03 มิ.ย. 2564 | 12:11 น.
*The People Talk เซ็กชันรวมสุนทรพจน์เปลี่ยนโลก ***‘I have a dream’ สุนทรพจน์ของ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ กล่าวในวันที่ 28 สิงหาคม 1963 ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา “ปัจเจกชนจะยังไม่ได้เริ่มใช้ชีวิต จนกระทั่งเขาสามารถที่จะก้าวออกจากขอบเขตของภาระส่วนตัว สู่ภาระที่กว้างขึ้นของมนุษยชนทั้งปวงได้” นี่คือคำกล่าวบางส่วนของ ดร.มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ (Martin Luther King Jr.) นักเคลื่อนไหว นักต่อสู้ นักบวช และศาสนจารย์ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับคนผิวสีในสหรัฐอเมริกา ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น คนผิวสีในอเมริกายังได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม จากทั้งตัวบทกฎหมายและสังคมรอบข้าง คนผิวสีในทศวรรษ 1950 ยังคงถูกมองว่าเป็นพลเมืองชั้นสองของประเทศ ชนวนเหตุที่ทำให้มีการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนนำโดย มาร์ติน ลูเทอร์ คิง มาจากกรณีที่ โรซา พาร์กส์ ถูกจับกุมดำเนินคดี เพียงเพราะไม่ยอมสละที่นั่งให้กับชายผิวขาว จนทำให้มีการบอยคอตต์ระบบขนส่งสาธารณะของเมืองมอนต์กอเมอรี จนทำให้เกิดการลุกฮือเรียกร้องด้วยสันติวิธีของผิวสีทั่วทั้งประเทศ เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้มาร์ติน ลูเทอร์ คิง ถูกจดจำและได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสุนทรพจน์ที่ดีที่สุดตลอดกาลก็คือ การเดินขบวนประท้วง ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อยุติการแบ่งแยกสีผิวในโรงเรียนรัฐบาล คิงถูกรายล้อมไปด้วยประชาชนที่มารอฟังสุนทรพจน์ของเขาเรือนแสนคน speech ในวันนั้น สะกดทั้งผู้คนที่ฟังอยู่เบื้องหน้าเขาในตอนนั้น และปัจเจกชนในฐานะมนุษย์คนหนึ่งจนถึงปัจจุบัน และนี่คือสุนทรพจน์ความยาว 17 นาที ที่คิงกล่าวระหว่างการประท้วงอย่างสันติ ขณะที่ด้านหน้าของเขาคือ อนุสาวรีย์วอชิงตัน และมีรูปปั้นอนุสาวรีย์ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอร์น ประธานาธิบดีผู้ประกาศเลิกทาสเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เฝ้ามองอยู่จากด้านหลัง ‘I have a dream’ - ข้าพเจ้ามีความฝัน ข้าพเจ้ายินดีและมีความสุขมากที่ได้ร่วมเดินทางกับพวกท่านในวันนี้ การเดินทางที่จะถูกบันทึกลงบนหน้าประวัติศาสตร์ว่า เป็นจุดเริ่มต้นของการประกาศอิสรภาพครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศชาติของเรา เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ชาวอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ที่เรากำลังยืนอยู่ใต้ร่มเงาของเขาในวันนี้ ได้ลงสนามเพื่อประกาศปลดปล่อยเราไปสู่อิสรภาพ คำประกาศนั้นเป็นเหมือนแสงแห่งความหวังให้กับชาวนิโกรหลายล้านคน ที่กำลังถูกแผดเผาไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความอยุติธรรม เป็นรุ่งสางอันน่ายินดีที่ได้ยุติค่ำคืนแห่งการถูกจองจำอันยาวนาน แต่หนึ่งร้อยปีต่อมา ชาวนิโกรยังคงไม่เป็นอิสระ หนึ่งร้อยปีต่อมา ชีวิตของชาวนิโกรยังคงพิกลพิการ ถูกล่ามไว้ด้วยพันธนาการจากโซ่ตรวนของการเลือกปฏิบัติ หนึ่งร้อยปีต่อมา ชาวนิโกรยังอาศัยอย่างโดดเดี่ยวบนหมู่เกาะแห่งความยากจน ท่ามกลางมหาสมุทรแห่งความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุอันกว้างใหญ่ หนึ่งร้อยปีต่อมา ชาวนิโกรยังอยู่ในซอกหลืบของชุมชนอเมริกันเพื่อพบว่า พวกเขาถูกกระทำอย่างคนถูกเนรเทศในประเทศของพวกเขาเอง และนี่คือเหตุผลที่เรามาที่นี่ในวันนี้ เพื่อทำให้สภาพอันน่าสมเพชนี้เป็นที่ประจักษ์ชัด ในแง่หนึ่ง พวกเดินทางมาที่เมืองหลวงใจกลางประเทศแห่งนี้เพื่อเอาเช็คมาขึ้นเงิน เมื่อครั้งที่สถาปนิกผู้สร้างสาธารณรัฐแห่งนี้เขียนถ้อยคำที่งดงามลงบนรัฐธรรมนูญและคำประกาศอิสรภาพ พวกเขากำลังลงนามในตั๋วสัญญาที่เป็นมรดกของชาวอเมริกันทุกคน บันทึกนี้เป็นสัญญาว่า คนทุกคนเท่าเทียมกัน ทั้งคนผิวดำและคนผิวขาว จะได้รับการประกันสิทธิอันมิอาจพรากไปได้ นั่นคือ สิทธิในชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข ทว่า เป็นที่ชัดเจนแล้วในวันนี้ว่า อเมริกาได้เบี้ยวหนี้ตามตั๋วสัญญานี้ โดยคำนึงถึงสีผิวของพลเมืองเป็นที่ตั้ง แทนที่จะเคารพพันธสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์นี้ อเมริกากลับมอบเช็คเด้งให้แก่ประชาชนนิโกร เช็คที่ถูกส่งคืนพร้อมตราประทับว่า ‘ไม่มีเงินเพียงพอ’ แต่พวกเราไม่ยอม เราไม่เชื่อว่าธนาคารแห่งความยุติธรรมแห่งนี้ได้ล้มละลายลงแล้ว เราไม่ยอมเชื่อว่า ไม่มีเงินเพียงพอในคลังใต้ดินแห่งโอกาสอันมหึมาในประเทศนี้ ดังนั้น เราจึงเดินทางมาที่นี่เพื่อนำเช็คใบนี้มาขอขึ้นเงิน เช็คที่จะจ่ายเราด้วยเสรีภาพและความมั่นคงของระบบยุติธรรมทันทีที่เรายื่นให้ พวกเราเดินทางมายังสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เพื่อย้ำเตือนถึงความเร่งด่วนที่ต้องทำตอนนี้ เดี๋ยวนี้ นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาฟุ่มเฟือยกับความใจเย็น หรือกลืนกินมาตรการค่อยเป็นค่อยไปเป็นยาระงับความรู้สึก บัดนี้ถึงเวลาที่จะทำให้สัญญาแห่งประชาธิปไตยเป็นจริง บัดนี้ถึงเวลาที่ต้องลุกขึ้นให้พ้นจากความมืดมิดและอ้างว้างของหุบเขาแห่งการแบ่งแยกสีผิว ไปสู่เส้นทางแห่งความยุติธรรมทางเชื้อชาติ บัดนี้ถึงเวลาที่จะยกระดับชาติของเราออกจากหล่มแห่งความอยุติธรรมทางเชื้อชาติ ไปยังภูผาแกร่งแห่งภราดรภาพ บัดนี้ถึงเวลาที่จะทำให้ความยุติธรรมกลายเป็นความจริงสำหรับบุตรธิดาของพระเจ้าทุกผู้ทุกนาม ประเทศชาติจะประสบกับความหายนะหากเรามองข้ามห้วงเวลาแห่งความเร่งด่วนนี้ ฤดูร้อนที่กำลังคุกรุ่นจากความไม่พอใจอันชอบธรรมของชาวนิโกรจะไม่ผ่านพ้นไป จนกว่าจะพบกับฤดูใบไม้ร่วงอันเปี่ยมด้วยเสรีภาพและความเท่าเทียมจะมาถึง ปี 1963 ไม่ใช่จุดสิ้นสุด หากแต่เป็นจุดเริ่มต้น ผู้คนที่คาดหวังว่า ชาวนิโกรต้องการเพียงระเบิดความอัดอั้น แล้วก็คงจบลงด้วยความรู้สึกพอใจนั้นจะตื่นตะลึงอย่างรุนแรงต่างหาก ถ้าประเทศชาติกลับไปใช้ชีวิตเป็นปกติอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะไม่มีความสงบและสันติในอเมริกาจนกว่านิโกรจะได้รับสิทธิพลเมืองอย่างแท้จริง ความปั่นป่วนจากการจลาจลจะดำเนินต่อไป เพื่อสั่นคลอนรากฐานของประเทศนี้ จนกว่าจะถึงวันที่ความยุติธรรมบังเกิด แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่ข้าพเจ้าต้องบอกกล่าวกับประชาชน ผู้ยืนอยู่ตรงปากประตูอันอบอุ่นเบื้องหน้าปราสาทแห่งความยุติธรรม ในกระบวนการที่จะพาไปสู่สถานะอันถูกต้องและชอบธรรม เราต้องบริสุทธิ์จากการกระทำความผิดต่าง ๆ อย่าตอบสนองความกระหายในเสรีภาพของพวกเราด้วยการดื่มจากถ้วยแห่งความขมขื่นและความเกลียดชัง เราต้องดำเนินการต่อสู้บนฐานแห่งเกียรติภูมิและวินัยอันสูงส่ง เราต้องไม่ยอมให้การประท้วงที่สร้างสรรค์ ลดต่ำลงสู่ความรุนแรงทางกายภาพ ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เราต้องยืนหยัดอย่างสง่างามของการปะทะพลังแห่งร่างกายด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณ ความมุ่งมั่นต่อสู้ครั้งใหม่ ซึ่งปกคลุมทั่วทั้งชุมชนนิโกร ต้องไม่ทำให้พวกเราเกิดความไม่ไว้วางใจคนผิวขาวทั้งปวง พี่น้องคนขาวหลายคนตระหนักดีแล้วว่า ชะตากรรมของพวกเขาผูกติดกับชะตากรรมของพวกเรา เสรีภาพของพวกเขาผูกพันสนิทแนบแน่นกับเสรีภาพของพวกเราอย่างแยกไม่ออก การมาร่วมชุมนุมของพวกเขาในวันนี้เป็นประจักษ์พยานได้เป็นอย่างดี พวกเราไม่สามารถก้าวเดินอย่างเดียวดายได้ ในขณะที่เราก้าวเดิน เราต้องตั้งมั่นว่า เราจะต้องก้าวเดินไปข้างหน้าเสมอ เราไม่อาจหันหลังกลับได้ มีคนถามนักต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองว่า ‘เมื่อไรคุณถึงจะพอใจ?’ เราไม่อาจพอใจได้ ตราบใดที่นิโกรยังเป็นเหยื่อของความทารุณโหดร้ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เราไม่อาจพอใจได้ ตราบที่ร่างกายที่หนักและเหนื่อยล้าจากการเดินทางของเรามิอาจเข้าพักในโรงแรมริมทางหลวงหรือโรงแรมในเมืองได้ เราไม่อาจพอใจได้ ตราบใดที่นิโกรยังไม่ได้รับสิทธิความต้องการขั้นพื้นฐาน เราไม่อาจพอใจได้ ตราบใดที่ลูกหลานของเราถูกปล้นศักดิ์ศรีไปด้วยสัญลักษณ์ที่ระบุว่า ‘สำหรับคนขาวเท่านั้น’ เราไม่อาจพอใจได้ ตราบที่นิโกรในมิสซิสซิปปียังไม่มีสิทธิลงคะแนนเสียง และนิโกรในนิวยอร์กยังเชื่อว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะออกไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เราไม่พอใจ และเราจะไม่พอใจจนกว่าความยุติธรรมจะหลั่งรินลงมาดุจสายน้ำ และความถูกต้องเที่ยงธรรมจะไหล่บ่าดังกระแสน้ำเชี่ยว ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าจะไม่รู้ว่าพวกท่านบางคนได้ผ่านความโศกเศร้าและความทุกข์ครั้งใหญ่มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน กว่าจะมาถึงที่นี่ บางคนเพิ่งออกมาจากห้องขังอันคับแคบ บางคนมาจากพื้นที่ซึ่งการแสวงหาเสรีภาพได้ทำให้ท่านสะบักสะบอมจากพายุอันเลวร้าย และโซซัดโซเซจากสายลมแห่งความทารุณกรรมของตำรวจ พวกท่านมีประสบการณ์กับความทุกข์ทรมานอย่างหนักหน่วง จงต่อสู้ต่อไปด้วยศรัทธาว่า ความทุกข์ยากที่ไม่คู่ควรนี้สามารถถูกปลดเปลื้องได้ จงกลับไปยังมิสซิสซิปปี จงกลับไปยังแอละแบมา จงกลับไปยังเซาท์แคโรไลนา จงกลับไปยังจอร์เจีย จงกลับไปยังลุยเซียนา จงกลับไปยังสลัมและชุมชนแออัดในเมืองทางเหนือของเรา และรับรู้ไว้ว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สถานการณ์เช่นนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ขอให้พวกเราอย่าเกลือกกลิ้งอยู่ในหุบเขาแห่งความสิ้นหวัง หมู่มิตรทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอกล่าวกับพวกท่านในวันนี้ว่า แม้พวกเราจะต้องเผชิญความยากลำบากในวันนี้และวันพรุ่งนี้ แต่ข้าพเจ้าก็ยังมีความฝัน ความฝันที่หยั่งรากลึกลงไปในความฝันแบบอเมริกัน ข้าพเจ้ามีความฝันว่า วันหนึ่ง ประเทศนี้จะหยัดยืนและดำรงอยู่ด้วยความหมายแท้จริงของหลักการที่ว่า พวกเรายืนหยัดกับความจริงที่ชัดแจ้งในตัวมันเองว่า ‘มนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน’ ข้าพเจ้ามีความฝันว่า วันหนึ่ง บนเนินเขาแดงแห่งจอร์เจีย ลูกของอดีตทาสและลูกของอดีตนายทาสจะสามารถนั่งร่วมโต๊ะแห่งภราดรภาพ ข้าพเจ้ามีความฝันว่า วันหนึ่ง แม้แต่ในรัฐมิสซิสซิปปี รัฐที่ร้อนระอุไปด้วยความอยุติธรรม ร้อนระอุไปด้วยความกดขี่บีฑา จะกลับกลายเป็นต้นธารแห่งเสรีภาพและความยุติธรรม ข้าพเจ้ามีความฝันว่า วันหนึ่ง ลูกน้อยทั้งสี่ของข้าพเจ้าจะอาศัยอยู่ในประเทศที่พวกเขาไม่ถูกพิพากษาตัดสินด้วยสีผิวของพวกเขา แต่ด้วยชื่อเสียงและสิ่งที่พวกเขากระทำ วันนี้ ข้าพเจ้ามีความฝัน ข้าพเจ้ามีความฝันว่า วันหนึ่ง ในแอละแบมา ที่ซึ่งเต็มไปด้วยพวกเหยียดผิวผู้ชั่วร้าย และผู้ว่าการรัฐที่มีแต่คำพูดกีดกันขัดขวางและล้มล้างพวกเราอยู่นั้น สักวันหนึ่ง เด็กชายผิวดำและเด็กหญิงผิวดำตัวน้อยจะสามารถเดินจูงมือกับเด็กชายผิวขาวและเด็กหญิงผิวขาวตัวน้อยดุจดังพี่น้องกันได้ วันนี้ ข้าพเจ้ามีความฝัน ข้าพเจ้ามีความฝันว่า วันหนึ่ง หุบเขาทุกแห่งจะถูกยกขึ้น ภูเขาและเนินทุกแห่งจะต่ำลง ทางคดจะกลายเป็นทางตรง และทางที่ขรุขระจะกลายเป็นที่ราบ พระสิริของพระเยโฮวาห์จะถูกเปิดเผยอย่างสง่างาม เพื่อคนทั้งหลายทั้งปวงจะได้มองเห็นร่วมกัน นี่คือความหวังของพวกเรา นี่คือศรัทธาที่ข้าพเจ้าจะนำกลับไปยังภาคใต้ ด้วยศรัทธานี้ เราจะสามารถสกัดภูเขาแห่งความหดหู่ให้เป็นศิลาแห่งความหวัง ด้วยศรัทธานี้ เราจะเปลี่ยนเสียงเสียดหูทิ่มแทงชาติของเราให้เป็นซิมโฟนีอันงดงามแห่งภราดรภาพ ด้วยศรัทธานี้ เราจะสามารถทำงานร่วมกัน อธิษฐานร่วมกัน ต่อสู้ร่วมกัน ถูกจองจำร่วมกัน ยืนหยัดเพื่อเสรีภาพร่วมกัน โดยตระหนักว่า เราจะมีเสรีภาพในวันหนึ่ง และนี่คือวันนั้น นี่คือวันที่บุตรธิดาแห่งพระเจ้าทุกผู้ทุกนามจะสามารถขับร้องบทเพลงด้วยความหมายใหม่ ‘ประเทศของฉัน ดินแดนอันหอมหวานแห่งเสรีภาพ ฉันจะร้องเพลงอันเกี่ยวกับเหล่าบรรพบุรุษของฉัน ดินแดนแห่งความภาคภูมิของผู้ก่อตั้งอาณานิคม จากทั่วทุกหุบเขา ขอให้เสรีภาพก้องกังวาน และถ้าอเมริกาจะเป็นชาติอันยิ่งใหญ่ มันต้องเกิดขึ้นจริง ขอให้เสรีภาพก้องกังวานจากยอดเขาอันงดงามของนิวแฮมเชียร์ ขอให้เสรีภาพก้องกังวานจากภูเขาอันยิ่งใหญ่ของนิวยอร์ก ขอให้เสรีภาพก้องกังวานจากที่ราบสูงอัลเลเกนีของเพนซิลเวเนีย ขอให้เสรีภาพก้องกังวานจากเทือกเขาร็อกกีอันปกคลุมด้วยหิมะของโคโลราโด ขอให้เสรีภาพก้องกังวานจากเนินเขาอันคดเคี้ยวของแคลิฟอร์เนีย ไม่เพียงเท่านั้น ขอให้เสรีภาพก้องกังวานจากสโตนเมาน์เทนของจอร์เจีย ขอให้เสรีภาพก้องกังวานจากลุคเอาท์เมาน์เทนของเทนเนสซี ขอให้เสรีภาพก้องกังวานจากทั่วทุกเนินเขาและเนินดินของมิสซิสซิปปี จากทั่วทุกชายเขา ขอให้เสรีภาพก้องกังวาน! และเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น เมื่อเรายอมให้เสรีภาพก้องกังวาน เมื่อเราปล่อยให้มันก้องกังวานจากทั่วทุกหมู่บ้านใหญ่น้อย ทั่วทุกรัฐ ทั่วทุกเมือง พวกเราจะสามารถเร่งวันเวลาที่บุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า ทั้งคนผิวดำและคนผิวขาว ทั้งชาวยิวและชาวต่างชาติ ทั้งโปรเตสแตนต์และคาทอลิก จะสามารถจับมือกันและขับร้องบทเพลงแห่งจิตวิญญาณของบรรพบุรุษนิโกร ‘เสรีภาพในที่สุด เสรีภาพในที่สุด ขอขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พวกเรามีเสรีภาพในที่สุด’ เรียบเรียงโดย: พิราภรณ์ วิทูรัตน์