16 ม.ค. 2568 | 20:00 น.
KEY
POINTS
“เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์เคยเขียนไว้ว่า
‘โลกใบนี้เป็นสถานที่ที่ดีและควรค่าแก่การต่อสู้เพื่อมัน’
ผมเห็นด้วยแค่ส่วนหลัง..”
ในความเป็นมนุษย์ เมื่อเผชิญกับความขุ่นเคืองย่อมเป็นธรรมดาที่ใครสักคนก็ต้องพยายามขยับหนี ในวันนี้ห้องน้ำสกปรกเราก็ย่อมหาวันชะล้าง ในวันที่เตียงคละคลุ้งไปด้วยไรฝุ่นก็ย่อมต้องซัก ทว่ามีอยู่สองกรณีที่อาจพาให้ใครสักคนต้องจำยอมอยู่ในสถานะเช่นเดิมนั้นโดยไม่ขยับตัวเองออกมา — ประการแรกคือการยอมจำนนต่อเรี่ยวแรงที่ต้องใช้เพื่องัดตัวเองออกมาจากความโสมม ประการต่อมาคือการสยบยอมต่อความเลวทรามที่รายล้อมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนหลงลืมและคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือเรื่องธรรมดา
เป็นเวลา 30 ปีแล้วที่ ‘Se7en’ (หรือ ‘Seven’ ซึ่งผมจะขอสะกดแบบนี้ เพื่อไม่ให้รกสายตาผู้อ่าน) ที่ปรากฎตัวครั้งแรกบนจอเงินและโลดแล่นอยู่ในความทรงจำของทุกคนทั่วทั้งโลกอย่างไม่เลือนหายไป ไม่น่าแปลกนัก ภาพยนตร์ของผู้กำกับเจ้าระเบียบ ‘เดวิด ฟินเชอร์’ (David Fincher) เป็นอย่างนั้น ภาพยนตร์ที่เปรียบเป็นผู้น้องอย่าง ‘Fight Club’ ที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายของ ชัก พอลานิก (Chuck Palahniuk) ก็ยังคงสั่นสะเทือนโลกภาพยนตร์ ทั้งในมิติของการเล่าเรื่อง หรือปรัชญาชีวิตต้านทุนนิยมมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่ต้องพูดถึง Gone Girl, The Social Network หรือแม้แต่ Zodiac ที่ก็บรรจุเสน่ห์เฉพาะตัวไว้ไม่ต่างกัน
ไม่ใช่หนังสืบสวน-สอบสวนทุกเรื่องที่จะถูกเรียงร้อยและนำเสนอออกมาเฉกเช่น Seven แน่ล่ะ หนังเรื่องนี้ฝังอยู่ในหัวของใครหลายคนเพราะการหักมุมที่ไม่ไว้ชีวิตแม้แต่ผู้ชม หรือแม้แต่การนำเสนอความสยองขวัญแบบใบหน้าของชายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังแอปเปิลของภาพวาดจากปลายพู่กันของเรอเน มากริตต์ ที่ยิ่งซ่อนยิ่งชวนให้อยากรู้มากกว่าเดิม—หรือแม้แต่จินตนาการอะไรที่สยองกว่าเดิม
แต่อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้กลิ่นคาวเลือดของภาพยนตร์เรื่องนี้ฟุ้งอยู่ในโลกภาพยนตร์นานถึงเพียงนี้ อาจเป็นเพราะการที่เรื่องราวทั้งหมด แม้จะเดินทางมาถึงจุดจบ แต่ไม่มีอะไรเลยที่ ‘จบ’ ซ้ำร้าย มันยังทำให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนกว่าเดิมว่ารากปัญหาที่แท้จริงที่ผลิดอกออกผลจนกลายเป็นความหฤโหดแบบในเรื่องคืออะไรกันแน่
ในบทความนี้ The People จะพาไปสำรวจโลกของภาพยนตร์เรื่อง Seven ผ่านตัวละครหลักทั้งสามตัวในเรื่อง ตั้งแต่ นักสืบเดวิด มิลส์, นักสืบวิลเลียม ซอมเมอร์เซ็ท และจอห์น โด
นักสืบหน้าใหม่ไฟแรงนามว่า ‘เดวิด มิลส์’ (David Mills) ที่นำแสดงโดย แบรด พิตต์ (Brad Pitt) นับว่าทำหน้าที่ตัวละครเอกได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะในแง่ของมุมมองและไฟที่ตัวของเขามีต่อโลกและไฟที่จะลากคอฆาตกรมารับผิดให้ได้ หากลองย้อนนึกดู แท้จริงแล้วมุมมองของมิลส์ก็แทบไม่ต่างอะไรจากผู้คนส่วนใหญ่ที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นครั้งแรก—เปี่ยมไปด้วยหวัง เต็มไปด้วยไฟ และเอ่อล้นไปด้วยเรี่ยวแรงที่จะไล่ล่าฆาตกรผู้เหี้ยมโหดนี้ เป็นภาพแทนของผู้ชมที่ก้าวเข้ามาดูหนังเรื่องนี้ด้วยความหวัง และอารมณ์ร่วมที่พร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อจับคนร้ายให้ได้
แต่แม้ว่ามิลลส์จะเป็นภาพแทนแห่งความหวัง แต่ตัวเขาเองก็เป็นภาพแทนแห่งความผิดหวังเช่นเดียวกัน
และเมื่อไปประกบคู่กับซอมเมอร์เซ็ทเราจึงได้เห็นขั้วตรงข้ามกันอย่างชัดเจนระหว่างนักสืบที่เพิ่งเริ่มงานใหม่กับนักสืบที่กำลังจะเกษียณ เราก็จะได้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างความใจร้อนกับใจเย็น แต่ในมุมมองที่น่าสนใจไปกว่านั้น ระหว่างมิลลส์กับซอมเมอร์เซ็ท เขาทั้งสองคือภาพแทนระหว่าง ‘ความไร้เดียงสา’ (Naïve) กับ ‘ความเย็นชาต่อโลก’ (Cynical) อีกด้วย
ดังที่สะท้อนอย่างชัดเจนว่าคนหนึ่งมองว่าจะต้องจับ จอห์น โด ให้ได้ แต่อีกคนกล่าวว่า
“เรื่องนี้มันจบไม่สวยแน่ ๆ”
— วิลเลียม ซอมเมอร์เซ็ท
แต่ภายหลังจากที่ผ่านรอบแรกหรือรอบที่สองไปแล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าผู้ชมหลายคนน่าจะเริ่มจะขยับจากมุมมองของมิลลส์ไปเป็นแบบซอมเมอร์เซ็ทแทน
“เด็กเห็นหรือเปล่า?”
ถ้าจำไม่ผิด นี่น่าจะเป็นประโยคแรก (ๆ) ที่นักสืบกร้านโลก ‘วิลเลียม ซอมเมอร์เซ็ท’ (William Somerset) นำแสดงโดย มอร์แกน ฟรีแมน (Morgan Freeman) กล่าวขึ้นในเรื่องขณะที่พวกเขาอยู่ในสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมหนึ่งก่อนที่จะโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนกล่าวตอกกลับมาทำนองว่า “มึงจะไปสนอะไรนักหนากับการที่เด็กจะเห็นหรือเปล่า” ซึ่งถือเป็นการฉาพภาพมุมมองและจุดยืนของนักสืบที่กำลังจะเกษียณภายในเจ็ดวันนี้ได้อย่างชัดเจน ซึ่งเราจะเอ่ยถึงในลำดับต่อไป
แน่นอนว่าซอมเมอร์เซ็ทเป็นคนใจเย็น เขานอนสงบสติอารมณ์กับเครื่องเมโทรโนม อีกทั้งยังหยิบปืนขึ้นมาใช้เพียงไม่กี่ครั้งตลอดอาชีพนักสืบ แต่ที่สำคัญไปกว่าความใจเย็น โลกที่รายล้อมเขาอยู่นั้นได้กล่อหลอมให้เขา—ไม่ได้เป็นเหมือนคนอื่น แต่—หมดศรัทธาและความหวังว่าเพื่อนมนุษย์จะส่งสังคมไปในที่ ๆ ดีกว่านี้ได้ เขาไม่เชื่อว่าใครสักคนที่จะเติบโตขึ้นมาบนสังคมแบบนี้เดินหน้าไปสู่อนาคตที่ดีได้
ทว่าท่ามกลางความไม่เชื่อเหล่านั้น สิ่งที่ซอมเมอร์เซ็ททำไม่ใช่การกระชากคอเสื้อเพื่อไถ่ถามว่าทำไมเอ็งเป็นแบบนี้ แต่คือการปิดปากเงียบและตั้งคำถามกับตัวเองไปพร้อม ๆ กับจ้องมองและศึกษาธรรมชาติของคนที่เขาหวังจะเข้าใจ
จนบางทีซอมเมอร์เซ็ทเองก็ได้ค้นพบคำตอบดังที่เขาอธิบายกับมิลส์ในบาร์แห่งหนึ่งว่า ‘บางทีการปล่อยตัวเองไปกับยาเสพติดก็ง่ายกว่าการยืนหยัดสู้ชีวิต มันง่ายที่จะขโมยกว่าการคว้ามาอย่างสุจริต และมันง่ายกว่าที่จะทุบตีลูกแทนที่จะมุ่งมั่นเลี้ยงเขาให้เป็นคนดี’ สะท้อนให้เห็นว่าในโลกที่ยากลำบาก สาเหตุที่ผู้คนหันหน้าเข้าหาสิ่งที่เป็นบาป เพราะบางทีมันง่ายกว่าเมื่อเทียบกับการยืนหยัดแบบถูกต้อง
ในขณะเดียวกันมันก็สะท้อนให้เห็นถึงความเย็นชาและเลิกหวังที่จะเปลี่ยนโลกของเขาอีกด้วย เพราะบางทีการปล่อยให้อะไรบางอย่างเน่าเฟะไปเสียเลย ก็น่าจะดี และน่าจะเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่าการยืนหยัดต่อสู้เพื่อหวังจะเปลี่ยนแปลงบางสิ่งที่กลายเป็น ‘สันดาน’ ของสิ่ง ๆ บางสิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว—ซึ่งก็หนีไม่พ้นความดำมืดที่ได้ปกคลุมเมืองที่พวกเขาอยู่
“ถ้าเราจับ จอห์น โด ได้ และปรากฎว่าตัวเขาคือปีศาจที่จำแลงกายมา… ก็แสดงว่ามันมีปีศาจอยู่จริง… อย่างนั้นก็น่าจะช่วยอธิบายเหตุผลว่าทำไมโลกนี้ถึงเป็นเช่นนี้ได้ดีเลยล่ะ”
แต่แม้จะรู้สึกเย็นชาและกร้านโลกที่ใช้ชีวิตอยู่ แต่ซอมเมอร์เซ็ทเองก็ไม่ได้ปล่อยจอยและปล่อยทุกอย่างไปกับสายน้ำ ตัวเขาเองก็ยังมุ่งหวังที่จะปกปักรักษาผู้คนที่ยังใสสะอาดอยู่ โดยเฉพาะเยาวชนที่กำลังเติบโตขึ้นมา ดังที่สะท้อนผ่านคำถามของเขาที่เกริ่นไปในบรรทัดแรกของหัวข้อนี้ นอกจากนั้น แม้จะเห็นความชั่วช้ามาหลายรูปแบบ มันก็ยังไม่สามารถให้คำตอบกับเขาได้อย่างชัดเจนว่าไฉนโลกใบนี้ถึงเป็นแบบนั้น เว้นเสียแต่จะลองสมมุติว่ามีปีศาจอยู่จริง
ขยับไปแถว ๆ ฉากสุดท้าย หากใครพอจะจำได้ ตอนที่พวกเขาทั้งสามคนกำลังนั่งอยู่บนรถที่กำลังวิ่งไปที่ทุ่งร้างที่มีเสาไฟฟ้าค้ำหัว ในขณะที่มิลส์กำลังเยาะเย้ย ถากถาง และก่นด่าจอห์น โด ที่นั่งอยู่ข้างหลังรถ ท่าทีของซอมเมอร์เซ็ทนอกจากการถามคำถามอย่างเข้าใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็คือการจดจ่อฟังคำตอบของชายที่นั่งอยู่ข้างหลัง ทว่าสีหน้าของเขากลับไม่ได้บ่งชี้ถึงความเห็นต่างเลยแม้แต่น้อย
หนึ่งในคำพูดของ วิลเลียม ซอมเมอร์เซ็ท ที่สรุปแนวคิดและมุมมองของผู้เขียน ในฐานะคนที่ได้ดู Seven มาหลายครั้งได้อย่างดีเยี่ยม
“ผมแค่ไม่คิดว่าผมจะอยู่ต่อไปได้ในที่ที่ยอมรับและหล่อเลี้ยงความเฉยเมย ราวกับว่ามันเป็นคุณธรรม”
บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ วิลเลียม ซอมเมอร์เซ็ท เห็นตรงกับ จอห์น โด
“ถ้าอยากให้ผู้คนรับฟัง แค่แตะไหล่พวกเขาเบา ๆ คงไม่พออีกต่อไป แต่คุณต้องใช้ค้อนปอนด์ฟาดลงไป แล้วคุณถึงจะสังเกตได้ทันทีว่าพวกเขาสนใจขึ้นมาทันใด”
น่าแปลก แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินความเป็นจริง ที่ตัวเอกฝั่งธรรมะจะเห็นตรงกับวายร้ายฝ่ายอธรรมอย่างพูดไม่ออก มันไม่สำคัญว่าเขาเป็นใคร จบการศึกษาแบบไหน หรือเติบโตมาในครอบครัวแบบใด แต่มันเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าว่าสังคมแบบไหนที่ปลุกให้ ‘จอห์น โด’ (John Doe) ที่สวมบทบาทโดย เควิน สเปซีย์ (Kevin Spacey) ลุกขึ้นมาก่อเหตุฆาตกรรมต่อเนื่องที่แยบยลถึงเพียงนี้
หนึ่งเหตุผลที่อาจจะพอตอบคำถามว่า ‘ทำไมกลิ่นคาวเลือดของ Se7en ยังคงคละคลุ้งในโลกภาพยนตร์มาจนถึงทุกวันนี้?’ อาจจะแฝงอยู่ในตัวละครอย่าง จอห์น โด แน่นอนเพราะการแสดงอันมหัศจรรย์ของสเปซีย์ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น คือคาแร็คเตอร์อย่างจอห์น โด
ปมที่ปลุกให้เขาลุกขึ้นมาก่อเหตุเช่นนี้ไม่ใช่เพราะถูกเพื่อนแกล้งสมัยยังวัยเยาว์ หวังจะแก้แค้นให้กับพี่ชาย หรือเติบโตขึ้นมาในครอบครัวอันเลวร้าย แต่มันคับคล้ายคับคลาว่าเป็นทุกอย่าง ‘รวมกัน’ ไม่ใช่ว่าตัวเขาเจอมาทุกรูปแบบ แต่เป็นเพราะสรรพสิ่งที่กล่าวมานั้น เมื่อหลอมรวมกันก็คือ ‘สังคม’ รอบตัวเรานี้เอง
จอห์น โด ในแง่หนึ่งก็อาจจะไม่ต่างจากซอมเมอร์เซ็ท ในแง่ที่ตัวเขาได้จ้องมองบาปมหันต์เดินว่อนอยู่ทั่วทุกมุมถนน และมุ่งศึกษาและหาคำตอบว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ทว่าพวกเขาทั้งสองแตกต่างกันตรงที่การลงมือ คนหนึ่งเลือกที่จะไม่เหนี่ยวรั้งความเป็นไป เพียงแต่ปกปักรักษาบางส่วน แต่อีกคนหนึ่งอุทิศชีวิตเพื่อลงทัณฑ์ทุก ๆ คน แม้แต่ตัวของเขาเอง
บางทีนี่อาจเป็นทางออกที่คนจอห์น โด พอจะนึกออกว่าเป็นไปได้ที่สุด เป็นวิธีที่อาจจะเตือนให้พวกเขาทั้งหลายตระหนักรู้และตื่นจากวังวนแห่งความโสมม เป็นอัศวินแห่งรัตติกาลในโลกแห่งความจริง
แต่อีกหนึ่งสิ่งที่ทั้งซอมเมอร์เซ็ทและจอห์น โด ทิ้งเอาไว้เหมือนกัน และมันจะดูเป็นปุ๋ยชนิดสำคัญที่ช่วยพรวนผืนดินแห่งบาปมหันต์ดำเนินต่อไปได้อย่างงอกงามคือ ‘ความเพิกเฉย’ หรือ ‘ความชินชา’ ต่อสรรพสิ่งรอบตัวราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา และเมื่อใดที่บาปถูกมองเป็นเรื่องธรรมดา มันก็จะคละคลุ้งอยู่ทั่วไปไม่หมดสิ้น
“เราเห็นบาปมหันต์อยู่ทุกหัวมุมถนน และเรายอมรับมัน เมินเฉยต่อมัน จนมันกลายเป็นเรื่องธรรมดา มองมันเป็นเรื่องเล็กน้อย เราโอบรับมันตั้งแต่เช้า ไปจนถึงสาย บ่าย เย็น”
สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้อมตะมาจนถึงทุกวันนี้อาจเป็นเพราะใครหลายคนที่ได้ชมและเห็นถึงวายร้ายที่แท้จริงของเรื่องนี้ พลังที่อยู่เบื้องหลังบาปมหันต์ทั้งปวง สิ่งที่ปลุกให้คนแบบจอห์น โดตื่นขึ้นและทำอะไรแบบนี้ และตอนจบของมันดูเหมือนกับบอกเราเป็นกลาย ๆ ว่าวายร้ายของเรื่องนี้คือใคร และสิ่งที่พวกเราทุกคนเห็นในเรื่องนี้เป็นเพียงผลพวงของมันเท่านั้น
ดังที่ซอมเมอร์เซ็ทกล่าวในตอนท้ายสุด ว่าเขาเห็นด้วยกับประโยคหนึ่งของ เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์
‘โลกใบนี้เป็นสถานที่ที่ดีและควรค่าแก่การต่อสู้เพื่อมัน’
คุณเห็นด้วยกับทั้งสองประโยคไหม?
ภาพ : ภาพยนตร์และโปสเตอร์ Se7en