A Conversation with the Sun : งานศิลปะล้ำยุคที่ชวนตื่นตาไปกับ ‘วัฏจักรแห่งความตาย’

A Conversation with the Sun : งานศิลปะล้ำยุคที่ชวนตื่นตาไปกับ ‘วัฏจักรแห่งความตาย’

A Conversation with the Sun นิทรรศการศิลปะโดย ‘เจ้ย-อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล’ เป็นส่วนหนึ่งของ เทศกาลหนังทดลองกรุงเทพฯ ครั้งที่ 7 (BEFF7) โดยนำศิลปะภาพยนตร์มาผสมผสานกับเทคโนโลยีวีอาร์ สร้างโลกเสมือนที่เต็มไปด้วยสัญญะเกี่ยวกับวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด

KEY

POINTS

  • อรรถรสที่ทั้ง ‘ซื่อตรง’ และ ‘หลุดกรอบ’ ของความเป็นภาพยนตร์ ด้วยผสานเทคโนโลยีเข้ากับศิลปะภาพเคลื่อนไหว
  • ประสบการณ์ร่วมที่สามารถทำให้ผู้ชมมองเห็นกันและกันเป็นตัวละคร ภายในโลกที่เต็มไปด้วยอุกกาบาตและมวลแสงประหลาด
  • ดาวเคราะห์รกร้างอาจเป็นตัวแทนของวัฏสงสาร และจุดแสงสีขาวก็อาจเป็นตัวแทนเหล่าดวงวิญญาณของมนุษย์
     

เริ่มจากโควิด ช่วงที่เราทุกคนหันมองตัวเอง ตอนนั้นอยู่ที่เชียงใหม่ สังเกตการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่เกิดจากพระอาทิตย์ทำให้แสงเปลี่ยนไป มันเกิดจากการอยู่กับตัวเองและเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า การตีความของแต่ละคนขึ้นอยู่กับประสบการณ์ บางคนตีความเป็นเรื่องคุณยายที่เสียไป บางคนตีความเป็นเรื่องการเมือง

คือคำพูดที่สะท้อนถึงแรงบันดาลใจและจุดหมายในการสร้างงานศิลปะ ‘A Conversation with the Sun บทสนทนากับดวงอาทิตย์’ ของผู้กำกับ ‘เจ้ย - อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล’ เจ้าของผลงานขวัญใจนักวิจารณ์อย่าง ‘ลุงบุญมีระลึกชาติ’ ‘สัตว์ประหลาด!’ และ ‘Memoria’ ผู้ต้องการสร้างงานศิลปะที่แตกต่างจากภาพยนตร์กระแสหลัก (Mainstream) เน้นให้ผู้ชมหยิบยกไปตีความโดยปราศจากคำตอบที่ถูกต้อง โดยผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘BEFF7’ หรือ ‘7th Bangkok Experimental Film Festival’ (เทศกาลหนังทดลองกรุงเทพฯ ครั้งที่ 7) ณ วัน แบงค็อก ฟอรัม ภายใต้ธีม ‘Nowhere Somewhere’ (ไร้ที่ มีทาง) ซึ่งเป็นการกลับมาจัดครั้งแรกหลังห่างหายไปนานถึง 12 ปี

A Conversation with the Sun เป็นศิลปะที่สามารถเรียกได้ว่า ทั้ง ‘ซื่อตรง’ และ ‘หลุด’ จากศาสตร์ภาพยนตร์ในเวลาเดียวกัน โดยเป็นการใช้เทคโนโลยี ‘VR’ (Virtual Reality) สร้าง ‘สภาพแวดล้อมเสมือน’ ให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในโลกที่ศิลปินสร้างขึ้น ผ่านแว่นวีอาร์ซึ่งจะตัดขาดผู้สวมใส่จากโลกภายนอก บังคับให้มองเห็นและจดจ่ออยู่แต่กับโลกเสมือน

นิทรรศการจะแบ่งผู้เข้าชมเป็นรอบ รอบละหนึ่งชั่วโมง โดย 30 นาทีแรกคือการที่ผู้ชมจะได้เดินอยู่ในห้องมืดกว้างใหญ่ มีจอโปรเจกเตอร์ฉายฟุตเทจบางอย่างอยู่ตรงกลาง ในรอบนี้ ผู้ชมอาจสัมผัสได้ถึงความอิหลักอิเหลื่อ เนื่องจากไม่เข้าใจในฟุตเทจเหล่านั้น ประกอบการต้องเดินสำรวจห้องสี่เหลี่ยมมืดทึบอย่างเรื่อยเปื่อย ไร้จุดหมาย

A Conversation with the Sun : งานศิลปะล้ำยุคที่ชวนตื่นตาไปกับ ‘วัฏจักรแห่งความตาย’

กระทั่งเข้าสู่ครึ่งชั่วโมงสุดท้าย ทีมงานจะทำการสวมแว่นวีอาร์ให้ผู้ชมทีละคน นั่นคือตอนที่เราจะได้มองเห็นกันและกันเป็นจุดแสงสีขาว ล่องลอยในสภาพแวดล้อมผิดแปลก ระหว่างเดินสำรวจ สิ่งรอบตัวจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงเพื่อบอกเล่าสารที่อภิชาติพงศ์ต้องการสื่อ การรับชมครึ่งหลังนี้เองที่เราจะได้เข้าใจว่า การเดินดูฟุตเทจชวนสับสนในครึ่งชั่วโมงแรกมีขึ้นเพื่อสิ่งใดกันแน่

นั่นคือสาเหตุที่ศิลปะทดลองเรื่องนี้ ทั้งซื่อตรงและหลุดกรอบ เพราะหากนิยามคำว่าภาพยนตร์ในฐานะภาพเคลื่อนไหวที่บอกเล่าเรื่องราว A Conversation with the Sun ก็เห็นจะสอดคล้อง ทั้งยังยกระดับด้วยการพาผู้ชมเข้าสู่โลกใหม่ได้อย่างเต็มศักยภาพ แต่หากนิยามตามความคุ้นเคยของคนส่วนใหญ่ มันก็คงเป็นภาพยนตร์ที่หลุดกรอบ ทั้งในแง่วิธีการนำเสนอ และแก่นสารซึ่งไปไกลพอ ๆ กับเนื้อเรื่องที่พูดถึงดาราศาสตร์ การเวียนว่ายตายเกิด ไปจนถึงภูตผีวิญญาณ
A Conversation with the Sun : งานศิลปะล้ำยุคที่ชวนตื่นตาไปกับ ‘วัฏจักรแห่งความตาย’

อรรถรสครบวงจรในวัฏจักรแห่งความตาย

อภิชาติพงศ์กล่าวว่า การออกแบบศิลปะทดลองชิ้นนี้ไม่สามารถ ‘คิดแบบหนัง’ เพราะประสบปัญหาโดยเฉพาะในการวาดสตอรี่บอร์ด จึงต้องเปลี่ยนเป็น ‘คิดแบบเวที’ ทุกตารางนิ้วถูกออกแบบอย่างละเอียด ยังไม่นับรวมถึงการที่สภาพแวดล้อมไม่ได้หยุดนิ่ง หากแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โลกเสมือนตลอดทั้งสามสิบนาทีจึงเป็นงานที่หนักหนา และใช้เวลาในการสร้างนานนับปี

อภิชาติพงศ์เลือกนำเสนออรรถรสรูปแบบเดียวกับภาพยนตร์ นั่นคือใช้ทั้งภาพและเสียง เริ่มจากในครึ่งชั่วโมงแรก โปรเจกเตอร์จะฉายภาพวิถีชีวิตของคนกลุ่มหนึ่ง เป็นการแช่ภาพทิ้งเอาไว้เนิ่นนาน ราวกับต้องการให้ผู้ชมจดจำและหาทาง ‘อิน’ ไปกับสีหน้าท่าทางของพวกเขา ก่อนที่อรรถรสจะถูกส่งต่อให้กับภาพในแว่นวีอาร์ ปรากฏเป็นดาวเคราะห์ซึ่งถูกจู่โจมด้วยอุกกาบาต มีมวลแสงทรงกลมคล้ายดวงอาทิตย์ ‘ร่วงลง’ สลับกับ ‘โผล่ขึ้น’ จากพื้นผิว วนเวียนซ้ำ ๆ เป็นวัฏจักร ก่อนที่ในตอนท้าย เราในฐานะผู้ที่อยู่ในโลกใบนั้นจะค่อย ๆ ลอยสู่มวลแสง เคลื่อนผ่านเขาหินและแท่งไฟลึกลับ

ภาพดังกล่าวใช้ดนตรีเดียวกันเป็นพื้นหลัง เพียงแต่ในครึ่งแรก ดนตรีนั้นจะทำหน้าที่สร้างความฉงน อึดอัด กดดันไปกับสีหน้าถมึงทึงของตัวละครในฟุตเทจ ก่อนที่ในครึ่งหลัง จะช่วยเพิ่มความความตื่นตาตื่นใจให้กับปรากฏการณ์ในดาวเคราะห์ปริศนา ผ่านการออกแบบของนักประพันธ์เพลงระดับตำนานอย่าง ‘ริวอิจิ ซากาโมโต้’ (Ryuichi Sakamoto) ที่ทำให้ผู้ชมไม่อาจละสายตาได้ในทุก ๆ วินาทีที่เสียงเหล่านั้น ‘กลืน’ ไปกับสภาพแวดล้อม โดยอภิชาติพงศ์ได้พูดถึง ‘ความรู้สึกในดนตรี’ นี้ว่า

 

ซากาโมโต้เป็นเพื่อนทางด้านจิตใจ... [A Conversation with the Sun] เป็นงานชิ้นเกือบสุดท้ายของเขา ถ้าเรามิกซ์เสียงแล้วฟังดี ๆ เปียโนที่เขาเล่นจะได้ยินเสียงหายใจของเขาด้วย

 

เทคโนโลยีคืออีกสิ่งหนึ่งที่อภิชาติพงศ์เล่าว่า ต้อง ‘ทดลอง’ หลายต่อหลายครั้งไม่ต่างจากการสร้างงานศิลปะ โดยเขาและทีมงานชาวญี่ปุ่นต้องประยุกต์วิธีการอันหลากหลาย ทั้งในด้านอินฟาเรดซึ่งส่งผลโดยตรงต่อตัวรับสัญญาณบนแว่น รวมไปถึงเส้นนำทางบนพื้น อันเป็นสิ่งที่อุปกรณ์จะทำการวิเคราะห์ เพื่อถ่ายทอดออกมาเป็นโลกอันสมจริง และปลอดภัยสำหรับการที่ผู้ชมจะเดินสำรวจรอบห้องโดยไม่ใช้การมองเห็น

 

A Conversation with the Sun : งานศิลปะล้ำยุคที่ชวนตื่นตาไปกับ ‘วัฏจักรแห่งความตาย’

 

เมื่อ ‘ประสบการณ์ร่วม’ ทำให้ผู้ชมด้วยกันกลายสภาพเป็น ‘ตัวละครผี’

 

“ประสบการณ์ร่วมมีค่ามาก

ถึงเราจะโดนสะกดจิตคนละแบบก็ตาม

 

คือประโยคที่อภิชาติพงศ์นิยามหนึ่งในคุณค่าของการทดลองนี้ โดยสำหรับผู้ที่ชื่นชอบภาพยนตร์ ‘ประสบการณ์ร่วม’ อาจหมายถึงการได้ฟังเสียงหัวเราะความขบขัน หรือเสียงร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งของบรรดาเพื่อนร่วมโรง ทว่าสำหรับ A Conversation with the Sun ประสบการณ์ดังกล่าวไปไกลกว่าแค่การรับอรรถรสร่วมกัน แต่เป็นการ ‘มองเห็น’ กันและกันเป็น ‘ตัวละคร’ แบบเรียลไทม์

ตัวละครในโลกเสมือนคือ ‘จุดแสงสีขาว’ อันเป็นตัวแทนผู้ชมทุกคนในห้อง หากมองในเชิงเทคนิค มันคงมีไว้เพื่อความปลอดภัย ด้วยไม่ต้องการให้ผู้ชมเดินสะเปะสะปะ ก่อนจะลงเอยด้วยการเหยียบเท้าหรือชนกัน แต่หากมองในเชิงศิลปะ สิ่งที่เราจะได้เห็นในโลกเสมือนคือบรรดาจุดแสงที่กำลังออกสำรวจดาวเคราะห์ด้วยความสับสนเช่นเดียวกับตัวเราเอง รวมไปถึงการได้เห็น ‘รีแอกชัน’ ที่หลากหลาย แสงบางจุดอาจยืนนิ่ง สดับฟังเสียงและพิจารณาภาพโดยรอบ ในขณะที่บางจุดอาจเดินวน เคลื่อนเข้าหาอุกกาบาตรที่กำลังร่วงหล่น หรือมวลแสงซึ่งกำลังผุดขึ้นจากพื้นอย่างอยากรู้อยากเห็น

เมื่อพิจารณาจากภาพชีวิตผู้คนหลากหลายช่วงวัยในจอโปรเจกเตอร์ที่ได้รับชมก่อนสวมแว่นวีอาร์ ก็อาจตีความได้ว่า A Conversation with the Sun กำลังพูดถึง ‘วัฏสงสาร’ หรือการเวียนว่ายตายเกิด ผู้ชมในช่วงสามสิบนาทีแรกต่างก็เป็นมนุษย์ผู้ยังมีลมหายใจ ร่วมรับรู้ชีวิตของมนุษย์คนอื่น ๆ เป็นกิจวัตรอันสามัญ ก่อนจะกลายสภาพเป็นวิญญาณในครึ่งหลัง ออกสำรวจโลกหลังความตายพร้อมกับบรรดาดวงจิตที่ร่วมรับชมภาพชีวิตเหล่านั้นด้วยกันตั้งแต่ในทีแรก

การ ‘ลอยสู่มวลแสง’ ในตอนจบเป็นตัวแทนของการ ‘ไปเกิดใหม่’ หรือ ‘การนิพพาน’ ก็สุดรู้ เพราะนั่นคือตอนที่ศิลปะทดลองเรื่องนี้จบลง พร้อมขึ้นข้อความให้ถอดแว่นวีอาร์ออก กลับสู่โลกแห่งความจริงที่เราต้องเผชิญกับชีวิตอันน่าเหนื่อยหน่าย ไม่ต่างจากตัวละครบนหน้าจอโปรเจกเตอร์เหล่านั้น

บางที อภิชาติพงศ์อาจต้องการให้ผู้ชมตระหนักว่า ชีวิตอันน่าเหนื่อยหน่ายก็มีสิ่งชวนพิศวงรออยู่ในโลกหลังความตาย และชีวิตที่ดูกระจ้อยร่อยของเรา แท้จริงแล้ว กระจ้อยร่อยยิ่งกว่าที่เราเคยคิดไว้เสียอีก จึงเลือกพาผู้ชม ‘พูดคุยกับดวงอาทิตย์’ เจ้าของฐานะ ‘ยักษ์ใหญ่’ แห่งระบบสุริยะ ซึ่งกำลังกลืนกินดาวเคราะห์อันเปรียบเสมือนบ้านของสิ่งมีชีวิตเล็กจ้อยอย่างพวกเรา

 

เพราะอยาก ‘ทดลอง’ จึงไม่ยอมถูกจำกัดโดย ‘พื้นที่’

A Conversation with the Sun จัดแสดงในหอประชุมซึ่งถูกขึงด้วยผ้าดำสี่ทิศ กั้นเป็นพื้นที่ให้ผู้ชมเดินสำรวจอย่างอิสระ ซึ่งสามารถพูดได้เต็มปากว่า ‘การทดลอง’ ชิ้นนี้ประสบความสำเร็จในการพิสูจน์ว่า ‘ภาพยนตร์’ ไม่จำเป็นต้องนั่งชมในสถานที่จำกัดเพียงอย่างเดียว

อภิชาติพงศ์เล่าว่า ภาพยนตร์ทดลองเรื่องนี้มีการคารวะ ‘ภาพยนตร์เรื่องแรกสุดของโลก’ นั่นคือ ‘ภาพเขียนผนังถ้ำ’ ซึ่งปรากฏเป็น Easter Egg ผ่านลวดลายแผ่นหินบนดาวเคราะห์ แสดงให้เห็นว่าในทัศนะของผู้กำกับเอง ภาพยนตร์ดูจะเป็นสิ่งที่ลื่นไหล เข้ากันได้กับการนำเสนอทุกรูปแบบ นั่นคือสาเหตุที่ ‘ภาพยนตร์ทดลอง’ (Experimental Film) เป็นศิลปะที่ผู้ชมควรลองมาเปิดประสบการณ์รับชมดูสักครั้ง

หากพูดถึงภาพยนตร์ทดลอง หลายคนคงจินตนาการถึงหนังรางวัล เข้าถึงได้ยาก อีกทั้งยังกระจัดกระจายไม่เป็นหลักแหล่ง หาชมได้ยากกว่าภาพยนตร์กระแสหลักซึ่งเพียงซื้อตั๋วหน้าบ็อกซ์ออฟฟิศหรือสมัครบัญชีกับสตรีมมิ่ง ก็สามารถรับชมได้ ด้วยเหตุนี้ ‘พื้นที่’ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับศิลปะทดลอง และสำหรับ BEFF7 หรือ 7th Bangkok Experimental Film Festival ในคอนเซปต์ ‘ไร้ที่ มีทาง’ พื้นที่ดังกล่าวได้มาปรากฏอยู่ในแลนด์มาร์คระดับโลกใจกลางกรุงเทพฯ อย่างวัน แบงค็อก เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนมากหน้าหลายตาสามารถเข้าร่วมการ ‘ทดลอง’ เสพสื่อศิลปะอันแปลกใหม่นี้

A Conversation with the Sun เป็นเพียงงานศิลปะชิ้นหนึ่งเท่านั้น ภายในนิทรรศการยังมีทั้งโปรแกรมฉายหนังสั้นทดลอง การแสดงดนตรีสด ศิลปะจัดวาง เรื่อยไปจนถึงการเวิร์กชอปสัมมนาที่หลากหลาย รอคอยให้ผู้ชื่นชอบงานศิลปะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง เพื่อพิสูจน์ว่า ศิลปะแนวทดลอง แม้จะมีพื้นที่จัดแสดงแสนจำกัดจนอาจดูเหมือน ‘ไร้ที่’ แต่ก็ยัง ‘มีทาง’ อยู่ในห้องทดลองสาธารณะที่ทุกคนสามารถเข้ามาดื่มด่ำกับสุนทรียะเฉพาะตัวของมันอย่างไร้ข้อจำกัด

เทศกาล BEEF7 จัดแสดง ณ วัน แบงค็อก ตั้งแต่วันนี้ ถึง 2 กุมภาพันธ์ 2568 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ beffth.com