Slow Down : ชุบชีวิต (ไอเดีย) คาร์ล มาร์กซ์ มาต่อกรกับปัญหาสิ่งแวดล้อม

Slow Down : ชุบชีวิต (ไอเดีย) คาร์ล มาร์กซ์ มาต่อกรกับปัญหาสิ่งแวดล้อม

ว่าด้วยหนังสือ ‘Slow Down’ ที่เขียนโดย ‘โคเฮ ไซโตะ’ (Kohei Saito) ที่ว่าด้วยอีกกระแสความคิดในการต่อกรกับปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยแนวคิด Degrowth Communism

KEY

POINTS

  • เศรษฐกิจสีเขียว เติบโตอย่างยั่งยืน หรือธุรกิจรักษ์โลก อะไรก็ตามที่ถูกประดับประดาด้วยคีย์เวิร์ดเทือก ๆ เดียวกันนี้ล้วนทำให้เราสบายใจว่ามันจะ ‘ดีต่อโลก’ แต่มันได้ผลจริงไหม? เพราะบางที ‘วิสัยของทุนนิยม’ และ ‘สันดานของตลาด’ อาจไม่มีทางอ่อนข้อให้กับเจตนารมณ์ในการรักษาสิ่งแวดล้อม
  • แนวคิดแบบ คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ที่ถูก ‘ชุบชีวิต’ ขึ้นมาเป็นฉบับที่อัปเดตแพทช์แล้วไม่ใช่แบบเดิมที่เรามักเห็นมันล่มสลายจนชินตา
  • โลกใบนี้ไม่มีทรัพยากรมากเหลือพอถึงขั้้นที่จะสนองความต้องการที่ถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อนของมวลมนุษย์ได้

โลกใบนี้กำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ที่สั่งสมมานาน ทรัพยากรที่เคยมีอยู่ค่อยเหลือน้อยลง ในขณะที่มลพิษนานาอย่างค่อย ๆ สั่งสมอยู่ในทุกระดับชั้น ตั้งแต่ผินดินและสมุทรขยับขึ้นไปถึงชั้นบรรยากาศ ตามมาพร้อมกับปรากฎการณ์นานาอย่างที่เป็นอาการบอกเหตุว่า ‘โลกกำลังมีปัญหา’ ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมเห็นตรงกันในข้อนี้ 

ถึงกระนั้น เมื่อพูดถึง ‘วิธีแก้ไข’ แน่นอนว่า ‘ความยั่งยืน’ ย่อมเป็นกรอบแนวคิดหลักในการรับมือกับปัญหา ไม่ว่าจะในมิติของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การบริโภคทรัพยากร หรือแม้ว่าการเติบโตของสังคม ว่าจะเดินหน้าไปอย่างไรให้ ‘โต’ อย่าง ‘ยั่งยืน’ กว่าก้าวก่อน ๆ ที่ผ่านมา 

ในขณะเดียวกันก็มีอีกสายธารความคิดที่มองว่าการโตอย่างยั่งยืนนั้น เป็นทางแก้ไขปัญหาที่ไม่ยั่งยืนและไม่มีประสิทธิภาพเสียเท่าไหร่นัก ในทางกลับกันการตั้งโจทย์ใหม่ผ่านกรอบแนวคิดที่ละทิ้งการเติบโตออกไป อาจนำมาซึ่งหนทางแก้ไขที่ได้ผลมากกว่าเดิม

 

Slow Down : ชุบชีวิต (ไอเดีย) คาร์ล มาร์กซ์ มาต่อกรกับปัญหาสิ่งแวดล้อม

Slow Down: How Degrowth Communism Can Save The Earth

by Kohei Saito

 

Slow Down’ หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า ‘Slow Down: How Degrowth Communism Can Save The Earth’ ที่เขียนโดย ‘โคเฮ ไซโตะ’ (Kohei Saito) และตีพิมพ์ในปี 2024 จะชวนผู้อ่านสำรวจแนวคิดกระแสแนวคิดใหม่ ๆ ในการต่อกรกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่โลกเผชิญในปัจจุบัน ซึ่งแนวคิดใหม่ที่ว่า — ตามจริง ถ้าใช้คำว่า ‘ปัดฝุ่นใหม่’ น่าจะเข้าที่เข้าทางกว่า — ก็คือแนวคิดแบบ ‘มาร์กซิสต์’ (Marxist) จาก ‘คาร์ล มาร์กซ์’ (Karl Marx) ผู้ที่แนวคิดของเขาเป็นทั้งแรงบันดาลใจ เป็นทั้งบทเรียนในหน้าหนังสือ เป็นทั้งตัวอย่างทางปรัชญาความคิด และเป็นทั้งผีร้ายหลอกหลอนตลอดมา

ในภาพรวม หนังสือเล่มนี้พยายามจะบอกว่าโดยรากสันดานของระบบทุนนิยม (Capitalism) ไม่มีทางเลยที่อยู่ร่วมกันอย่างหยินหยางกับสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้ได้ เพราะกลไกและกติกาของตัวระบบมันหล่อหลอมให้ทุก ๆ องค์ประกอบมุ่งเป้าหาผลิตภาพที่มากขึ้น แข่งขันกันกอบโกยทุนให้มากขึ้น และโตขึ้นในทุก ๆ วินาที จนผู้ที่แบกรับกรรมนอกเหนือจากแรงงานที่ถูกขูดรีดแล้วก็หนีไม่พ้นทรัพยากรธรรมชาติ

โคเฮ ไซโตะ ผู้เขียนก็ได้วิจารณ์ต่อถึงแนวคิดความเขียวรักษ์โลกที่นำหน้าด้วยคำว่า ‘Green’ ทั้งหลายแหล่ ว่าดูสวยหรูเพียงเปลือก เพราะเมื่อดำดิ่งลึกลงไปแล้วกลับเต็มไปด้วยภาพลวงตาและ ความย้อนแย้งอีกเพียบ หนังสือเล่มนี้เลยพยายามจะชี้ให้เห็นว่าต้องเป็นการจัดสรรทรัพยากรแบบคอมมิวนิสต์ (Communism) เท่านั้น และไม่ใช่คอมมิวนิสต์แบบธรรมดาด้วย แต่ต้องเป็น ‘Degrowth Communism’ ที่จะพาเราหลุดพ้นจากตรงนี้ไปได้

มาร์กซ์อีกแล้ว หลายคนอาจแอบคิด แน่นอนว่าหนังสือเล่มนี้ที่เผยแพร่ในปี 2024 เลือกที่จะกลับมานำเสนอไอเดียใหม่ ๆ พร้อมกับนามอันเลื่องลือของชายคนนี้ ทว่าชื่อ ๆ นี้อาจแฝงไปด้วยความหมายที่แตกต่างออกไปเมื่อโคเฮ ไซโตะ ผู้เป็นนักวิชาการที่ศึกษาแนวคิดของมาร์กซ์อย่างเจาะลึกพยายามนำเสนอว่า ‘มาร์กซ์เปลี่ยนไปแล้ว’ เพราะมาร์กซ์ที่จะถูกนำเสนอในหนังสือเล่มนี้ อาจไม่ใช่มาร์กซ์ (คนเดิมขนาดนั้น) ที่เรามักรู้จักหรือเคยชิน โดยหนังสือได้นำเสนอ ‘การขยับ’ (Shifts) ทางมุมมองความคิด ครั้งต่าง ๆ ทางแนวคิดของ คาร์ล มาร์กซ์ ตั้งแต่แรกไปจนถึงช่วงสุดท้ายที่ไม่ได้ตีพิมพ์งานอย่างเป็นทางการแล้ว

ในบทความนี้ไล่เรียงประเด็นสำคัญที่โคเฮ ไซโตะพยายามจะนำเสนอผ่าน Slow Down ตั้งแต่ปัญหาของแนวคิดเศรษฐศาสตร์เคนส์เชิงสิ่งแวดล้อม การขยับทางกรอบความคิดของคาร์ล มาร์กซ์ ไปจนถึงเหตุผลว่าทำไมโลกใบนี้อาจต้องการความช้าลงกว่าที่เคยเป็น

‘ความเขียว’ ที่ย้อนแย้งยิ่ง

ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เติบโตอย่างยั่งยืน Green Growth หรือ ธุรกิจสีเขียว (Green Business) อะไรก็ตามที่ถูกประดับประดาด้วยคีย์เวิร์ดเทือก ๆ เดียวกันนี้ ล้วนทำให้เราสบายใจว่ามันจะ ‘ดีต่อโลก’ ว่ามันเป็นกรอบการควบคุมที่จะทำให้เราเติบโตไปได้พร้อม ๆ กับรักษาโลกนี้ไปด้วย แต่สิ่งที่หนังสือเล่มนี้พยายามจะบอก — เรียกว่าเป็นข้อถกเถียงหลักของหนังสือเล่มนี้เลยก็ว่าได้ — คือ หากหวังจะกอบกู้โลกใบนี้เอาไว้ ต้องหยุดคิดเรื่องการเติบโตเสียก่อน! เพราะไส้ในของมันเต็มไปด้วยทั้งกับดักและความย้อนแย้งมากมายเต็มไปหมด

โคเฮ ไซโตะ ยกตัวอย่างที่น่าสนใจมาหลายกรณี เริ่มต้นจาก ‘ภาวะย้อนแย้งของเจวอนส์’ (The Jevons Paradox) ที่หนังสือเล่มนี้ใช้ถกเถียงว่าทำไมการ ‘เลิกพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ’ (Environmental Decoupling) หรือความหวังที่จะ ‘เพิ่มประสิทธิภาพ’ เพื่อให้ใช้ทรัพยากรต่อหนึ่งหน่วยการผลิตในปริมาณที่น้อยลงมันจะไม่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่คาดหวัง 

หากคิดกันเพียงฉากหน้า ถ้าทรัพยากรถูกใช้น้อยลงจะสามารถบรรเทาภาระที่ธรรมชาติถูกบังคับให้ต้องแบกได้จากการผลิตในสังคมเราได้ แต่ภายใต้สังคมที่มีกติการคือ ‘การเติบโตทางเศรษฐกิจ’ เหล่าทรัพยากรส่วนเกินเหล่านั้นก็จะถูกกวาดรวมไปผลิตเพิ่มอยู่ดี 

เพื่อให้เห็นภาพ เมื่อมนุษย์เราคิดค้นแอร์ที่ไม่กินไฟมากขึ้นมาและคาดหวังให้เทคโนโลยีนี้เป็นการ decoupling ไปในตัว ทว่าเมื่อมันไม่กินไฟ คนก็แห่กันไปซื้อเพราะมันคุ้ม หรือไม่คนก็พากันเปิดทั้งวี่ทั้งวันเพราะค่าไฟมันไม่แพงเท่าเก่า จนผลรวมท้ายสุดชดเชยกันจนแทบไม่ต่าง นี่คือตัวอย่างของข้อถกเถียงที่ โคเฮ ไซโตะ พยายามจะบอกว่า decoupling มันไม่ได้ผล (นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องกรอบเวลาเลยด้วยนะครับ ว่าถ้าจะให้ทัน ต้องไม่ใช่แค่ Relative Decoupling, Absolute Decoupling แต่ต้องเป็น Sufficient Absolute Decoupling ซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะไปถึงจุดนั้น)

 

Slow Down : ชุบชีวิต (ไอเดีย) คาร์ล มาร์กซ์ มาต่อกรกับปัญหาสิ่งแวดล้อม

An Illustration of the Jevons Paradox

retrieved from Eamon Haughey

 

Slow Down : ชุบชีวิต (ไอเดีย) คาร์ล มาร์กซ์ มาต่อกรกับปัญหาสิ่งแวดล้อม

รูปแบบต่าง ๆ ของการ Decoupling จาก Doughnut Economics: Seven Ways to Think Like a 21-st Century Economist by Kate Raworth

 

ผู้เขียนพยายามฉายภาพให้เห็นถึงการมองปัญหาผ่านกรอบแบบ ‘แนวคิดเศรษฐศาสตร์เคนส์เชิงสิ่งแวดล้อม’ (Green Keynesianism) ที่มุ่งเน้นการลงทุนด้านความยั่งยืนเพื่อความก้าวหน้าและศักยภาพในการแก้ปัญหาในอนาคต ส่วนหนึ่งก็เป็นรากฐานแนวคิดจาก ‘วิลเลียม นอร์เดาส์’ (William Nordhaus) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลที่มองว่าให้คงการเติบโตไว้แล้วฝากความหวังกับเทคโนโลยีในอนาคต ซึ่งหนังสือเรียกรวม ๆ ว่าเป็นแนวคิดแบบ ‘ลัทธิเร่งความเปลี่ยนแปลง’ (Accelerationism) ที่นิยมการเร่งตะบี้ตะบันการเติบโตทั้งการเศรษฐกิจและเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาที่พอกพูนในอนาคต หนังสือเล่มนี้ถกเถียงว่าที่เป็นการมองแบบ ‘ฝันลม ๆ แล้ง ๆ’ (Wish Thinking) มากเกินไป
.
นอกจากนั้นหนังสือก็ยังกล่าวถึง ‘วิสัยของทุนนิยม’ และ ‘สันดานของตลาด’ ที่ไม่มีทางอ่อนข้อให้กับเจตนารมณ์ในการรักษาสิ่งแวดล้อม ผู้เขียนหนังสือมองว่าเป็นการตั้งโจทย์ที่ผิด และจะนำไปสู่การต่อกรกับปัญหาแบบผิด ๆ หรือไม่ได้ผลเฉกเช่นทุกวันนี้ และหลาย ๆ ครั้ง การตั้งเป้าหมายทำนองนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจาก — ดังที่ โคเฮ ไซโตะ หยิบยกถ้อยคำของ คาร์ล มาร์กซ์ มานิยาม — ‘ฝิ่นที่ปลอบประโลมมวลชน’ (Opiate of the Masses)

และหากยังดำเนินไปในเส้นทางนี้อยู่ ปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ก็จะบีบให้สังคมของเราเป็นไปตามอนาคตประมาณสามรูปแบบ ตั้งแต่ ‘ลัทธิฟาสซิสต์สิ่งแวดล้อม’ (Climate Fascism) ที่ผลพวงของปัญหาสิ่งแวดล้อมจะกระทบคนหมู่มาก ในขณะที่เหล่าชนชั้นนำจะสามารถคงรักษาสถานะตัวเองเอาไว้ได้ เพราะได้การสนับสนุนจากรัฐด้วย ทวีคูณความเหลื่อมล้ำมากยิ่งขึ้นไป, ‘แนวทางปฏิวัติสิ่งแวดล้อมแบบเหมาเจ๋อตง’ (Climate Maoism) ที่จะสามารถกำจัดความเหลื่อมล้ำไปได้ แต่จะมาพร้อมกับมาตรการแบบเผด็จการในการปกครองและจัดสรรทรัพยากร เฉกเช่น การปฏิวัติวัฒนธรรมของ เหมา เจ๋อตง (Mao Zedong), ‘อนารยธรรม’ (Barbarism) อนาคตแห่งกลียุค รัฐเสื่อมอำนาจ การลุกฮือเกิดขึ้น ตามมาด้วยสังคมก็ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ พร้อมขยับเข้าสู่โลกที่เต็มไปด้วยการตะเกียกตะกายเพื่อการอยู่รอดของตนเอง

ทางเลือกส่วนใหญ่ที่กล่าวมานั้นดูจะไม่เป็นที่พึงปราถนามากนักสำหรับประชาชนคนธรรมดาอย่างเรา ๆ เป็นแน่ โคเฮ ไซโตะ จึงได้เสนอว่ายังมีอีกอนาคตหนึ่งที่ยังพอจะจูงโลกของเราไปในทางนั้นได้ ซึ่งก็คือโลกแบบ ‘คอมมิวนิสต์เชิงลดการเติบโต’ (Degrowth Communism) จากแนวคิดของ คาร์ล มาร์กซ์ ซึ่งคือการปกครองแบบจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติเป็นส่วนรวมและไม่ต้องไปคำนึงถึงเรื่องการเติบโต คิดเพียงแค่ว่าอยู่ในตอนนี้อย่างไร ‘ให้ได้’ ก็เพียงพอ ซึ่งการอธิบายสภาพอนาคตที่ว่านี้พร้อมหนทางทะยานไปสู่จุดนั้นก็เป็นแกนสำคัญของหนังสือเล่มนี้

 

ว่าแต่… ทำไมต้อง ‘คาร์ล มาร์กซ์’ ?

 

Slow Down : ชุบชีวิต (ไอเดีย) คาร์ล มาร์กซ์ มาต่อกรกับปัญหาสิ่งแวดล้อม

คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) | Getty Images

 

การขยับทางแนวคิดของ ‘คาร์ล มาร์กซ์’

น่าจะเป็นคำถามยอดฮิตถ้าใครเปิดหนังสือเล่มนี้มาอ่าน ว่าทำไมต้องเป็นแนวคิดของ ‘คาร์ล มาร์กซ์’ (Karl Marx) ที่จะมาต่อกรกับภาวะโลกรวนได้ เพราะใครหลายคนก็น่าจะมีภาพจำในเรื่องของการล่มสลายของสหภาพโซเวียตไปแล้วว่าแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์มัน(มัก)ถูกไปประยุกต์ใช้และจบลงอย่างไม่สวยนัก

กระนั้น โคเฮ ไซโตะ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ (และผู้ศึกษาแนวคิดของมาร์กซ์อย่างเข้มข้นผ่านผลงานก่อน ๆ ของเขา) พยายามจะบอกว่า หนึ่ง—แนวคิดคอมมิวนิสต์ที่ถูกไปประยุกต์ใช้มักไม่ตรงปกเลยแม้แต่น้อย กล่าวคือกลักการในอุดมคติที่มาร์กซ์ว่าไว้กับการประยุกต์ใช้จริง ๆ มักจะคนละเรื่อง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือว่าก่อนจะไปถึงสภาพสังคมในอุดมคติที่ว่า สังคมที่นำไปใช้มักไถลตกข้างทางไปเสียก่อน—ไม่ถังแตกก็กลายเป็นเผด็จการ—อันเป็นเหตุให้ โคเฮ ไซโตะ พยายามจะชวนผู้อ่านทำความเข้าใจมาร์กซ์ใหม่

สอง—ก่อนมาร์กซ์จะเสียชีวิต ได้มีการขยับครั้งสำคัญในแนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์ เอง ที่มีหลายคุณลักษณะหลายประการที่ควรค่าแกการนำมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะในการสร้างสังคมที่ยังยืนและสามารถต่อกรกับปัญหาทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ซึ่งผู้เขียนก็ได้พาเราไปอ่านหลักฐานต่าง ๆ ที่สะท้อนถึงแนวคิดช่วงบั้นปลายของเขา โดยเฉพาะ ‘จดหมายถึง เวรา ซาซูลิช’ (Marx’s Letter to Vera Zasulich) นักปฏิวัติชาวรัสเซีย อีกทั้งยังเอากรอบแนวคิดใหม่ที่ว่าไปตีความถ้อยคำใน Das Kapital ของมาร์กซ์ ใหม่ เพื่อให้เห็นถึงนัยยะในถ้อยคำที่กว้างมีมุมชวนคิดต่อมากกว่าเดิม

 

Slow Down : ชุบชีวิต (ไอเดีย) คาร์ล มาร์กซ์ มาต่อกรกับปัญหาสิ่งแวดล้อม

เวรา ซาซูลิช (Vera Zasulich) | Public Domain

 

โคเฮ ไซโตะ นำเสนอว่าแนวคิดของมาร์กซ์มีการขยับไปเป็นลำดับขั้นด้วยลักษณะที่แตกต่างกันดังนี้ดังนี้ เริ่มต้นจากแนวคิดในช่วงที่เขียน ‘แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์’ (Communist Manifesto) ในช่วงทศวรรษ 1840s ถึง 1850s มาร์กซ์จะมีมุมมองแบบ ‘ผลิตนิยม’ (Productivism) กล่าวคือ ภายใต้ระบบทุนนิยมจะนำมาซึ่งผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นและการเอาเปรียบจากนายทุนจนนำไปสู่การปฏิวัติโดยชนชั้นแรงงาน โดยเป็นแนวคิดถึงคำนึงถึงเพียงการเจริญเติบโตแต่ละทิ้งแง่มุมในด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนออกไป

ถัดมา ในตอนที่เขียนและตีพิมพ์ ‘ว่าด้วยทุน’ (Das Kapital) ในทศวรรษที่ 1860s มาร์กซ์ได้ขยับเข้าสู่ความเป็น ‘นิเวศสังคมนิยม’ (Ecosocialism) จากเดิมที่ให้ความสำคัญกับแค่ผลิตภาพ มาร์กซ์เริ่มหันมาสนใจทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ดังสะท้อนผ่านแนวคิด ‘วัฏจักรการฟื้นคืนตัวเองโดยธรรมชาติ’ (Environmental Metabolism) — เช่น สิ่งปฏิกูลจากสิ่งมีชีวิคที่จะไม่กลายเป็นขยะแต่จะกลายเป็นปุ๋ยกลับคืนสู่ธรรมชาติ — กับ ‘รอยแยกที่ไม่อาจซ่อมแซม’ (The Irreparable Rift) — ช่องโหว่จากการเสียสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เช่นตัดไม้ทำลายป่า ปล่อยคาร์บอน จนอาจนำไปสู่ความเสียหายถาวร — ที่พูดถึงความสามารถในการ ‘หมุนเวียน’ ของสรรพสิ่งในธรรมชาติโดยไม่ล้นเกินหรือขาดดุลจนนำไปสู่ความไม่สมดุล ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว กิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์มักนำพาสิ่งเหล่านี้มาสู่วัฏจักร ไม่ว่าจะเป็น ‘ขยะ’ หรือ ‘การขูดรีดทรัพยากร’ มาร์กซ์จึงมองว่าสังคมจะเติบโตและจัดสรรทรัพยากรอย่างยั่งยืนไปพร้อม ๆ กันได้ก็ต่อเมื่อเติบโตภายใต้ ‘สังคมนิยม’ (Socialism) เท่านั้น อันเป็นมุมมองที่สะท้อนถึงแนวคิด ‘การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน’ (Sustainability Economic Development) ในช่วงเวลานั้น

และต่อมาในช่วงปลายของชีวิตมาร์กซ์ ทศวรรษที่ 1870 ถึง 1880 แม้ไม่ได้งานตีพิมพ์ออกมาที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของมาร์กซ์อย่างเป็นทางการในช่วงเวลาที่ว่านี้ แต่ดังที่กล่าวไปก่อนหน้า ว่าผู้เขียนหนังสือได้ไปทำการศึกษาและแกะรอยทั้งโน็ต การขีดเขียน ไปจนถึงจดหมายต่าง ๆ ที่จะสะท้อนถึงความคิด มุมมอง และความสนใจของมาร์กซ์ในช่วงดังกล่าว โดยเฉพาะ จดหมายถึงเวรา ซาซูลิช ที่มาร์กซ์ได้ปฏิเสธ ‘The Progressive View of History’ ที่มองว่าสังคมต้องพัฒนาและเติบโตถึงระดับหนึ่งจนสุกงอมและเปลี่ยนเป็นเป้าหมายในอุดมคติได้ แต่มาร์กซ์โอบรับแนวคิดความเป็น ‘สถานะคงตัว’ (Steady State) — การพัฒนาที่ไม่ยึดโยงอยู่กับการเติบโต — และ ‘สังคมแบบคอมมูน’ (Communual Society) ตั้งแต่แรกเริ่ม จากเดิมทีที่อาจมีมุมมองว่าเป็นสิ่งไม่พัฒนา ดังสะท้อนในแนวคิดแบบ ‘ยุโรปเป็นศูนย์กลาง’ (Eurocentrism) ในงานเขียนยุคแรก ๆ ของเขา กล่าวคือ มาร์กซ์ขยับเข้าสู่ยุคที่แนวคิดมุ่งเน้นแต่ ‘ความยั่งยืน’ โดยไม่มุ่งที่จะ ‘เติบโต

ส่วนในรายละเอียดนั้น โคเฮ ไซโตะ ก็จะเล่าว่าการขยับแต่ละครั้งมีปัจจัยที่ส่งผลอย่างไรบ้าง ตั้งแต่การขยับครั้งแรกที่ถูกหล่อหลอมมาจากงานเขียนด้านวิทยาศาสตร์ของ ‘จัสตุส ฟอน ลีบิก’ (Justus von Liebig) ชื่อ ‘Organic chemistry in its applications to agriculture and physiology’ (1862) ที่ค่อย ๆ ผนวกเอาแนวคิดอย่าง วัฏจักรการฟื้นคืนตัวเองโดยธรรมชาติ และ รอยแยกที่ไม่อาจซ่อมแซม เข้ามาในการมองสังคมและการจัดสรรทรัพยากรจนขยับมาร์กซ์จากจุดแรกที่มองว่า ‘เน้นโต ลืมความยั่งยืน’ ไปจุดที่สองตอนเขียนที่มองว่า ‘ต้องโตอย่างยั่งยืน

ส่วนการขยับครั้งสำคัญในมุมมองของหนังสือเล่มนี้คือช่วงสุดท้ายที่มองว่า ‘ไม่ต้องโตแล้ว ยั่งยืนอย่างเดียว’ มาร์กซ์เริ่มศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ผนวกเข้ากับการจัดสรรทรัพยากรในสังคมมากขึ้น จนมันทำให้เขาตกตะกอนแนวคิดใหม่ที่เชื่อว่าสถานะมั่นคงแบบไม่ต้องมีการเจริญเติบโตสามารถขยับไปสังคมในอุดมคติได้ ซึ่งหนังสือยกตัวอย่าง ‘มาร์คเกอโนสซันชาฟท์’ (Markgenossenschaft) รูปแบบชุมชนในเยอรมนียุคโบราณแบบหนึ่งที่ถูกใช้เป็นกรณีศึกษาที่ชี้ให้เห็นว่าการเติบโตอาจไม่สำคัญเสมอไป

โดยสรุป โคเฮ ไซโตะ พยายามจะชี้ให้ผู้อ่านเห็นว่า แนวคิดแบบมาร์กซ์ที่ใช้เนี่ยและที่หนังสือหวังจะ  ‘ชุบชีวิต’ ขึ้นมา มันเป็นฉบับที่อัปเดตแพทช์แล้วนะ ไม่ใช่แบบเดิมที่เรามักเห็นมันล่มสลายจนชินตา

 

มองโลกที่เนื้อแท้

ในการจะไปถึงเป้าหมายแห่ง Degrowth Communism นั้นประกอบไปด้วยหลายเสาเข็ม หนึ่งในนั้นคือกรอบความคิดสำคัญที่ โคเฮ ไซโตะ กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้คือการแบ่งแยกคุณค่าออกเป็นสองประเภท: ‘มูลค่าการใช้สอย’ (Use-Value) และ ‘มูลค่า’ (Value) ที่จะทำหน้าที่เป็นหลักเกณฑ์สำคัญในการประเมินความสำคัญหรือความคุ้มค่าในกิจกรรมต่าง ๆ ในสังคม ว่าเป็นคุณค่าที่ให้ประโยชน์จริง ๆ ต่อ ‘การอยู่รอด’ ของปัจเจกและสังคม หรือเป็นเพียงมูลค่าที่ตลาดสังเคราะห์ขึ้นจากกลไกอุปสงค์-อุปทาน หรือแม้แต่ลัทธิบริโภคนิยม (Consumerism) ที่กระทุ้งมูลค่าให้ทะยานสูงจากโฆษณาหรือค่านิยมบางประการ

อย่างแรกคือมูลค่าการใช้สอยที่ถูกตีค่าจากผลลัพธ์จากการใช้งานที่มีต่อความสามารถในการดำรงชีวิตของมนุษย์ เช่นน้ำสามารถดื่มได้, กระเป๋าที่ใช้ใส่ของ, นาฬิกาข้อมือที่ใช้ดูเวลา หรือปากกาที่ใช้เขียน ; ส่วนอย่างหลังคือคุณค่าที่ถือกำเนิดขึ้นจากทั้งกลไกตลาดและลัทธิบริโภคนิยม เช่น ปากกาสองด้ามที่มีมูลค่าใช้สอย คือการใช้เขียนได้เหมือนกัน แต่เมื่อยี่ห้อต่างกัน ‘มูลค่า’ หรือ ‘ราคา’ ก็ต่างกันไปด้วย แน่นอนว่าความละเมียด วัตถุดิบ ไปจนถึงคุณภาพในการผลิตก็ล้วนอยู่เบื้องหลังราคาที่แพงว่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าค่านิยมและการโฆษณาก็มีส่วนในการทำให้ของสองสิ่งที่มีมูลค่าใช้สอยเหมือนหรือใกล้เคียงกัน มีราคาที่แตกต่างกันลิบลิ่ว

ปัญหามันเกิดตรงที่ว่า เมื่อสังคมปัจจุบันดันให้ความสำคัญไปที่ ‘มูลค่า’ เสียมากกว่า ผ่านการถูกรายล้อมและหล่อหลอมด้วยการตลาด การโฆษณา หรือสารพันเครื่องมือ ไปจนถึงค่านิยมและสถานะทางสังคม จนทำให้ของที่มีมูลค่าถูกให้ความสำคัญมากกว่าของที่มีมูลค่าใช้สอยสูง เช่น พนักงานเก็บขยะที่มีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของสังคม ดันได้ตอบแทนน้อยกว่านักเขียนที่มัวแต่นั่งเขียนข่าว อวยบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ไม่มีใครอ่าน (อ่านแล้วก็สะดุ้งไปหนึ่งที)

กลายเป็นว่าหลายครั้งของที่ ‘ไม่จำเป็น’ ดันถูกผลิตหรือให้ความสำคัญมากกว่า ‘ของที่จำเป็น’ เสียอย่างนั้น หรือที่มีปัญหาไปกว่านั้น ทรัพยากรที่จำเป็นดันถูกนำไปใช้สอยเพื่อผลิตของที่ไม่จำเป็น (ต่อการดำรงอยู่) หากดำเนินเป็นเช่นนี้ ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดจะถูกใช้เพื่อตอบสนอง ‘อุปสงค์’ (Demand) — หรือ กิเลส — ที่ถูกสร้างมาอย่างไม่จำกัด และแน่นอน สิ่งนี้คือหนึ่งในรากปัญหาสำคัญที่กำลังกัดกินสิ่งแวดล้อมอยู่

หนึ่งในข้อถกเถียงสำคัญและหนึ่งในคุณลักษณะสำคัญของคอมมิวนิสต์เชิงลดการเติบโตคือการให้ความสำคัญกับมูลค่าใช้สอยมากกว่ามูลค่า เพราะโลกใบนี้ไม่มีทรัพยากรมากเหลือพอถึงขั้้นที่จะสนองความต้องการที่ถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อนของมวลมนุษย์ได้

 

มันไม่ ‘อุดมคติ’ ไปใช่ไหม?

โคเฮ ไซโตะ ทราบดีว่าใน Slow Down ย่อมมีคนที่อ่านแล้วเกิดความรู้สึกว่าข้อเสนอของเขามันช่าง ‘สุดโต่ง’ หรือไม่ก็ ‘โลกสวย’ จนเกินไป กับการบอกให้นานาประเทศละทิ้งความคิดที่อยากจะเติบโตเสีย ในขณะที่มีปัญหามากมายเฝ้าหวังให้ ‘การเติบโต’ มาแก้ไข ตัวเขาจึงได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าแนวคิดแบบ Degrowth Communism ไม่ใช่การบอกให้มนุษย์ร่นถอยกลับไปสู่สังคมเกษตรกรรม ใช้ชีวิตเคียงคู่ต้นไม้ใบหญ้าสอดประสาน เพราะตัวของเขาตระหนักดีว่าสังคมแบบนั้นก็มีปัญหาในตัวของมันเองเช่นเดียวกัน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในสภาพสังคมที่เราอยู่นั้นมันก็เป็นปัญหาอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะกับปัญหามูลค่าในสังคมหรือแม้แต่การใช้ทรัพยากรที่เกินกว่าคำว่า ‘ยั่งยืน’ ไปมากโข จนสามารถนิยามสภาพปัญหานี้ได้ง่าย ๆ ผ่านคำว่า ‘ภาวะความเป็นเมืองล้นเกิน’ (Over-Urbaization) การหาทางออกจากปัญหานี้จึงเป็นเรื่องจำเป็นยิ่ง

 

เมล็ดพันธุ์ของ Degrowth Communism กำลังงอกงามออกมาในหลายแห่งทั่วโลก ผมอยากจะจบหนังสือนี้ด้วยการพาไปสำรวจการริเริ่มการปฏิวัติด้วยเลนส์ของแนวคิดมาร์กซ์ในช่วงหลังที่เราได้พูดถึงกันไปในหนังสือเล่มนี้ผ่านหลากหลายเมืองทั่วทั้งโลก

- บางส่วนจาก Slow Down

 

มีขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและนโยบายเมืองหนึ่งที่เริ่มต้นขึ้นที่ ‘บาร์เซโลน่า’ (Barcelona) ในชื่อ ‘Fearless City’ ขบวนการที่หวังจะสร้างเสริมประชาธิปไตย ความเป็นอยู่ รวมไปถึงความยั่งยืนที่แข็งแกร่งมากขึ่น ที่ได้สะท้อนให้เห็นถึงความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและสวนกระแสที่เกิดขึ้นตั้งแต่ระดับเมืองจนแพร่หลายไปในวงกว้างมากขึ้น

ในคำประกาศของขบวนการนี้ไม่ได้บอกเพียงว่าจะ ‘แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม’ แต่ระบุเป้าหมายอย่างชัดเจนกว่า 240 ข้อว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างภายใน 2050 ตั้งแต่การจำกัดเที่ยวบินระยะสั้น การจำกัดความเร็วของรถยนต์ ไปจนถึงการโอบรับต่อแนวคิดอย่าง เศรษฐกิจแบบโดนัท (Dougnnut Economy) ไปจนถึงการปฏิเสธการเติบโตเฉกเช่นเดียวกับที่แนวคิดของโคเฮ ไซโตะ ว่าเอาไว้

แม้จะไม่ได้เป็นตัวอย่างของ Degrowth Communism ที่สมบูรณ์อย่างชัดเจน แต่ตัวอย่างนี้ก็ได้สะท้อนถึงบางเสาเข็มสำคัญของแนวคิดดังกล่าวที่เริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสำแดงเจตนารมณ์ที่ไม่กริ่งเกรงต่อการปรับตัวและเปลี่ยนแปลง อันเป็นคุณลักษณะสำคัญที่จะพาสังคมใดสักสังคมหนึ่งบรรลุเป้าหมายดังที่หนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอให้ผู้อ่านและผู้อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ได้ลองครุ่นคิดดู

บ้างอาจมองว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องยาก อาจคิดว่าการไม่เติบโตเป็นเรื่องไปไม่ได้ หรือแม้แต่การช้าลงเป็นเรื่องที่ยากเกินใฝ่ฝันเมื่อสัญชาติญานของสังคมถูกหล่อหลอมโดยสันดานของตลาดและธรรมชาติของระบบทุนนิยม จนข้อสำคัญบางประการในการดำรงอยู่ของมนุษย์อย่างเรา ๆ ละเลือนจางหายไประหว่างทาง แต่ถึงกระนั้น คำว่า ‘ช้าลง’ ก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์เรา ไม่แง่มุมใดก็แง่มุมหนึ่ง