จาก ‘ชายกลาง’ สู่ ‘คุณชายน์’ เมื่อความน้ำเน่าเบาสมองคือยาใจในชีวิตเส็งเคร็ง

จาก ‘ชายกลาง’ สู่ ‘คุณชายน์’ เมื่อความน้ำเน่าเบาสมองคือยาใจในชีวิตเส็งเคร็ง

ทัศนะเกี่ยวกับ ‘ละครน้ำเน่า’ ในภาพยนตร์คุณชายน์ และละครเวทีชายกลาง เดอะมิวสิคัล กับคำถามเรื่องพัฒนาการของละครโทรทัศน์ไทย

KEY

POINTS

  • สาเหตุที่คนชอบเสพ ‘ละครน้ำเน่า’ ในทัศนะจากภาพยนตร์เรื่องคุณชายน์ และละครเวทีชายกลาง เดอะมิวสิคัล 
  • ประวัติศาสตร์ตั้งแต่ Soap Opera ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรก มาจนถึงละครโทรทัศน์เรื่องแรกของประเทศไทย
  • คำถามถึงอนาคตของละครน้ำเน่าในประเทศไทยว่า ‘เมื่อไหร่น้ำเน่าจะได้รับการระบาย’

บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์

เรื่อง คุณชายน์ (The Cliché 2024) และละครเวที ชายกลาง เดอะมิวสิคัล

 

“จบแบบนี้แหละ ชีวิตจริงใคร ๆ ก็จบแบบนี้กันทั้งนั้น หนีความตายไม่พ้น”

คือประโยคที่ สมชาย (แสดงโดย จ๋าย-อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี) นักเขียนแนวสะท้อนสังคมผู้ถูกความจนบังคับให้เขียนนิยายตลาด หยิบยกมาอธิยายสาเหตุที่ตน ‘ฆ่าตัวละคร’ หมดทั้งเรื่อง อันเป็นฉากสำคัญก่อนเข้าสู่ช่วงไคลแม็กซ์ของละครเวที ‘ชายกลาง เดอะมิวสิคัล’ ซึ่งไม่เพียงสะท้อนความคิดของตัวละคร แต่ยังยั่วล้อกับแก่นของเรื่องที่ว่าด้วย ‘นิยายน้ำเน่า’ กับ ‘วรรณกรรมสร้างสรรค์’

โดย ‘นิยายน้ำเน่า’ ในทัศนะของสมชาย เห็นจะเป็นนิยายที่มีเนื้อเรื่อง ‘เวอร์วัง’ ตัวละครทำดีได้ดีเสมอไป ทำชั่วได้ชั่วเสมอไป พร้อมตอนจบที่เต็มไปด้วยความสุขสมหวัง ส่วน ‘วรรณกรรมสร้างสรรค์’ ที่เขาชอบเขียนคือการตีแผ่ความเลวร้ายในสังคม ที่ซึ่งคนไม่ดีอาจประสบความสำเร็จ และคนดีก็อาจตกระกำลำบาก ก่อนทุกอย่างจะจบลงด้วยโศกนาฏกรรม อันเป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยครั้งในชีวิตจริง

และในปี 2024 ที่ละครเวทีเรื่องนี้ถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในชื่อ ‘คุณชายน์’ (The Cliché) ผู้สร้างก็ยังคงรักษาแก่นเรื่องเดิมเอาไว้ เพียงแค่เปลี่ยนชนิดของสื่อจาก ‘นวนิยาย’ เป็น ‘ละครโทรทัศน์’ ซึ่งอาจสามารถทำให้ผู้ชม ‘เห็นภาพ’ มากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่ว่าจะเป็นคนยุคไหน ก็ย่อมได้ยินคำว่า ‘ละครน้ำเน่า’ จนชินหู ยังไม่นับรวมถึงคำวิพากษ์วิจารณ์ว่า ละครไทยมีเนื้อเรื่องไม่สร้างสรรค์ วนในอ่างเสมือนน้ำที่ขังอยู่จนเน่า มีแต่เรื่องตบตี ชิงรักหักสวาท ไปจนถึงความรักต่างชนชั้นที่ไม่มีวันเป็นไปได้

แต่หากละครเป็นสิ่งที่ ‘ไม่สร้างสรรค์’ จริง เหตุใดจึงครองใจคนไทยมานานกว่าหกทศวรรษ และวาทกรรมที่ว่า ละครน้ำเน่าไม่ได้สร้างประโยชน์แก่สังคม แท้จริงแล้ว มันไม่ก่อประโยชน์ใดเลย หรือเพียงแค่ผู้กล่าวมีรสนิยมไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์ของผู้สร้าง

ชายกลาง เดอะมิวสิคัล และ คุณชายน์ ต่างก็ตอบคำถามนั้น ในฐานะจดหมายรักถึง ‘เรื่องราวน้ำเน่า’ ที่ทำให้ผู้ชม ‘เข้าใจ’ ถึงตัวตนและคุณค่าของสื่อประโลมฝันเหล่านี้มากยิ่งขึ้น

“จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าศิลปินผู้รักในสื่อสร้างสรรค์ต้องหันมาสร้างงานน้ำเน่าประโลมโลก”

ข้อความดังกล่าวคือไอเดียหลักของทั้งเวอร์ชันภาพยนตร์และละครเวที ตัวละครหลักอย่างสมชายมีอคติล้นใจกับความน้ำเน่า แต่ชีวิตกลับบังคับให้ต้องจับพลัดจับผลูมาทำงานที่ตนดูหมิ่น มิหนำซ้ำ ผู้สร้างยังมอบตัวละครที่เป็น ‘ปรปักษ์ทางความคิด’ มาในฐานะ ‘คนรัก’ ผู้คอยให้กำลังใจอยู่เคียงข้าง แต่ขณะเดียวกัน ก็รู้สึกพอใจที่เขาต้องหันมาทำงานน้ำเน่าเบาสมอง จนเกิดการปะทะคารมณ์ด้วยประเด็นเหล่านี้อยู่หลายครั้ง

ตลอดการดำเนินเรื่อง ผู้สร้างได้พาตัวละครไปเผชิญกับสถานการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งทำให้เจ้าตัวค้นพบว่า ‘ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร’ ไปจนถึงบทสรุปที่ตอกย้ำให้ทั้งสมชายและผู้ชมเข้าใจอย่างพร้อมเพรียงว่า ‘บางครั้ง คนเราก็ต้องการความโลกสวยประโลมฝัน มาเยียวยาจิตใจในโลกอันโหดร้าย’

ภาพคนรักที่ค่อย ๆ หมดลมหายใจ แต่กลับเลือกตั้งคำถามถึงชะตากรรมของตัวละครในนิยาย แทนที่จะเอ่ยคำสั่งเสีย คงเป็นเรื่องตลกร้ายสำหรับสมชาย แต่นั่นคือสิ่งที่ทรงพลังพอจะทำให้เขาเปลี่ยนความคิด แต่งเรื่องเสียใหม่ให้มีตอนจบงดงาม เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายก่อนที่อีกฝ่ายจะตายจาก (ก่อนจะฟื้นขึ้นอีกครั้งในภายหลัง) ซึ่งหากมองย้อนกลับไป จะพบว่าคนรักของเขา ‘ถวายความสุขในชีวิต’ ไว้กับความน้ำเน่าอยู่แล้วตั้งแต่ในทีแรก

“หนึ่งชีวิต หนึ่งมนุษย์ หนึ่งความขมขื่นเท่านั้น ความจริงจึงเหยียดเย้ยหยัน เพราะมองมันซ้ำซากเวียนวน ตั้งคำถามกับความเหงา ไม่มีเสียงตอบสักหน จึงยอมปลอมแปลงตัวตน เขียนนิยายไว้กล่อมตัวเอง สร้างโลกใหม่...”

คือเนื้อเพลงช่วงกลางเรื่องจากละครเวทีที่สะท้อนความอัดอั้นของหญิงสาวผู้ถูกสามีต่อว่าเป็นประจำ นำมาสู่การอ่านนิยายเพื่อจินตนาการตัวเองเป็นนางเอก เคียงคู่ ‘ท่านชาย’ ผู้งามพร้อมทั้งหน้าตาและนิสัย ตรงกับแนวคิดเกี่ยวกับ ‘การเล่น’ (Play) ที่ ‘โรเจอร์ ซิลเวอร์สโตน’ (Roger Silverstone) นักสังคมศาสตร์ผู้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสื่อโทรทัศน์ หยิบยกมาอธิบายว่า สื่อบันเทิงเป็นพื้นที่ที่เอื้อให้มนุษย์ตั้งกฎเกณ์ตามชอบ สนองความต้องการที่ไม่อาจเกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน

ด้วยเหตุนี้ คำกล่าวที่ว่า ความน้ำเน่าเป็นปรปักษ์กับความคิดสร้างสรรค์จึงอาจจะไม่จริงนัก เพราะในทางตรงกันข้าม ความน้ำเน่าได้อนุญาตให้ผู้ชมใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตนอย่างเต็มที่ และสำหรับคำวิจารณ์ที่อาจกล่าวต่อว่า ความน้ำเน่าทำให้ผู้ชมจมอยู่แต่กับความเพ้อฝัน ไม่รู้จักมองโลกตามความเป็นจริง ก็เห็นจะไม่ใช่เรื่องเสียหาย หากมันอยู่ในฐานะ ‘ยาใจ’ ที่มีสรรพคุณในการพาเราหลีกหนีจากชีวิตอันน่าเหนื่อยหน่าย

นักจิตวิเคราะห์ชื่อดังอย่าง ‘ซิกมันต์ ฟรอยด์’ (Sigmund Freud) เคยแสดงทัศนะว่า โลกความจริงกับโลกจินตนาการมีลักษณะเป็น ‘สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกันเสมอ’ (Coexistence) เนื่องจากการจะคิดเพ้อต่อยอดจากเรื่องราวพาฝันล้วนต้องพึ่งพาประสบการณ์จริงมาประยุกต์เข้าด้วยกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คนไทยรู้สึกคุ้ยเคยกับการที่ละครน้ำเน่ามักออกอากาศสลับกับรายการข่าว ซึ่งเป็นการนำเสนอสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกจริง

และด้วยผังสื่อหลักที่มีรูปแบบเช่นนั้น จึงทำให้ละครน้ำเน่ากลายเป็นความสุขสามัญประจำบ้านของผู้ชมชาวไทยมาตั้งแต่ยุคหลังสงครามโลก เป็นความทรงจำในวัยเด็กของผู้คนมากมาย หากเข้าไปถาม เชื่อว่าไม่น้อยต้องตอบว่า ละครคือสิ่งที่พวกเขาคิดถึง และยังคงยึดมั่นเสพอรรถรสจากหน้าจอโทรทัศน์ต่อไป แม้ในยุคที่ใครต่อใครพูดว่า “ละครไทยกำลังจะตาย”

ก่อนจะเป็น ‘ละครน้ำเน่า’ เคยเป็น ‘ละครสบู่’ มาก่อน

หากมองย้อนกลับไป จะพบว่าละครน้ำเน่าไม่ได้เพิ่งถูกลดทอนคุณค่าในสังคมปัจจุบัน แต่โดนวิพากษ์จากนักวิชาการในฐานะสื่อ ‘เกียรติภูมิต่ำ’ (Low Prestige) มาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม

จุดเริ่มต้นของคำว่าละครน้ำเน่าที่คนไทยเรียกจนชินปาก ต้องย้อนกลับไปที่คำว่า ‘Melodrama’ ซึ่งเกิดจากการผสมคำว่า ‘Melody’ (ท่วงทำนอง) และ ‘Drama’ (การแสดงหรือเรื่องราว) โดยคำว่า ‘ท่วงทำนอง’ อาจหมายความอย่างตรงตัวถึงดนตรีประกอบ และสามารถตีความว่าเป็น ‘ท่วงทำนองในอารมณ์ของมนุษย์’ อันเป็นหัวใจหลักของ Melodrama ซึ่งเน้นขับเคลื่อนเรื่องราวด้วยมวลอารมณ์อันหลากหลายของตัวละคร

วัฒนธรรมการนำเสนอ Melodrama เป็นตอน ๆ แบบเดียวกับละครโทรทัศน์ในปัจจุบันเกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อละครวิทยุเรื่อง ‘Painted Dreams’ เริ่มออกอากาศในปี 1930 เป็นจำนวนสัปดาห์ละ 6 ตอน โดยมี ‘อิรนา ฟิลลิปส์’ (Irna Phillips) เป็นผู้เขียนบทและลงเสียง เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการความรักและการแต่งงานซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มผู้ฟังเพศหญิงโดยเฉพาะ

หลังจากนั้น ละครรูปแบบ ‘Serialisation’ หรือการแบ่งตัดเรื่องราวเป็นตอน ๆ ซึ่งเป็นรูปแบบที่หยิบยืมมาจากการตัดแบ่งนวนิยายเพื่อเผยแพร่ในนิตยสาร ก็ขยับขยายจากสื่อวิทยุมายังโทรทัศน์ แต่ด้วยสาระที่น้อยกว่ารายการประเภทจริงจัง (Serious) หรือรายการการเมือง (Political) อย่างข่าวหรือสารคดี ซึ่งมีฐานะเป็น ‘สื่อทรงคุณค่า’ ในสมัยนั้น Melodrama จึงยังไม่ถูกยอมรับเท่าที่ควร แม้ละครเรื่อง ‘Coronation Street’ จะได้รับการพูดถึงทั่วอังกฤษในทศวรรษที่ 1960 และสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะรายการโทรทัศน์ที่เรตติ้งสูงที่สุดในประเทศก็ตาม

หากพูดถึง Melodrama คาดว่าคนไทยหลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า ‘อุปรากรสบู่’ (Soap Opera) อันเนื่องจากกลุ่มผู้ชมที่มักเป็นเพศหญิง จำเพาะไปยัง ‘แม่บ้าน’ ผู้เหนื่อยหน่ายกับการปัดกวาดเช็ดถูบ้านระหว่างวัน ผู้อุปถัมป์ (Sponsor) ส่วนมากจึงมักเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์สบู่ ยาสระผม น้ำยาล้างจาน อีกทั้งการนำเสนอแบบตัดแบ่งเป็นตอน ๆ ก็เอื้อให้ผู้ผลิตสอดแทรกโฆษณาเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ในส่วนของประเทศไทย Soap Opera ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในพ.ศ. 2498 เมื่อสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม นำการแสดงละครพูดพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 เรื่อง ‘โพงพาง’ มาเผยแพร่ออกอากาศ ตามมาติด ๆ ด้วย ‘สุริยานีไม่ยอมแต่งงาน’ ในวันที่ 5 มกราคม ปีถัดมา ซึ่งนับได้ว่าเป็นละครที่เขียนบทขึ้นเพื่อออกอากาศทางโทรทัศน์เรื่องแรกของประเทศไทย

หลังจากนั้น ละครไทยก็ได้รับควานิยมขึ้นเรื่อย ๆ ในฐานะศิลปะที่คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของ Melodrama หรือการขับเคลื่อนด้วยมวลอารมณ์ เน้นเรื่องราวที่จะพาผู้ชมหนีออกจากโลกความจริง ด้วยการสร้างภาพชีวิตอันสวยสดงดงาม อย่างรักแรกพบระหว่างชนชั้น ผู้ชายที่สมบูรณ์พร้อมเสียทุกอย่าง หรือการค้นพบทีหลังว่าตนเป็นทายาทตระกูลสูงศักดิ์

และด้วยเนื้อเรื่องที่วนซ้ำอยู่กับที่ จึงเกิดเป็นคำเรียกอันหลากหลาย ตามประเภทของเรื่องราวที่ถูกนำเสนอ โดยนอกจาก ‘ละครน้ำเน่า’ ก็เห็นจะมีคำว่า ‘ละครหลังข่าว’ ‘ละครตบจูบ’ ‘ละครผัว ๆ เมีย ๆ ’ ‘ละครรัก ๆ ใคร่ ๆ ’ ‘ละครแนวชิงรักหักสวาท’ ‘ละครแนวอิจฉาริษยา’ ไปจนถึง ‘ละครประโลมโลกย์’ ซึ่งคำหลังหมายถึง ‘โลกียะ’ อันสื่อถึงการวนเวียนอยู่กับชีวิตทางโลก ไม่หลุดพ้นไปไหนเสียที

ทั้งหมดที่กล่าวมา จะเห็นว่าคำเรียกส่วนมากมักส่อความหมายไปในเชิงลบ ไม่เน้นว่าร้ายเนื้อเรื่องที่จำเจ ก็เน้นบอกเล่าถึงความ ‘ไม่มีสาระ’ แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังมีคำว่า ‘ละครแนวชีวิต’ ซึ่งอาจไม่ค่อยได้ยินแล้วในปัจจุบัน เป็นการสื่อความหมายกลาง ๆ ว่าเป็นเรื่องราวที่มุ่งเน้นไปยังการต่อสู้ชีวิต อนึ่ง การต่อสู้ชีวิตนั้นก็คือสิ่งที่ทำให้ผู้ชมเกิด ‘Involvement’ หรือที่พูดเป็นภาษาปากว่า ความ ‘อิน’ นั่นเอง

แล้วเมื่อไหร่ ‘น้ำเน่า’ จะได้รับการระบาย?

ในโซเชียลมีเดียยุคหลัง ความคิดเห็นที่กล่าวในเชิงว่า ‘ไม่ดูละครไทย’ เพราะดูไปก็เจอแต่พล็อตซ้ำ ๆ เมียน้อยเมียหลวงตบตีกัน แม่ผัวเกลียดลูกสะใภ้ พระเอกโง่ ตัวร้ายกรี๊ด เรื่อยไปจนถึงงานสร้างที่ ‘ทำไม่ถึง’ บทพูดที่ขาดความไหลลื่น ตรรกะสุดพิลึกอย่างการติดหนวดเพื่อปลอมตัวเป็นผู้ชาย หรือการแสดงที่เล่นใหญ่ยิ่งกว่าละครเวที ซึ่งหากมองย้อนกลับไป ก็อาจพบว่าความคิดเห็นเหล่านั้นมีส่วนถูก เพียงแต่การจะหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาปรามาสละครไทยทุกเรื่องก็คงไม่ยุติธรรมนัก และถึงแม้จะเจาะจงพูดถึงเฉพาะเรื่องที่มีคุณภาพดังที่กล่าวมา การว่าร้าย ‘งานศิลปะ’ ชิ้นหนึ่งว่าไร้คุณค่า ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม เพราะในความเป็นจริงแล้ว ละครไทยก็ไม่ต่างอะไรกับศิลปะสักชิ้นที่ต้องมีทั้งคนชอบและคนเกลียด

เริ่มต้นจากประเด็นแรก นั่นคือการ ‘เหมารวม’ ว่าละครไทยมีคุณภาพแบบเดียวกันทั้งหมด ซึ่งหากติดตามวงการบันเทิงหลังยุคโควิด-19 เป็นต้นมา ก็จะรู้ชัดว่าห่างไกลจากความเป็นจริง ละครไทยหลายต่อหลายเรื่องนับได้ว่ามีคุณภาพและความเป็นศิลปะเทียบเท่าสากล ทั้งในแง่ของงานสร้าง มุมกล้อง การจัดแสง เครื่องแต่งกาย และอุปกรณ์ประกอบฉาก ก็ดูจะได้รับการพัฒนา เห็นได้จากละครในปี 2024 หลายเรื่อง เช่น ‘แม่หยัว’ ‘ทิชา’ หรือออริจินัลซีรีส์ที่มีความเป็นละครไทยสูงอย่าง ‘สืบสันดาน’ ที่สามารถเผยแพร่ในสตรีมมิ่งระดับโลกอย่าง Netflix ได้อย่างไม่น้อยหน้า

แม้กระทั่งบทที่หลายคนปรามาสว่าจมจ่อมอยู่แต่กับประเด็นผัว ๆ เมีย ๆ ในยุคนี้ วงการละครก็ได้นำเสนอเรื่องราวที่แตกต่างอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะในปี 2024 ที่ละครหลายเรื่องหยิบยกประเด็นสังคมมาตีแผ่ ตั้งแต่เรื่องราวของโสเภณีสมัยอยุธยาพร้อมประเด็นร่วมสมัยอย่างสิทธิของผู้ประกอบอาชีพ Sex Worker ใน ‘บางกอกคณิกา’ เรื่องของชนกลุ่มน้อยและปัญหาการค้ามนุษย์ใน ‘ทิชา’ ประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับศีลธรรมและจรรยาบรรณทางการแพทย์ใน ‘การุณยฆาต’ ประเด็นการฟ้องร้องในครอบครัวที่ผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายลุกขึ้นมาปกป้องลูกและเกียรติของตนเอง

หรือหากย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ละครไทยที่มีเนื้อเรื่อง ‘แปลกใหม่’ ก็มีปรากฏให้เห็นไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็นการสืบคดีฆาตกรรมซ่อนเงื่อนอย่าง ‘กาหลมหรทึก’ การลุกขึ้นมาแก้แค้นผู้ชายของผู้หญิงคนหนึ่งอย่าง ‘ล่า’ และอื่น ๆ อีกมากมายที่หลุดจากกรอบของการตบตีแย่งผู้ชายและแม่ผัวเกลียดลูกสะใภ้ไปหลายขุม 

ประเด็นต่อมาคือคำถามที่ว่า ‘เมื่อไหร่ละครไทยจะพัฒนา’ ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องคุณชายน์ และละครเวทีชายกลาง เดอะมิวสิคัลเอง ก็ชวนให้ตกผลึกเป็นคำถามใหม่ว่า ‘ละครไทยจำเป็นจะต้องถูกเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลจริงหรือ’

เป็นเรื่องจริงอย่างถ่องแท้หากจะกล่าวว่า ‘การพัฒนา’ คือสิ่งที่ควรเกิดขึ้นกับสื่อทุกชนิดบนโลก และการที่ละครไทยทุกเรื่องในอนาคตมีงานสร้างที่ ‘ทำถึง’ ก็นับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การลบล้างความ ‘เพ้อฝันประโลมโลก’ ของมันจนหมดสิ้น ยังคงเป็นประเด็นที่ควรตั้งคำถาม

เพราะแท้จริงแล้ว วาทกรรมที่ว่าละครไทยไม่ก่อประโยชน์แก่ผู้ใดนั้น เป็นข้อเท็จจริง หรือเป็นเพียงทัศนะและรสนิยมส่วนตัวกันแน่ ดังจะเห็นได้ว่า ผู้ชมกลุ่มใหญ่ก็ยังคงชอบที่จะพาตัวเองเข้าสู่โลกเสรีใบนั้น หรือกระทั่งมีความสุขกับการ ‘ปลอมแปลงตัวตน เขียนนิยายไว้กล่อมตัวเอง’ เหมือนกับตัวละครคนรักของสมชาย ไม่ได้ต้องการเสพเนื้อเรื่องที่ซับซ้อน สะท้อนสังคมอันน่าเจ็บปวด เพราะชีวิตที่ต้องกระเสือกกระสนเอาตัวรอดก็น่าเจ็บปวดพออยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพลวัตของสื่อในอนาคตจะนำพาละครไทยไปในทิศทางไหน ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ภาพรอยยิ้มของผู้ที่ปลอมแปลงตัวตนเหล่านั้น สะท้อนให้เห็นว่าละครน้ำเน่าก็สามารถนับเป็นศิลปะที่มีศักยภาพในการมอบความสุขให้กับมนุษย์

และไม่ว่าผู้เขียนจะมีรสนิยมแบบไหน ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ตอนจบของภาพยนตร์เรื่องคุณชายน์ และละครเวทีชายกลาง เดอะมิวสิคัล ได้สร้างมุมมองต่อเรื่องราวน้ำเน่าเบาสมองได้แปลกใหม่ ซาบซึ้ง ปลอบประโลมจิตใจที่จมจ่อมกับชีวิตเส็งเคร็งได้ชะงัด

 

เว็บไซต์

สื่อสิ่งพิมพ์

  • กาญจนา แก้วเทพ, (2545), สื่อบันเทิง : อำนาจแห่งความไร้สาระ, กรุงเทพฯ : ออล อเบ้าท์ พริ้น