04 มิ.ย. 2564 | 22:57 น.
*The People Talk เซ็กชันรวมสุนทรพจน์เปลี่ยนโลก *** ‘A Sense of Purpose’ สุนทรพจน์ของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ในงานรับปริญญาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด, สหรัฐอเมริกา วันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก อาจเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย (แต่ได้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากความสำเร็จในอาชีพที่ทำ) แต่ไม่ใช่ปัญหา เพราะทุกคนรู้ว่า เขาคือคนรุ่นใหม่วัยมิลเลนเนียลที่เปลี่ยนโลกได้ด้วยโซเชียลมีเดีย Facebook ที่สร้างขึ้นมาโดยไม่ต้องการปริญญามหาวิทยาลัย ในสุนทรพจน์ที่กล่าวกับนักศึกษาจบใหม่ บิดาผู้ก่อตั้ง Facebook เล่าประสบการณ์ตั้งแต่ก่อนเข้าฮาร์วาร์ด จนพบรักกับภรรยา และลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน เพื่อทำตามฝันในการเชื่อมคนทั้งโลกเข้าด้วยกัน มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ยังเผยถึงความท้าทายของคนรุ่นใหม่ในการทำงาน และการสร้างสำนึกในเป้าหมายของชีวิต พร้อมแนะเคล็ดลับ 3 ข้อสู่ความสำเร็จในการเปลี่ยนโลกของคนรุ่นมิลเลนเนียล ในสุนทรพจน์ความยาวประมาณ 30 นาทีชิ้นนี้ “ผมรักสถานที่แห่งนี้ ขอบคุณทุกคนที่ออกมาท่ามกลางสายฝน เราจะทำให้มันคุ้มค่าสำหรับท่าน ท่านอธิการบดีเฟาต์, คณะกรรมการกำกับดูแล, คณาจารย์, เพื่อน ๆ, ศิษย์เก่า, ผู้ปกครองที่ภาคภูมิใจ, สมาชิกบอร์ดบริหาร และผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาอยู่กับท่านวันนี้เนื่องจากต้องยอมรับว่า พวกท่านประสบความสำเร็จในบางสิ่งที่ผมไม่เคยทำสำเร็จมาก่อน ถ้าผมกล่าวสุนทรพจน์นี้จบ มันจะเป็นครั้งแรกที่ผมทำบางอย่างสำเร็จที่ฮาร์วาร์ด นักศึกษารุ่นปี 2017 ขอแสดงความยินดีด้วยครับ จริง ๆ แล้วผมไม่ควรได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในวันนี้ ไม่ใช่แค่เพราะผมดรอปเอาต์ (ลาออกกลางคัน) แต่เป็นเพราะเราเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน เราเดินอยู่บนสนามหญ้าแห่งนี้ห่างกันไม่ถึงทศวรรษ ศึกษาแนวคิดเดียวกัน และเคยหลับในห้องเรียนวิชา Ec10 (หลักเศรษฐศาสตร์พื้นฐาน) เหมือนกัน เราอาจมีเส้นทางมาถึงตรงนี้ต่างกัน โดยเฉพาะหากท่านเดินทางมาจาก ‘เดอะ ควอด’ (วิทยาเขตห่างไกลจากศูนย์กลางมหาวิทยาลัย) แต่วันนี้ผมอยากแบ่งปันสิ่งที่ผมได้เรียนรู้มาเกี่ยวกับคนรุ่นเรา และโลกที่เรากำลังสร้างมันขึ้นมาร่วมกัน แต่ก่อนอื่น ในช่วง 2 วันสุดท้ายมันทำให้ผมหวนคิดถึงความทรงจำดี ๆ มากมาย มีกี่คนที่จำได้ชัดเจนว่า ท่านอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรตอนได้รับอีเมลแจ้งให้ทราบว่าได้เข้าเรียนที่ฮาร์วาร์ด ? ผมกำลังเล่นวิดีโอเกม Civilization อยู่และวิ่งลงมาชั้นล่าง เจอกับคุณพ่อ และด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบ ปฏิกิริยาของท่านคือการถ่ายวิดีโอตอนผมกำลังเปิดอ่านอีเมล จริง ๆ แล้วมันอาจเป็นวิดีโออันแสนเศร้าก็ได้นะ แต่ผมสาบานได้เลยว่า การได้เข้าเรียนที่ฮาร์วาร์ด ยังคงเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองภาคภูมิใจในตัวผมมากที่สุด คุณแม่ผมพยักหน้า ท่านรู้ว่าผมกำลังพูดอะไร แล้วมีกี่ท่านที่จำคาบเรียนแรกที่ฮาร์วาร์ดได้บ้าง? คาบแรกของผมคือวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ 121 กับอาจารย์แฮร์รี ลูอิส ผู้เหลือเชื่อ วันนั้นผมมาเรียนสาย เลยรีบคว้าเสื้อทีเชิ้ตใส่โดยไม่ได้สังเกตในตอนแรกว่ามันกลับตะเข็บ และหันป้ายข้างในเสื้อด้านหลังออกมาด้านหน้า ผมคิดไม่ออกเลยว่าทำไมไม่มีใครคุยกับผม ยกเว้นเขาคนเดียว นั่นก็คือ เคเอ็กซ์ จิน เขาแค่ทำอย่างนั้น สุดท้ายเราได้ร่วมกันแก้ปัญหาต่าง ๆ และตอนนี้เขาก็ร่วมดูแลส่วนสำคัญของ Facebook และนักศึกษารุ่นปี 2017 ครับ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมท่านจึงควรทำตัวเป็นมิตรกับผู้อื่น แต่ความทรงจำที่ดีที่สุดของผมจากฮาร์วาร์ด คือการได้พบกับพริสซิลลา ผมเพิ่งเปิดตัวเว็บไซต์ขำ ๆ นี้ที่ชื่อ Facemash และบอร์ดบริหารมหาวิทยาลัยก็ต้องการจะ ‘เจอผม’ ทุกคนคิดว่าผมน่าจะโดนไล่ออก ผู้ปกครองของผมขับรถมาช่วยเก็บของแล้ว เพื่อน ๆ ก็จัดงานปาร์ตี้เลี้ยงส่ง ใครกันทำอย่างนั้นนะ เป็นโชคดีของผมที่พริสซิลลาก็มางานปาร์ตี้กับเพื่อน ๆ เราเจอกันระหว่างต่อแถวเข้าห้องน้ำในตึกหอพักโฟโฮ เบลล์ทาวเวอร์ (Pfoho Belltower) และประโยคหนึ่งที่ผมหันไปพูดซึ่งต้องได้เป็นประโยคโรแมนติกตลอดกาล คือ ‘ผมกำลังจะถูกไล่ออกในอีก 3 วัน เราควรไปออกเดตกันโดยเร็วนะครับ’ จริง ๆ แล้ว ทุกท่านที่กำลังจบการศึกษาก็สามารถนำประโยคนั้นไปใช้ได้ ‘ผมกำลังถูกไล่ออกวันนี้ เราควรไปออกเดตกันด่วนครับ’ สุดท้ายแล้วผมไม่ได้ถูกไล่ออก แต่ผมลาออกเอง พริสซิลลาและผมก็เริ่มคบหากัน และท่านรู้ไหม ภาพยนตร์เรื่องนั้น (The Social Network) ทำราวกับว่า Facemash มีความสำคัญมากในการกำเนิด Facebook มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่หากไม่มี Facemash ผมก็จะไม่ได้เจอพริสซิลลา และเธอคือคนสำคัญที่สุดในชีวิตของผม ท่านอาจพูดว่ามันคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ผมสร้างขึ้นมาในช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ก็ว่าได้ เราทุกคนเริ่มต้นมิตรภาพที่จะอยู่ไปชั่วชีวิตกันที่นี่ บางคนอาจนับญาติเป็นครอบครัวกัน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมจึงขอบคุณสถานที่แห่งนี้ ขอบคุณครับฮาร์วาร์ด วันนี้ผมอยากพูดถึงเรื่องเป้าหมาย แต่ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อกล่าวสุนทรพจน์ทั่วไปเกี่ยวกับการตามหาเป้าหมายของท่าน เราเป็นคนรุ่นมิลเลนเนียล เราจะพยายามทำสิ่งนั้นตามสัญชาตญาณของเรา ในทางกลับกัน ผมมาที่นี่เพื่อจะบอกว่า การตามหาเป้าหมายอย่างเดียวไม่พอ ความท้าทายของคนรุ่นเราคือการสร้างโลกที่ทุกคนต้องมีสำนึกในเป้าหมาย (A sense of purpose) ด้วย หนึ่งในเรื่องราวที่ผมชื่นชอบ คือตอน จอห์น เอฟ เคนเนดี ไปเยือนศูนย์อวกาศขององค์การนาซา เขาพบภารโรงคนหนึ่งถือไม้กวาด จึงถามภารโรงท่านนั้นว่าเขากำลังทำอะไร ภารโรงตอบกลับมาว่า ‘ท่านประธานาธิบดีครับ ผมกำลังช่วยส่งมนุษย์ขึ้นไปบนดวงจันทร์’ เป้าหมาย คือความรู้สึกแบบนั้นที่ว่า เราคือส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา, เรามีความสำคัญ, เรามีบางอย่างให้ทำเพื่อสิ่งที่ดีกว่าที่รออยู่ข้างหน้า, เป้าหมายคือสิ่งที่สร้างความสุขที่แท้จริง ท่านกำลังจบออกไปในเวลาที่สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ตอนผู้ปกครองของเราเรียนจบ เป้าหมายหลัก ๆ มักมาจากเรื่องงาน โบสถ์ และชุมชนของท่าน แต่ทุกวันนี้ เทคโนโลยีและการควบคุมอัตโนมัติกำลังกำจัดงานจำนวนมากให้หายไป การเป็นสมาชิกชุมชนต่าง ๆ กำลังลดลง หลายคนรู้สึกถูกตัดขาดและซึมเศร้า และกำลังพยายามเติมเต็มสิ่งที่หายไป ขณะผมเดินทางไปทั่ว ผมได้นั่งคุยกับเด็ก ๆ ในศูนย์ควบคุมเยาวชนและผู้ติดยาเสพติด พวกเขาบอกกับผมว่า ชีวิตเขาอาจพลิกผันไปจากที่เป็น หากพวกเขาแค่มีบางอย่างให้ทำ, มีโปรแกรมหลังเลิกเรียน หรือบางสถานที่ให้ไป ผมพบกับคนงานโรงงานที่รู้ตัวว่างานเดิม ๆ ของพวกเขาจะไม่กลับคืนมา และกำลังพยายามตามหาพื้นที่ของตนเอง เพื่อให้สังคมของเรายังเคลื่อนไปข้างหน้า เรามีเรื่องท้าทายของคนรุ่นเรา นั่นคือ ไม่ใช่แค่สร้างงานใหม่ขึ้นมา แต่ต้องสร้างสำนึกในเป้าหมายใหม่ขึ้นมาด้วย ผมจำค่ำคืนที่เริ่มเปิดตัว Facebook ที่หอพักเล็ก ๆ ในตึกเคิร์กแลนด์ เฮาส์ได้ดี ผมไปที่นอคส์ (ร้านพิซซ่า) กับเคเอ็กซ์ เพื่อนของผม ผมจำได้ผมบอกกับเขาว่า รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เชื่อมชุมชนฮาร์วาร์ดเข้าด้วยกัน แต่วันหนึ่งจะมีใครสักคนที่เชื่อมโลกทั้งใบเข้าด้วยกัน สิ่งที่จะบอกก็คือ ผมไม่เคยคิดเลยว่าใครสักคนที่ว่านั้นอาจเป็นเรา เราเป็นแค่เด็กนักศึกษา เราไม่รู้อะไรเลยในเรื่องนั้น มีบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ ที่เพียบพร้อมไปด้วยทรัพยากรเต็มไปหมด ผมแค่คิดเอาเองว่าหนึ่งในนั้นอาจทำมันขึ้นมา แต่ความคิดนี้มันชัดเจนมากสำหรับเรา ความคิดที่ว่าทุกคนต้องการเชื่อมต่อกัน เราเลยเดินหน้าทำต่อไป วันแล้ววันเล่า ผมรู้ว่าท่านหลายคนจะมีเรื่องราวแบบนี้ของตนเอง การเปลี่ยนแปลงโลกที่ดูเหมือนชัดเจนจนท่านแน่ใจว่าบางคนจะทำมัน แต่พวกเขาไม่ทำ และท่านจะทำเอง แต่การมีเป้าหมายของตัวเองยังไม่พอ ท่านต้องสร้างสำนึกในเป้าหมายให้ผู้อื่นด้วย ผมค้นพบสิ่งนี้มาด้วยความยากลำบาก ท่านเข้าใจใช่ไหมว่า ความหวังของผมไม่ใช่การก่อตั้งบริษัท แต่คือการสร้างผลกระทบให้เกิดขึ้น และขณะผู้คนเหล่านี้เริ่มร่วมมือกับผม ผมแค่คิดเอาเองว่า นั่นคือสิ่งที่พวกเขาสนใจคล้ายกัน ผมจึงไม่เคยอธิบายสิ่งที่ผมหวังจะสร้างมันขึ้นมา อีก 2 ปีต่อมา บริษัทใหญ่บางบริษัทต้องการซื้อกิจการของเรา แต่ผมไม่อยากขายมัน ผมต้องการดูต่อไปว่าเราจะสามารถเชื่อมต่อผู้คนได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ เรากำลังสร้าง News Feed ขึ้นมาเป็นครั้งแรก และผมก็คิดว่า หากเราแค่สามารถเปิดตัวสิ่งนี้ มันอาจเปลี่ยนวิธีที่เราเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ บนโลก คนอื่นเกือบทุกคนในบริษัทต้องการขาย หากปราศจากสำนึกในเป้าหมายที่สูงขึ้นไป นี่คือฝันที่เป็นจริงของสตาร์ทอัพ และมันทำให้บริษัทของเราแตกแยกกัน หลังการถกเถียงอย่างตึงเครียด ที่ปรึกษาผู้หนึ่งบอกกับผมว่า หากผมไม่ยอมขายบริษัทตอนนี้ ผมจะเสียใจกับการตัดสินใจนี้ไปตลอดชีวิต ความสัมพันธ์ตึงเครียดถึงขั้นที่ภายในเวลาประมาณปีเดียว ทุกคนในทีมบริหารทยอยลาออกไปจนไม่เหลือใครสักคน นั่นคือช่วงเวลายากลำบากที่สุดในการนำพา Facebook ก้าวต่อไป ผมเชื่อในสิ่งที่เรากำลังทำ แต่ผมรู้สึกเดียวดาย และที่ร้ายไปกว่านั้น มันเป็นความผิดของผม ผมสงสัยว่าตัวเองแค่ผิดพลาดเองหรือไม่ ? ผมเป็นคนหลอกลวง เป็นเด็กอายุ 22 ปีที่ไม่รู้เลยว่าโลกจริง ๆ เป็นอย่างไรหรือ ? ตอนนี้หลายปีต่อมา ผมเข้าใจแล้วว่า สิ่งต่าง ๆ ทำงานอย่างไรหากไร้ซึ่งสำนึกในเป้าหมายที่สูงขึ้นไป มันคือสิ่งที่เราต้องสร้างขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนยังสามารถเคลื่อนไปข้างหน้าร่วมกัน วันนี้ผมอยากพูดถึง 3 วิธีในการสร้างโลกที่ทุกคนมีสำนึกในเป้าหมาย ด้วยการทำโครงการใหญ่ที่เปี่ยมความหมายร่วมกัน, ด้วยการให้คำจำกัดความใหม่กับความเสมอภาค เพื่อให้ทุกคนมีอิสรภาพในการไล่ตามเป้าหมาย และด้วยการสร้างชุมชนขึ้นทั่วโลก #วิธีแรกเราไปดูเรื่องโครงการขนาดใหญ่ที่เปี่ยมความหมายกัน คนรุ่นเราจะต้องรับมือกับงานหลายสิบล้านตำแหน่งซึ่งถูกแทนที่ด้วยระบบควบคุมอัตโนมัติ เช่น รถยนต์และรถบรรทุกขับเคลื่อนด้วยตนเอง แต่เรามีศักยภาพที่จะทำมากกว่านั้นอีกเยอะ คนทุกรุ่นมีงานประจำที่มีความหมายของตนเอง มีมากกว่า 300,000 คนทำงานเพื่อส่งมนุษย์ขึ้นไปบนดวงจันทร์ รวมถึงภารโรงท่านนั้นด้วย อาสาสมัครหลายล้านคนช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกันโปลิโอให้เด็กทั่วโลก ผู้คนอีกกว่าหลายล้านคนช่วยกันสร้างเขื่อนฮูเวอร์ และทำโครงการใหญ่อื่น ๆ ตอนนี้ถึงคราวที่เราต้องทำสิ่งใหญ่ ๆ บ้าง ผมรู้ว่าบางทีท่านอาจคิดว่า ผมไม่รู้วิธีสร้างเขื่อน หรือทำให้คนหลายล้านคนเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ผมจะบอกความลับข้อหนึ่งให้ ไม่มีใครรู้ตั้งแต่ต้น ความคิดต่าง ๆ ยังไม่ได้เป็นรูปเป็นร่างอย่างสมบูรณ์ พวกมันจะชัดเจนขึ้นก็ต่อเมื่อท่านลงมือทำ ท่านแค่ต้องเริ่มต้นให้ได้ หากผมต้องเข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับการเชื่อมผู้คนเข้าด้วยกันก่อนจะเริ่มลงมือ ผมก็คงไม่ได้เริ่มต้นทำ Facebook บรรดาภาพยนตร์และวัฒนธรรมป็อปเข้าใจสิ่งนี้ผิดกันไปหมด ความคิดเรื่องการรู้แจ้งได้ภายในพริบตา คือคำหลอกลวงที่อันตราย มันทำให้เรารู้สึกไม่คู่ควรเพราะเราไม่เคยมีช่วงเวลานั้น มันขัดขวางผู้คนที่มีเมล็ดพันธุ์แห่งความคิดดี ๆ ไม่ให้ได้เริ่มต้น โอ้! ท่านรู้เรื่องอื่นอีกไหม ? ภาพยนตร์ยังเข้าใจผิดในเรื่องนวัตกรรมด้วย ไม่มีใครเขาเขียนสูตรคณิตศาสตร์กันบนกระจกหรอก นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาทำกัน มันเป็นเรื่องดีที่จะมีอุดมคติ แต่ต้องเตรียมตัวที่จะถูกเข้าใจผิดด้วย ผู้ใดกำลังทำตามวิสัยทัศน์ใหญ่ ๆ จะถูกเรียกว่าบ้า ถึงแม้สุดท้ายท่านจะทำถูกต้องก็ตาม ผู้ใดกำลังแก้ไขปัญหาสลับซับซ้อนจะโดนตำหนิว่าไม่เข้าใจความท้าทายอย่างถ่องแท้ แม้มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้ทุกอย่างล่วงหน้า ผู้ใดกำลังทำตามความคิดริเริ่มใหม่ ๆ จะถูกวิจารณ์ว่าก้าวไปข้างหน้าเร็วเกินไป เพราะมักจะมีบางคนต้องการเหนี่ยวรั้งท่านไว้ ในสังคมของเรา เรามักไม่ทำเรื่องใหญ่ ๆ เพราะกลัวทำผิดพลาด เป็นเหตุให้เราเมินเฉยต่อสิ่งผิด ๆ ทั้งหลายในทุกวันนี้ หากเราไม่ทำอะไรเลย ความเป็นจริงก็คือ ไม่ว่าเราจะทำอะไร มันจะกลายเป็นประเด็นในอนาคต แต่นั่นก็ไม่สามารถขัดขวางเราไม่ให้เริ่มลงมือทำ ดังนั้นเรากำลังรออะไรกันเล่า มันถึงเวลาของคนรุ่นเราแล้วในการให้ความหมายของการทำงานที่ยิ่งใหญ่ มาหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศกันดีไหม ก่อนที่เราจะทำลายโลก และดึงผู้คนหลายล้านคนให้มาเข้าร่วม ด้วยการผลิตและติดตั้งแผงโซลาร์เซล มาช่วยกันหาทางรักษาโรคทั้งหลายกันดีไหม และขอให้อาสาสมัครคอยเก็บข้อมูลสุขภาพและแชร์ข้อมูลทางพันธุกรรมต่าง ๆ ของเขา ทุกวันนี้เราจ่ายเงินรักษาคนป่วยไข้สูงกว่า 50 เท่าของก้อนที่ใช้หาทางป้องกันไม่ให้คนล้มป่วยตั้งแต่แรก มันเป็นเรื่องไร้เหตุผล เราสามารถแก้ไขสิ่งนี้ได้ มาช่วยกันทำให้ประชาธิปไตยมีความทันสมัยกันดีไหม ทำให้ทุกคนสามารถลงคะแนนเลือกตั้งออนไลน์ได้ และทำให้การศึกษามีหลักสูตรเฉพาะบุคคลเพื่อให้ทุกคนสามารถเล่าเรียนได้ ความสำเร็จเหล่านี้อยู่แค่เอื้อม เราจงทำมันทั้งหมดโดยให้ทุกคนในสังคมร่วมมีบทบาท เราจงมาทำสิ่งใหญ่ ๆ ไม่ใช่แค่เพื่อความก้าวหน้า แต่เพื่อสร้างเป้าหมาย ดังนั้นการทำโครงการใหญ่ที่เปี่ยมความหมาย คือสิ่งแรกที่เราสามารถทำได้เพื่อสร้างโลกที่ทุกคนมีสำนึกในเป้าหมายร่วมกัน #วิธีที่สองคือการให้คำจำกัดความใหม่กับความเสมอภาค เพื่อให้ทุกคนมีอิสระในการไล่ตามเป้าหมายนั้น ผู้ปกครองหลายคนมีงานการที่มั่นคงตลอดอาชีพของพวกเขา ตอนนี้เราทุกคนคือผู้ประกอบการ ไม่ว่าเรากำลังเริ่มต้นโปรเจกต์หรือกำลังมองหาบทบาทของตนเอง นั่นคือความยอดเยี่ยม วัฒนธรรมผู้ประกอบการของเราคือการทำอย่างไรจึงสร้างความก้าวหน้าให้ได้มาก ๆ ปัจจุบัน วัฒนธรรมผู้ประกอบการเจริญงอกงามเมื่อมันง่ายที่จะทดลองทำตามความคิดใหม่ ๆ มากมาย Facebook ไม่ใช่สิ่งแรกที่ผมสร้าง ผมยังสร้างระบบแชต, เกม, เครื่องมือเพื่อการศึกษา และเครื่องเล่นเพลงขึ้นมาด้วย และไม่ใช่ผมคนเดียว เจเค โรว์ลิง เคยถูกปฏิเสธ 12 ครั้งก่อนจะได้ตีพิมพ์หนังสือแฮร์รี พอตเตอร์ แม้แต่บียอนเซ ยังต้องทำเพลงมาเป็นร้อย ๆ กว่าจะได้เพลง Halo ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมาจากการมีอิสระที่จะล้มเหลว วันนี้เรามีระดับความมั่งคั่งไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งทำร้ายเราทุกคน เมื่อท่านไม่มีอิสระในการทำตามความคิดของตัวเองและเปลี่ยนให้มันเป็นโครงการประวัติศาสตร์ เราทุกคนล้วนพ่ายแพ้ ตอนนี้สังคมของเราให้คุณค่ากับการให้รางวัลความสำเร็จมากเกินไป และเรายังทำได้ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าเพียงพอ ที่จะทำให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคนในการลองทำสิ่งต่าง ๆ ให้ได้มาก ๆ เราจงยอมรับว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องในระบบของเรา เมื่อผมสามารถออกไปจากที่นี่และทำเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์ในเวลา 10 ปี ขณะที่นักศึกษาหลายล้านคนยังไม่สามารถจ่ายหนี้ของตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเริ่มต้นทำธุรกิจ คุณดูนี่ ผมรู้จักกับผู้ประกอบการหลายคน และผมไม่รู้จักสักคนที่ล้มเลิกการเริ่มต้นธุรกิจเพราะพวกเขาอาจไม่สามารถหาเงินได้พอ แต่ผมรู้จักหลายคนมากที่ไม่ได้เดินตามความฝัน เพราะพวกเขาไม่มีเบาะคอยรองรับยามล้มเหลว เราทุกคนรู้ดีว่า เราไม่ได้ประสบความสำเร็จเพียงเพราะมีไอเดียดีหรือทำงานหนัก เราประสบความสำเร็จเพราะมีโชคด้วย หากผมต้องคอยช่วยเหลือครอบครัวตอนโตมาแทนที่จะมีเวลาไปเขียนโค้ด หากผมไม่รู้ว่าผมจะยังสบายดีอยู่หรือไม่ หาก Facebook ไม่สำเร็จ ผมคงไม่ได้มายืนที่นี่ในวันนี้ และถ้าเราซื่อสัตย์ เราทุกคนล้วนรู้ตัวดีว่า พวกเราโชคดีมากแค่ไหนที่ได้มาถึงจุดนี้ คนทุกรุ่นขยายคำจำกัดความของคำว่าเสมอภาคแตกต่างกันไป คนรุ่นก่อนต่อสู้เพื่อสิทธิเลือกตั้ง และสิทธิความเป็นพลเมือง พวกเขามีโครงการ New Deal และ Great Society ส่วนตอนนี้คือเวลาที่คนรุ่นเราจะให้คำจำกัดความกับสัญญาประชาคมใหม่ เราควรมีสังคมที่วัดความก้าวหน้าด้วยมาตรวัดที่ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจอย่าง GDP แต่วัดด้วยจำนวนคนที่มีบทบาท ได้ทำตามสิ่งที่เรามองว่ามีความหมาย เราควรสำรวจความคิดต่าง ๆ อย่างการประกันรายได้ขั้นพื้นฐานเพื่อให้ทุกคนมีเบาะรองรับในการลองทำสิ่งใหม่ เราจะมีการเปลี่ยนงานกันหลายครั้ง เราจึงต้องการการเลี้ยงดูเด็กที่สามารถจ่ายได้เพื่อให้มีเวลาไปทำงาน และต้องการประกันสุขภาพที่ไม่ผูกมัดอยู่กับบริษัทเดียว เราทุกคนล้วนจะทำเรื่องผิดพลาด เราจึงต้องการสังคมที่ลดการมุ่งเน้นกักขังหรือตีตราบาปให้กับเรา และขณะเทคโนโลยียังเดินหน้าเปลี่ยนแปลงไป เราจึงต้องการมุ่งเน้นเรื่องการศึกษาต่อเนื่องตลอดชีวิตให้มากขึ้น และถูกต้องครับ ให้ทุกคนมีอิสรภาพในการไล่ตามเป้าหมายไม่ใช่ได้มาฟรี ๆ ผู้คนอย่างผมควรต้องจ่ายเพื่อสิ่งนี้ พวกท่านหลายคนก็จะมีชีวิตที่ดีและควรจ่ายตรงนี้เช่นกัน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพริสซิลลาและผมเริ่มโครงการ Chan Zuckerberg Initiative และอุทิศความมั่งคั่งของเราเพื่อส่งเสริมโอกาสอันเท่าเทียม สิ่งเหล่านี้คือค่านิยมของคนรุ่นเรา มันไม่เคยมีคำถามหากเราจะทำสิ่งนี้ คำถามเดียวที่มีก็คือ เมื่อไร คนรุ่นมิลเลนเนียลเป็นหนึ่งในรุ่นที่ใจบุญที่สุดในประวัติศาสตร์ไปแล้ว ในหนึ่งปีมีมากกว่า 3 ใน 4 ของชาวมิลเลนเนียลในสหรัฐฯ ที่ให้เงินบริจาค และมากกว่า 7 ใน 10 คนร่วมรณรงค์รับบริจาคเพื่อการกุศล แต่มันไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น ท่านยังสามารถให้เวลาได้ด้วย ผมสัญญากับพวกท่าน หากท่านใช้เวลาสัปดาห์ละ 1 หรือ 2 ชั่วโมงแค่นั้นในการยื่นมือช่วยเหลือบางคน ช่วยพวกเขาให้ได้ทำตามศักยภาพที่มี บางทีท่านอาจคิดว่ามันคือเวลาที่มากไป ผมก็เคยคิดอย่างนั้น ตอนพริสซิลลาเรียนจบจากฮาร์วาร์ด เธอไปทำงานเป็นครู และก่อนที่เธอจะมาทำงานด้านการศึกษากับผม เธอบอกกับผมว่า ผมควรมีประสบการณ์สอนหนังสือในห้องเรียนด้วยตนเอง แรก ๆ ผมบ่นว่า ‘เอ่อ ผมค่อนข้างยุ่ง ผมกำลังทำบริษัทนี้อยู่’ แต่เธอยังยืนกราน ผมจึงได้ไปสอนเรื่องการเป็นผู้ประกอบการในโปรแกรมหลังเลิกเรียนที่สโมสรท้องถิ่นชื่อ Boys and Girls Club ผมสอนพวกเขาเกี่ยวกับการตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และพวกเขาก็สอนผมว่ามันรู้สึกอย่างไรเมื่อต้องตกเป็นเป้าเรื่องเชื้อชาติ และมีคนในครอบครัวถูกขังอยู่ในเรือนจำ ผมแชร์เรื่องราวสมัยยังเป็นนักเรียน และพวกเขาก็แชร์ความหวังของเขาว่าสักวันจะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยด้วย จากนั้นมา 5 ปีจนถึงปัจจุบัน ผมได้รับประทานอาหารเย็นกับเด็กเหล่านั้นทุกเดือน หนึ่งในนั้นยังเคยจัดงานเลี้ยงฉลองรับขวัญลูกคนแรกของผมกับพริสซิลลาที่กำลังจะคลอดออกมาให้ด้วย และปีต่อมา พวกเขาก็ได้เข้ามหาวิทยาลัย พวกเขาทุกคน เป็นรุ่นแรกของครอบครัว เราทุกคนสามารถสละเวลาเพื่อช่วยเหลือบางคน เราจงให้อิสระกับทุกคนในการไล่ตามเป้าหมายของตนเอง ไม่ใช่แค่เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่เพราะเมื่อคนได้แปรเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่หลาย ๆ คนมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเราทุกคนจะมีชีวิตที่ดีขึ้น เป้าหมายไม่ได้มาจากการทำงานอย่างเดียว วิธีที่สามที่เราสามารถสร้างสำนึกในเป้าหมายเพื่อทุกคนคือการสร้างชุมชน และเมื่อคนรุ่นเราพูดว่าเป้าหมายสำหรับ ‘ทุกคน’ เราหมายถึงทุกคนบนโลก ชูมือด่วนครับ มีกี่ท่านในนี้มาจากต่างประเทศ อย่าเพิ่งเอามือลงนะครับ คราวนี้มีกี่ท่านที่เป็นเพื่อนกับหนึ่งในคนเหล่านี้ ตอนนี้เรากำลังพูดถึงเรื่องที่เราโตขึ้นมาผ่านการเชื่อมเข้าหากัน ในการสำรวจคนรุ่นมิลเลนเนียลทั่วโลก ถามว่าอะไรคือคำจำกัดความตัวตนของเรา คำตอบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดไม่ใช่เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ หรือศาสนา มันคือคำว่า ‘พลเมืองโลก’ นั่นเป็นเรื่องใหญ่นะ คนทุกรุ่นมีการขยายวัฏจักรของผู้คนที่เรามองว่าเป็น ‘หนึ่งในพวกเรา’ กว้างออกไป สำหรับพวกเรา ตอนนี้มันครอบคลุมไปทั่วโลกแล้ว เราเข้าใจว่าส่วนโค้งขนาดใหญ่ของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เอียงเข้าหาคนที่ออกมาร่วมกันในจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จากเผ่าต่าง ๆ สู่นคร และประเทศชาติ เพื่อทำสิ่งที่เราไม่สามารถทำได้ด้วยตนเองให้สำเร็จ เรารู้ดีว่าโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราตอนนี้คือเวทีโลก เราสามารถเป็นคนรุ่นที่ทำให้ความยากจนและโรคร้ายหายไป เรารู้ดีว่าความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของเราจำเป็นต้องได้รับการตอบสนองจากทั่วโลกเช่นกัน ไม่มีประเทศใดสามารถสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ หรือป้องกันโรคระบาดได้เพียงลำพัง ความก้าวหน้าในตอนนี้ต้องการความสามัคคี ไม่ใช่แค่ระดับเมืองหรือประเทศชาติ แต่เป็นระดับชุมชนของโลกทั้งใบ แต่เรามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาอันไร้เสถียรภาพ มีผู้คนถูกทิ้งไว้ข้างหลังด้วยกระแสโลกาภิวัฒน์ทั่วโลก มันเป็นเรื่องยากที่จะให้ความสนใจผู้คนในสถานที่อื่น หากเราเองยังไม่รู้สึกดีกับชีวิตที่นี่ในบ้านเรา มันมีแรงกดดันให้ต้องหันมามองภายใน นี่คือการต่อสู้ดิ้นรนในช่วงเวลาของเรา พลังแห่งอิสรภาพ, การเปิดกว้าง และชุมชนโลก ต่อสู้กับพลังแห่งลัทธิเผด็จการอำนาจนิยม, ลัทธิโดดเดี่ยว และลัทธิชาตินิยม พลังแห่งการลื่นไหลทางความรู้, การค้า และการอพยพ ต่อสู้กับคนเหล่านั้นที่จะมาชะลอพวกมันให้ช้าลง นี่ไม่ใช่สงครามระหว่างประเทศ แต่เป็นสงครามทางความคิด มีคนในทุกประเทศที่สนับสนุนการเชื่อมกันระดับโลก และคนดีที่ต่อต้านมัน สิ่งนี้จะไม่ถูกตัดสินแค่ที่ยูเอ็น มันจะเกิดขึ้นในระดับท้องถิ่น เมื่อพวกเรามีเพียงพอที่จะรู้สึกถึงสำนึกในเป้าหมาย และมีเสถียรภาพในชีวิตของตนเอง เราจะสามารถเปิดกว้างยอมรับและเริ่มให้ความสนใจกับคนอื่นทุกคน หนทางที่ดีที่สุดในการทำสิ่งนั้น คือการเริ่มสร้างชุมชนท้องถิ่นขึ้นเดี๋ยวนี้ เราทุกคนเข้าใจความหมายต่าง ๆ จากชุมชนของเรา ที่นี่มีใครบ้างมาจากเอลเลียต เฮาส์ (หมู่บ้านในฮาร์วาร์ด) ? แล้วใครบ้างมาจากโลวล์ ? ผมรู้ว่าพวกท่านเป็นชุมชนใหญ่ เพราะท่านอาศัยอยู่ชั้นบนของกันและกัน แล้วแมตเธอร์ (เฮาส์) ล่ะครับ ? ผมขอพูดแค่นี้พอ (หัวเราะ) ไม่ว่าชุมชนนั้นจะเป็นบ้านหรือทีมกีฬา โบสถ์หรือวงดนตรี พวกมันทำให้เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า, รู้สึกว่าเราไม่เดียวดาย พวกมันทำให้เราเข้มแข็งพอที่จะขยายเส้นขอบฟ้าของเราออกไป นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมมันจึงชัดเจนว่าตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา การเป็นสมาชิกกลุ่มต่าง ๆ ทุกรูปแบบจึงมีจำนวนลดลงถึง 1 ใน 4 และทำไมคนจำนวนมากตอนนี้จึงต้องการมองหาเป้าหมายในที่อื่น แต่ผมรู้ว่า เราสามารถสร้างชุมชนของเราขึ้นมาใหม่ และเริ่มต้นใหม่เพราะท่านหลายคนได้ทำแล้ว ผมได้พบกับแอกเนส อิโกเย ที่กำลังจบการศึกษาวันนี้ เธออยู่ไหนแอกเนส ? เธอใช้ชีวิตในวัยเด็กเดินทางสำรวจพื้นที่ความขัดแย้งต่าง ๆ ที่มีปัญหาค้ามนุษย์ในยูกันดา และตอนนี้เธอฝึกสอนเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายหลายพันคนเพื่อดูแลความปลอดภัยให้ชุมชน ผมได้พบกับ เคย์ลา โอ๊กลีย์ และนิฮา เจน ที่กำลังจบการศึกษาวันนี้เช่นกัน ลุกขึ้นยืนหน่อยครับ เคย์ลา และนิฮา เริ่มตั้งองค์กรไม่หวังกำไรที่เชื่อมผู้คนที่กำลังทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บป่วยเรื้อรังกับผู้คนในชุมชนของพวกเขาที่ประสงค์จะให้ความช่วยเหลือ ผมได้พบกับเดวิด ราซู อัซนาร์ กำลังจบการศึกษาจากเคนเนดี สกูล ในวันนี้ เดวิดยืนขึ้นหน่อยครับ เขาเป็นอดีตสมาชิกสภาของเมืองซึ่งประสบความสำเร็จในการนำกรุงเม็กซิโกซิตี้ ต่อสู้จนกลายเป็นเมืองแรกในละตินอเมริกาที่ผ่านกฎหมายรับรองการสมรสอย่างเท่าเทียม (ของคนเพศเดียวกัน) ก่อนหน้านครซานฟรานซิสโกด้วยซ้ำ นี่คือเรื่องราวของผมเช่นกัน นักศึกษาคนหนึ่งในหอพักที่เชื่อมชุมชนหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง และไม่หยุดทำจนกระทั่งวันหนึ่งเราเชื่อมโลกทั้งใบเข้าด้วยกัน การเปลี่ยนแปลงต่างๆเริ่มต้นในระดับท้องถิ่น แม้แต่การเปลี่ยนแปลงระดับโลกก็เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ด้วยคนอย่างพวกเรา ในรุ่นเรา การต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้เราเชื่อมคนได้มากขึ้นหรือไม่, เพื่อให้เราประสบความสำเร็จในโอกาสที่ใหญ่ที่สุดได้หรือไม่ มันมาจากสิ่งนี้ ความสามารถของท่านในการสร้างชุมชนและสร้างโลกที่ทุกคนมีสำนึกในเป้าหมาย นักศึกษารุ่นปี 2017 ครับ ท่านกำลังจบออกไปสู่โลกที่ต้องการเป้าหมาย มันขึ้นอยู่กับท่านว่าจะสร้างมันขึ้นมาหรือไม่ ตอนนี้ ท่านอาจกำลังคิดว่า ฉันจะทำสิ่งนี้ได้จริง ๆ หรือ ท่านจำได้ไหมที่ผมเล่าให้ฟังเกี่ยวกับห้องเรียนที่ผมเคยสอนที่สโมสร Boys and Girls Club มีอยู่วันหนึ่งหลังเลิกเรียน ผมกำลังเล่าให้พวกเขาฟังเกี่ยวกับเรื่องมหาวิทยาลัย และหนึ่งในนักเรียนที่เก่งที่สุดในชั้นยกมือขึ้นบอกว่า เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าจะสามารถเข้าไปเรียนได้หรือไม่ เพราะเขาเป็นบุคคลผิดกฎหมายไร้เอกสารรับรอง เขาไม่รู้ว่ามหาวิทยาลัยจะตอบรับหรือไม่ เมื่อปีที่แล้ว ผมพาเขาไปรับประทานอาหารเช้าฉลองวันเกิด ผมต้องการให้ของขวัญกับเขา ผมจึงถามเขาว่าต้องการอะไร และเขาก็เริ่มเล่าเรื่องนักศึกษาที่กำลังต่อสู้ดิ้นรนซึ่งเขาไปเจอมา และสุดท้ายก็บอกว่า ‘ท่านรู้ไหม จริง ๆ แล้วผมแค่อยากได้หนังสือเรื่องความเป็นธรรมทางสังคม’ ผมประทับใจมาก นี่คือวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีทุกเหตุผลให้เป็นคนมองโลกแง่ร้าย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าประเทศที่เขาเรียกว่าบ้าน ซึ่งเป็นที่เดียวที่เขารู้จัก จะปฏิเสธความฝันของเขาในการเข้ามหาวิทยาลัยหรือไม่ แต่เขาก็ไม่เคยเสียใจกับตัวเอง เขาไม่แม้แต่จะคิดถึงตัวเองด้วยซ้ำ เขามีสำนึกในเป้าหมายที่ใหญ่กว่า และจะพาผู้คนมาร่วมมือกับเขา มันบอกบางอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ผมไม่สามารถแม้แต่จะเอ่ยชื่อของเขา เพราะผมไม่ต้องการให้เขาตกอยู่ในความเสี่ยง แต่หากนักเรียนไฮสกูลรุ่นพี่ซึ่งไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร สามารถทำหน้าที่ของตนเองในการเคลื่อนโลกไปข้างหน้า เราก็ติดหนี้โลกใบนี้ในการทำหน้าที่แทนเราด้วยเช่นกัน ก่อนที่ท่านจะเดินออกจากรั้วมหาวิทยาลัยไปเป็นครั้งสุดท้าย ขณะเรานั่งอยู่หน้าโบสถ์ Memorial Church ผมระลึกถึงคำขอพร (ของชาวยิว) ที่ชื่อ มีเชเบรัก (Mi Shebeirach) ซึ่งผมมักท่องทุกครั้งที่เจอเรื่องใหญ่ให้ท้าทาย และผมก็ร้องให้ลูกสาวฟังตอนคิดถึงอนาคตของเธอยามวางเธอลงบนเตียง คำนั้นระบุว่า ‘ขอให้ที่มาของพลังอำนาจ ผู้อำนวยพรแด่ผู้คนก่อนหน้าเรา จงช่วยเราค้นพบความกล้าหาญที่จะทำให้ชีวิตของเราได้รับพรอันประเสริฐด้วยเถิด’ ผมหวังว่าท่านจะค้นพบความกล้าหาญที่ทำให้ชีวิตของท่านได้รับพรอันประเสริฐ ขอแสดงความยินดีกับนักศึกษารุ่นปี 2017 ขอให้โชคดีข้างนอกครับ” ข้อมูลอ้างอิง: https://news.harvard.edu/gazette/story/2017/05/mark-zuckerbergs-speech-as-written-for-harvards-class-of-2017/