แต่ง…Monk : ใต้จีวรต่างสี คือ ‘คนดี’ ไม่ต่างกัน

แต่ง…Monk : ใต้จีวรต่างสี คือ ‘คนดี’ ไม่ต่างกัน

‘แต่ง…Monk’ ภาพยนตร์คอมมเดีที่เปรียบเทียบความต่างของพระไทยกับพระญี่ปุ่น เนื่องจากในประเทศญี่ปุ่น พระมีสถานะคล้ายอาชัพหนึ่ง สามารถดื่มสุรา และแต่งงานได้

KEY

POINTS

  • แต่ง Monk คือภาพยนตร์คอเมดีที่มีมากกว่าความตลกโปกฮา เพราะกล่าวถึงประเด็นร่วมสมัยอย่างกาารเปิดรับความแตกต่างทางวัฒนธรรม และการตัดสินคนคนหนึ่งจากจิตใจ ไม่ใช่ด้วยรูปลักษณ์หรือการกระทำภายนอก
  • พระญี่ปุ่นหลายนิกายสามารถแต่งงานได้ ดื่มสุราได้ เนื่องจากมีรัฐบาลทำการลดทอนอำนาจของศาสนาตั้งแต่ยุคปฏิรูปเมจิ กระนั้น พวกท่านก็ยังมีสถานะเป็นพระ คอยประกอบพิธีกรรมและเทศนาผู้คนให้เข้าถึงพระธรรม ไม่ต่างจากพระในประเทศไทย
  • สิ่งที่หลวงพี่เป้ได้เรียนรู้คือ การเป็น ‘คนดี’ ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็น ‘พระดี’ ในกรอบเกณฑ์แบบใดแบบหนึ่งเสมอไป เนื่องจากศานาเองก็มีอยู่หลายนิกาย การตัดสินคนคนหนึ่งจากการเป็น ‘คนดี’ จึงเป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุด
     

เอาจริง ๆ นะท่าน อย่างท่านน่ะ

ไม่สมควรเป็นพระหรอก

 

คำตำหนิเชิงเหยียดหยามจากปากภิกษุชาวไทยคงไม่สะเทือนความรู้สึกผู้ชมเท่าไหร่นัก หากฝ่ายถูกตำหนิไม่ใช่ภิกษุด้วยกันผู้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยทุกประการ เพียงแต่เป็นวินัยที่แตกต่าง เช่นเดียวกับจีวรที่ต่างสี อันเกิดจากวัฒนธรรมซึ่งคล้ายเดินอยู่บนเส้นขนานของ ‘พระไทย’ กับ ‘พระญี่ปุ่น

กระนั้น ตอนจบของภาพยนตร์ก็คล้ายกับเฉลยให้ภิกษุชาวไทยเข้าใจว่า เส้นขนานดังกล่าวต่างก็มุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน นั่นคือการเป็น ‘คนดี’ ภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์และคำสั่งสอนของพระพุทธองค์

แต่ง Monk’ คือภาพยนตร์ที่มาพร้อมบิ๊กไอเดียแปลกใหม่ อย่างการเปรียบเทียบความต่างทางพระธรรมวินัยของภิกษุจากทั้งสองประเทศ ชวนให้ตั้งคำถามในทีแรกว่า จะมีข้อถกเถียงจากกลุ่มผู้ชมซึ่งเลื่อมใสในขนบจารีตของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตามมาหรือไม่ เนื่องจากตัวหนังไม่ได้จับต้องประเด็นเพียงผิวเผิน หากแต่เลือกฉายภาพพระญี่ปุ่นดื่มเบียร์ เปิดบาร์เหล้า หัวเราะท่ามกลางแสงสีในไนต์คลับ และที่เปรียบเสมือนปมขัดแย้งหลักของเรื่อง คือการให้ตัวละครพระ มีความรักและหมายมั่นจะแต่งงานกับสีกา

ปาราชิก’ คงเป็นคำที่คนไทยคุ้นหู ในฐานะคำเรียกภิกษุที่กระทำ ‘อาบัติ’ เช่น ดื่มสุราหรือเสพเมถุน (มีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิง) นับเป็นประเด็นละเอียดอ่อนในสังคมไทย ทว่าแต่ง Monk ก็สามารถยกระดับวิธีการนำเสนอ จากการยั่วล้อเป็นมุกตลกขำ ๆ ตามประสาหนังคอมเมดี และจากการเทศนาให้ยึดติดกับขนบดั้งเดิมตามตามประสาหนังธรรมะจรรโลงจิตใจ มาเป็นการสะท้อนให้ผู้ชมเปิดใจยอมรับความแตกต่าง ตัดสินเพื่อนมนุษย์จากเจตนา ไม่ใช่จากสีของจีวรภายนอก 

นอกจากนั้น ยังตั้งคำถามถึงคำว่า อาบัติ หรือ ปาราชิก ว่าแท้จริงแล้ว กายกรรม หรือมโนกรรมกันแน่ คือเครื่องตัดสินว่าใครควรถูกนิยามด้วยสองคำดังกล่าว
เรื่องราวของหนังเริ่มต้นเมื่อ หลวงพี่เป้ (แสดงโดย เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ) ภิกษุผู้เถรตรงต่อพระธรรมวินัย เดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อร่วมงานแต่งของ ออม (แสดงโดย ออม-กรณ์นภัส เศรษฐรัตนพงศ์) ผู้เป็นน้องสาว ก่อนจะทราบภายหลังว่า เจ้าบ่าวของงานคือ ท่านชิน (แสดงโดย เฟย-ภัทร เอกแสงกุล) อดีตนักเลงชาวญี่ปุ่นซึ่งผันตัวมาเป็นพระ ความเป็นห่วงความปลอดภัยของน้อง ประกอบกับอคติที่มีต่อท่านชิน ทำให้หลวงพี่เป้ต้องการให้ทั้งคู่ยกเลิกงงานแต่ง เกิดเป็นรอยร้าวที่ขยายตัวโดยมีความต่างของวัฒนธรรมเป็นเหตุ

ตัดสินจากอรรถรส แต่ง Monk คือภาพยนตร์คอมเมดีที่เรียกเสียงหัวเราะได้ตามมาตรฐาน ด้วยขนทัพนักแสดงสายฮา ได้แก่ รงค์-จตุรงค์ โพธาราม, แจ็ค-เฉลิมพล ทิฆัมพรธีรวงศ์ และ โอม-ธนาภัค จงใจพระ มาสมทบในบทเด็กวัดผู้ติดสอยห้อยตามหลวงพี่มาเผชิญกับสถานการณ์อลหม่าน แต่นอกเหนือจากเสียงหัวเราะที่ได้ แต่ง Monk ก็ยังทิ้งคำถามหลายอย่างไว้ในใจ ซึ่งหากกลับมาขบคิด จะพบว่าบทหนังแอบแฝงประเด็นที่ใหญ่และร่วมสมัยภายใต้มุกตลกโปกฮา

พระ (บางนิกาย) ในญี่ปุ่นเปรียบเสมือนอาชีพ ไม่ใช่นักบวชผู้ตัดขาดเรื่องทางโลก

 

เขาแต่งงานได้

เขาเป็นพระญี่ปุ่น ไม่ใช่คนไทย

 

คือเหตุผลที่ออมหยิบยกมาเถียงพี่ชายหลังถูกตำหนิว่าการแต่งงานกับพระเป็นบาป ซึ่งภาพความ ‘ไม่ละทางโลก’ ของพระญี่ปุ่นที่ตัวหนังนำเสนอก็ไม่มีส่วนใดเกินจริง เพราะในหลาย ๆ นิกาย พระญี่ปุ่นเปรียบเสมือนอาชีพหนึ่ง ผู้ทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรม นำพาธรรมะสู่จิตใจของผู้คนด้วยวิธีเทศน์อันหลากหลาย ตั้งแต่จัดการแสดง ไปจนถึงขึ้นเล่นดนตรีบนเวทีคล้ายคอนเสิร์ต

ย้อนกลับไปในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ภายใต้การปกครองของโชกุน พระในประเทศญี่ปุ่นคือนักบวชผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย อาบัติแต่ละครั้งอาจถูกตีตราเป็นอาชญากร มีบทลงโทษตามกฎหมาย สาเหตุของอาบัติมีตั้งแต่ข้อห้ามพื้นฐานอย่างการละเว้นสุรานารี ไปจนถึงกฎเกณฑ์แสนจำเพาะ เช่น การห้ามฉันเนื้อสัตว์
ทั้งนี้ ข้อห้ามบางอย่างอาจขึ้นอยู่กับนิกาย บ้างก็อนุญาตให้ดื่มสุรา เพื่อเป็นการเคารพวัตถุดิบตั้งต้นอย่างข้าว ทว่าในภาพรวม พระในสมัยนั้นก็ล้วนต้องอยู่ในกฎระเบียบ จนอาจพูดได้ว่า มีความ ‘น่าเลื่อมใส’ ในแบบที่คนไทยคุ้นชิน

กระทั่ง ค.ศ. 1868 เกิดการปฏิรูปเมจิ รัฐบาลที่ขึ้นครองอำนาจแทนเหล่าโชกุนเล็งเห็นว่า ศาสนามีอิทธิพลเหนือประชาชนมากเกินไป นำมาสู่การลดทอนอำนาจของพระ วัดจำนวนมมากต้องปิดตัว บ้างถูกกดดันจากรัฐจนพระลูกวัดต้องออกหารายได้เสริม กฎเหล็กพร้อมค่านิยมว่าการฝ่าฝืนพระธรรมวินัยเปรียบดังอาชญากรค่อย ๆ จางหายไป เปิดโอกาสให้พระหลายนิกายปฏิบัติตัวอย่างอิสระมากขึ้น 

ภายในเวลาไม่ถึง 60 ปี ช่วงทศวรรษที่ 1930 มีการสำรวจพบว่า พระจำนวนมากในญี่ปุ่นหันมาแต่งงานมีครอบครัวกันเป็นเรื่องปกติ จนเกิดเป็นคำเปรียบเปรยว่า พระญี่ปุ่นไม่ต่างอะไรกับอาชีพ นอกเวลางานประกอบกิจวัตรดังเช่นฆราวาส ในเวลางานค่อยห่มคลุมจีวรนักบวช ใช้เสียงหัวเราะและความสนุกสนานครื้นเครงในเผยแผ่ศาสนา จนภาพพระญี่ปุ่นขึ้นแสดงดนตรี เล่นกีตาร์ไฟฟ้า จัดแสดงการทำขนม หรือแม้กระทั่งสวมบทเป็นบาร์เทนเดอร์ในบาร์เหล้า ให้พุทธศาสนิกชนเข้ามาปรึกษาชีวิตระหว่างลิ้มรสเครื่องดื่ม ปรากฏให้เห็นเป็นปกติ

กระนั้น ก็ไม่อาจเหมารวมว่า พระญี่ปุ่นทุกรูปมีธรรมเนียมปฏิบัติดังที่กล่าวมา เพราะในบางนิกายก็ยังคงรักษาจารีตดั้งเดิมอย่างเคร่งครัด พระทุกรูปต้องรักษาศีล ไม่ฉันเนื้อสัตว์ และไม่ข้องแวะกับสตรีเพศ ตามขนบตั้งแต่สมัยก่อนการปฏิรูป

 

‘พระดี’ กับ ‘คนดี’ ...ความแตกต่างที่เหมือนกัน?

ในมุมมองของหลวงพี่เป้ ท่านชินไม่ใช่ทั้ง ‘พระดี’ และ ‘คนดี’ เพราะแม้จะมองข้ามประเด็นที่ว่า อีกฝ่ายไม่ยอมละทางโลก ก็ยังมีอดีตที่เคยเป็นนักเลงหัวไม้จนมีคู่อริตามจองล้างจองผลาญคอยตีตราว่าท่านชินไม่ใช่น้องเขยที่เหมาะสม เมื่อรวมเข้ากับอคติแรก จึงไม่แปลกที่หลวงพี่เป้จะแสดงความไม่พอใจ จนถึงขั้นขอให้ยกเลิกการแต่งงานต่อหน้าผู้ที่ตนเคยให้เกียรติในฐานะบรรพชิตด้วยกันเอง

 

ถ้าท่านชินมาขอบวช

ผมคงไม่บวชให้

 

ประโยคดังกล่าวราวกับเป็นการปิดประตูใส่หน้า ว่าถึงอย่างไร หลวงพี่เป้ก็ไม่มีวันยอมรับ กระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยประโยคที่สะท้อนแก่นหลักของเรื่องออกมา

 

หลวงพี่เป้ครับ ข้างในเรา...ไม่ต่างกันครับ

 

ลึก ๆ แล้ว หลวงพี่เป้คงรู้ดีว่าท่านชินกำลังสื่อถึงอะไร คนเรา...ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน ก็ย่อมสามารถเป็น ‘คนดี’ ได้ หรืออีกนัยหนึ่ง คือสามารถเป็นคู่ครองที่เหมาะสมของออม ทว่าอคติจากการเป็นพระสงฆ์ผู้เคร่งครัดกลับบังตาเอาไว้

เนื่องจากหลวงพี่เป้เชื่ออย่างสุดหัวใจว่า การที่พระจะเป็น ‘คนดี’ ต้องเริ่มจากการเป็น ‘พระดี’ เสียก่อน โดยอาจจะเป็นตรรกะที่ถูกตั้งขึ้นโดยตัวท่านเอง ดังจะเห็นได้ว่า หลวงพี่เป้ค่อย ๆ เปลี่ยนจากความประหลาดใจเป็นความไม่พอใจทุกครั้งที่ท่านชินแสดงกิริยาผิดแผก เช่น การขับรถมารับทุกคนจากสนามบิน การฉันอาหารหลังเที่ยง และที่ร้ายแรงจนเข้าชั้นเลยเถิดคือการฉันเบียร์ในไนต์คลับ ซึ่งนับได้ว่าอุกอาจจนภิกษุชาวไทยต้องชิงปลีกตัวออกมา

ตลอดทั้งเรื่อง หลวงพี่เป้แสดงความเถรตรงต่อกฎเกณฑ์อย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงการรักษาศีล แต่ยังรวมถึงคำศัพท์อันระบุถึงสถานภาพ ดังจะเห็นได้ว่า ท่านแสดงความไม่พอใจ และคอยสั่งให้น้องสาวแก้คำพูดทุกครั้ง ยามเผลอใช้ศัพท์สามัญสนทนากับตน ไปจนถึงการยกบาปกรรมมากล่าวว่าออม เรื่องการแต่งงานกับพระ โดยไม่รอฟังเหตุผลหรือหวนคิดถึงวัฒนธรรมในประเทศที่คู่สนทนาอาศัยอยู่

ความคิดของหลวงพี่เป้อาจฟังดูเข้าใจได้ ตามประสาภิกษุผู้เลื่อมใสศรัทธาในหลักคำสอนแบบไทย ๆ แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง ก็ดูจะเป็นการ ‘ใจแคบ’ ไปสักหน่อย ที่เลือกตีกรอบว่า ‘พระดี’ ต้องปฏิบัติตามจารีตแบบพระไทย ไม่เปิดโอกาสให้ท่านชินได้พิสูจน์ตัวตน

เพราะไม่ว่าจะมองในเชิงสังคม หรือเชิงบริบทของตัวหนัง พระญี่ปุ่นที่ดื่มเหล้า แต่งงาน ฉันอาหารหลังเที่ยง ก็สามารถเป็นพระดีในสังคมของพวกท่านเอง สามารถพาพุทธศาสนิกชนเข้าถึงศาสนา ไม่ต่างจากที่พระไทยทำเท่าไหร่นัก อีกทั้งท่านชินก็ยังรักออมอย่างบริสุทธิ์ใจ ทำหน้าที่เป็นคนรักอย่างใกล้เคียงคำว่าสมบูรณ์แบบ จนไม่มีเหตุผลเลยที่จะทั้งคู่จะยกเลิกงานแต่ง

อีกนัยหนึ่ง การจะเป็น ‘คนดี’ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องเป็น ‘พระดี’ ตามมาตรฐานนิกายใด เพราะแต่ละนิกายก็มีหลักคำสอนต่างกันราวฟ้าเหว ตราบใดที่ยังปราศจากคำตอบที่แน่ชัดว่า สิ่งใดกันแน่คือความถูกต้องตามหลักศาสนา การหยิบยกสมการการเป็นคนดีมาคิดคำนึงเพียงอย่างเดียว ก็เห็นจะเป็นวิธีที่ยุติธรรมที่สุด

และถึงอย่างไร การพิจารณาจากเจตนาอันบริสุทธิ์ก็ย่อมเที่ยงตรงกว่าการตัดสินจากกายกรรม ดังเช่นท่านชินที่ประกอบกายกรรมผิดแผก อย่างการดื่มสุราหรือร่วมงานสังสรรค์ แต่เจตนาในใจของเขาก็ฉายชัดผ่านทั้งมโนกรรมและกายกรรมว่า ท่านชินรักออมไม่ต่างจากหลวงพี่เป้

หากอยู่ที่ประเทศไทย ท่านชินอาจนับได้ว่าอาบัติ แต่ในประเทศญี่ปุ่น มันจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเจตนาของท่านไม่ได้อาบัติไปด้วย

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าในตอนจบ หลวงพี่เป้จะมองว่าท่านชินเป็นพระดีหรือไม่ แต่ท่านก็ได้ทำความเข้าใจแล้วว่า อีกฝ่ายเป็นคนดี คู่ควรกับน้องสาวของเขาอย่างที่สุด
จากความไม่พอใจในตอนแรก ค่อย ๆ กลายเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจ เมื่อตระหนักได้ว่า ผืนผ้าจีวรที่ต่างสีกันนั้นไม่ได้ระบุถึงสิ่งใดเลย  ...‘ข้างใน’ ที่ท่านชินว่าต่างหาก คือสิ่งที่สามารถระบุตัวตนของมนุษย์คนหนึ่งได้อย่างเที่ยงแท้และยุติธรรมที่สุด

 

อ้างอิง 

Bjarne Jakhelln-Semb, (2021), Married Monks: Japan’s Non-Monastic Buddhist Priesthood

Nutthapong Chaiwanitphon, (2019), เมื่อไม่ยึดติดและปรับตัว ศาสนาจึงแทรกตัวเข้าไปในชีวิตประจำวันของสังคมญี่ปุ่นได้

รติกร จิตราทร, (2024), รู้หรือไม่? ในประเทศญี่ปุ่น ‘พระ’ เป็น ‘อาชีพ’ ที่สามารถแต่งงานและหารายได้เสริม