร์แต่งเพลงชื่อเดียวกันนี้
ประวัติโดยย่อของ Idina มีอยู่ว่า เธอเคยทิ้งสามีของเธอที่ได้ชื่อว่าเป็นชายหนุ่มที่ทรงเกียรติและดีเลิศไปเสียทุกด้าน เพียงเพื่อให้ได้ให้อยู่กับชายคนรักคนใหม่จากเคนย่า แต่ชายคนนี้ก็ยังไม่ใช่รักครั้งสุดท้ายของเธอ เพราะเธอแต่งงานใหม่และหย่าอีกราว 5 ครั้ง นั่นทำให้คนต่างประณามเธอ หรืออย่างที่เทย์เลอร์เขียนในเนื้อเพลงของเธอว่า ‘wh*re’ หรือ หญิงชั่ว
จากเรื่องราวทั้งหมด สามารถเดาได้ว่าเรื่องราวของ Idina นั้น มีส่วนคล้ายคลึงกับชีวิตของเทย์เลอร์อยู่ไม่มากก็น้อย เพราะเธอเองก็เคยโดยผู้คนประณามถึงความสัมพันธ์ที่ต้องเลิกราครั้งแล้วครั้งเล่าของเธอเช่นกัน
เพลงแทบทุกเพลงในอัลบั้มนี้ ล้วนแล้วแต่มีความรักเป็นส่วนประกอบ แม้ว่าจะมีความเจ็บปวดเป็นวัตถุดิบหลักก็ตาม อีกหนึ่งเพลงที่เธอพูดถึงความเจ็บปวดจากความรักในแง่มุมที่แตกต่างจากเพลงอื่น ๆ นิดหน่อย นั่นคือเพลง ‘I Can Do It With a Broken Heart’ ที่บอกเล่าถึงการก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาเจ็บปวดหลังจากคนรักเลิกรา และความแข็งแกร่งของเธอ ที่ยังคงเดินหน้า ทำสิ่งที่ต้องทำต่อไป อย่างที่กล่าวไว้ในเพลงว่า “Lights, camera, B*tch smile. Even when you wanna die — เมื่อไฟพร้อม กล้องพร้อม ฉันก็จะยิ้มอยากมีความสุข แม้ว่าจริง ๆ แล้วฉันจะอยากตายมากแค่ไหนก็ตาม” และช่วงท้ายของเพลงที่เธอพูดเสริมเข้ามาก่อนจบเพลงว่า “Cause I’m miserable and nobody even knows! Try and come for my job — เพราะเอาจริงฉันรู้สึกแย่มาก แต่ไม่มีใครรู้เลยสักคน ฉันพยายามเต็มที่เพื่องานของฉันนะ”
อีกหนึ่งเพลงที่ผู้เขียนค้นพบว่า เพลงที่มีประเด็นเป็นที่ฮือฮาในหมู่สวิฟตี้หรือว่าเหล่าแฟนคลับของเทย์เลอร์ไม่น้อยไปกว่าเพลงอื่น ๆ เลยคือเพลง “thanK you aIMee” พอจะสังเกตเห็นอะไรกันไหมคะ ใช่ค่ะ นั่นคือตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ในชื่อเพลงนั้นเองค่ะ ที่ถอดออกว่าจะได้ชื่อว่า K.I.M แฟนคลับของเธอเลยอดไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงไปถึง ‘คิม คาร์ดาเชียน’
คงต้องย้อนกลับไปเมื่อดราม่าครั้งใหญ่เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ ที่เทย์เลอร์มีเรื่องกับอดีตคู่สามีภรรยา คิม และคานเย่ เวสต์ จนเธอถูกผู้คนทั้งโลกอินเตอร์เน็ตเรียกว่าเธอมัน ‘Snake’ หรือ ‘นังงูพิษ’ และเทย์เลอร์ก็ให้กำเนิดอัลบั้มที่ชื่อว่า ‘Reputation’ ในที่สุด
แถมการซ่อน Secret message ผ่านตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ในเนื้อเพลงก็เป็นสิ่งที่เทย์เลอร์ชอบทำมาตั้งแต่สมัยอัลบั้ม ‘Speak Now’ อยู่แล้ว เรามาลองสังเกตเนื้อเพลงบางท่อนกันดีกว่าว่าอะไรกันที่เหล่าแฟนคลับสังเกตเห็นนอกเหนือจากที่เห็นในชื่อเพลง
“And so I changed your name and any real defining clues —แล้วฉันก็เลยเปลี่ยนชื่อเธอ เปลื่ยนทุกอย่างที่จะบ่งบอกว่าเป็นเธอ”
เนื้อเพลงท่อนนี้เองที่อาจจะเป็นการบอกกลาย ๆ ว่าเทย์เลอร์ตัดสินใจเรียกเธอด้วยชื่ออื่นในเพลงนี้ ซึ่งก็คือ aIMee หรือไม่
“Your kid comes home singing. A song that only us two is gonna know is about you — ลูกของเธอจะกลับบ้านพร้อมกับร้องเพลง ที่คงจะมีแค่เราสองคนเท่านั้นที่รู้ว่า ฉันเขียนถึงเธอ”
ตรงนี้ก็มีประเด็นอยู่ตรงที่ลูกสาวของคิมดันเป็นแฟนคลับตัวยงของเทย์เลอร์อย่างเปิดเผย แถมเพลงที่เทย์เลอร์กล่าวถึงว่าเป็นเพลงที่มีแต่พวกเธอเท่านั้นที่รู้ว่ามันเกี่ยวกับคิม ซึ่งอาจจะเป็นเพลงจากอัลบั้ม Reputation ก็ได้ หรือจะให้เจาะจงกว่านั้นก็คงต้องเป็นเพลง ‘Look What You Made Me Do’ ก็เป็นได้
ทฤษฎีนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันใด ๆ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้บนแอคเคานท์อินสตาแกรมของคิมได้รับคอมเม้นท์จากเหล่าสวิฟตี้เป็นชื่อเพลงอย่างล้นหลาม
‘The Tortured Poets Department’ แน่นอนว่าต้องเป็นที่จับตาของนักวิจารณ์เพลง หรือเหล่าผู้คร่ำหวอดในวงการเพลงอย่างแน่นอน เพราะอัลบั้มนี้ถือได้ว่าเป็นอัลบั้มที่เทย์เลอร์ถึงขั้นเรียกตัวเองว่าเป็นกวีอย่างเต็มตัวแล้วล่ะก็ ย่อมต้องแสดงให้เห็นถึงการเรียบเรียงเลือกสรรถ้อยคำอย่างหลักแหลม และความสามารถในการเขียนเพลงของเธอที่ยังคงพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่มีวันหยุดพักให้ประจักษ์ได้อย่างแน่นอน
แล้วไหนจะยังข้อความ การเปรียบเปรยที่เธอซ่อนเอาไว้ในเพลง ที่ทำให้เหล่าแฟนเพลงอดไม่ได้ที่ตั้งใจเพลงเหล่านั้น และพยายามถอดรหัสข้อความออกมาเป็นเรื่องราวให้จงได้
ตอนนี้เราคงทำได้เพียงจับตามองว่าผลงานชิ้นนี้จะสร้างปรากฏการณ์ใดหรือซ่อนอะไรเอาไว้อย่างที่ทุกผลงานของศิลปินผู้ทรงอิทธิพลแห่งยุคอย่าง ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ สร้างมาตลอด
เรื่อง : ปิยวรรณ พลพุทธ
ภาพ : อินสตาแกรม taylorswift
อ้างอิง :
Taylor Swift’s Eras Tour Is the Highest-Grossing of All Time and First-Ever to Hit $1 Billion
This Taylor Swift Theory About “The Bolter” Points To A Scandalous Woman
All the hidden literary references in Taylor Swift's The Tortured Poets Department