โดนัลด์ ทรัมป์ : สุนทรพจน์พิธีสาบานตนครั้งที่สองที่ทวงคืน ‘ยุคทอง’ ของชาวอเมริกัน

โดนัลด์ ทรัมป์ : สุนทรพจน์พิธีสาบานตนครั้งที่สองที่ทวงคืน ‘ยุคทอง’ ของชาวอเมริกัน

สุนทรพจน์ในงานพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ (United States Presidential Inauguration) ของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ (Donald Trump) ในวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025 และนั่นคือประโยคแรกที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ที่ว่าด้วยเรื่องของการพาสหรัฐอเมริกาก้าวขึ่นสู่ยุคทอง

 

ยุคทองของสหรัฐอเมริกาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

 

รายล้อมไปด้วยบุคคลสำคัญของสหรัฐอเมริกาและโลกใบนี้ ตั้งแต่ประธานาธิบดีในอดีต รองประธานาธิบดี ผู้นำประเทศ ซีอีโอยักษ์ใหญ่ ไปจนถึงสายตาของประชาชนทั่วทั้งโลกที่เฝ้าฟังสุนทรพจน์ในงานพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ (United States Presidential Inauguration) ของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ (Donald Trump) ในวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025 และนั่นคือประโยคแรกที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกากล่าวขึ้น

 

นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ประเทศของเราจะเบ่งบาน และเป็นที่เคารพอีกครั้งจากทั่วทั้งโลก เราจะเป็นที่ปราถนาจากนานาชาติ และไม่ย่อมให้ใครย่างกรายเข้ามาเอาเปรียบเราอีกเป็นอันขาด ในทุก ๆ วันภายใต้การปกครองของรัฐบาลทรัมป์ ผมจะวางอเมริกาไว้เป็นที่หนึ่ง

 

นับว่าครั้งนี้เป็นพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งครั้งที่สองของ โดนัลด์ ทรัมป์ (The Second Inauguration of Donald Trump) นับตั้งแต่ครั้งแรก ในวันเดียวกันนี้เมื่อแปดปีที่แล้ว โดยการกลับมาครั้งนี้ ทรัมป์ได้เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงภาพรวมและจุดยืนภายใต้รัฐบาลของเขาว่าจะงัดสหรัฐอเมริกาขึ้นจากสถานะที่ถูกเอาเปรียบและไม่เป็นที่เคารพ เพื่อฟื้นฟูให้กลายเป็นชาติที่น่าเกรงขามและเป็นยุคทองของปวงประชาอีกครั้ง

อำนาจอธิปไตยของพวกเราจะถูกคว้ากลับมา ความปลอดภัยของชาติจะถูกฟื้นคืน มาตรวัดความยุติธรรมจะกลับคืนสู่จุดสมดุล และการที่กระทรวงยุติธรรมและรัฐถูกใช้เป็นอาวุธอย่างเหี้ยมโหดและไม่ยุติธรรมจะจบลง

ภายหลังจากกล่าวถึงวิสัยทัศน์ที่จะฟื้นคืนสหรัฐอเมริกาสู่ความแข็งแกร่งดั้งเดิม สู่ยุคใหม่ที่จะเบ่งบานกว่าสถานะในช่วงปีก่อนหน้า โดย โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้กล่าวต่อถึงปัญหาที่ตัวเขามองว่ารัฐบาลก่อนหน้าได้นำพามาสู่สหรัฐอเมริกา ผ่านการที่ไม่จัดการวิกฤตภายในบ้านได้ อีกทั้งยังพาประเทศย่ำเท้าเข้าไปหาปัญหานอกบ้านไปพร้อม ๆ กัน โดยก็ได้ยกตัวอย่างตั้งแต่ภัยธรรมชาติอย่างพายุเฮอร์ริเคนหรือไฟไหม้ที่ลุกลามในแอลเอ ไปจนถึงระบบต่าง ๆ ตั้งแต่สาธารณสุขไปจนถึงการศึกษาที่ไม่สามารถดูแลประชากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในขณะที่เรารวมตัวกันอยู่นี้ รัฐบาลของเรากำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตศรัทธา ในหลายปีที่ผ่านมา เหล่าสถาบันที่ซึ่งมีความคิดสุดโต่งและเน่าเปื่อยได้รีดนาทาเร้นอำนาจและความมั่งคั่งไปจากประชาชนของเรา ในขณะที่เสาหลักของสังคมแหลกสลาย เรามีรัฐบาลที่ไม่แม้ที่จะสามารถจัดการกับวิกฤตภายในอันเรียบง่าย แต่ในขณะเดียวกันกลับยุ่ยย่ามสะสมในนานาเหตุการณ์หายนะ ณ ต่างแดน

พวกเขาล้มเหลวที่จะปกป้องประชาชนอเมริกันผู้งดงามและชอบธรรมทางกฎหมาย แต่กลับพิทักษ์ปกปักษ์เหล่าอาชญากรที่อันตราย ที่หลายคนมาจากทั้งเรือนจำหรือแม้แต่สถาบันจิตเวช ที่ได้ย่างกรายเข้ามาในประเทศของเราอย่างไม่ชอบธรรมจากทั่วทุกแห่งหน

“เรามีรัฐบาลที่มอบเงินทุนเป็นอนันต์ให้กับการพิทักษ์เขตแดนของต่างชาติ แต่กลับปฏิเสธที่จะปกป้องเขตแดนของอเมริกาเอง หรือพูดอีกอย่างก็คือ ประชาชนของพวกเขาเอง”

 

“นับตั้งแต่บัดนี้ ยุคเสื่อมถอยของอเมริกาได้จบลงแล้ว”

โดนัลด์ ทรัมป์ : สุนทรพจน์พิธีสาบานตนครั้งที่สองที่ทวงคืน ‘ยุคทอง’ ของชาวอเมริกัน

 

ทรัมป์ได้กล่าวต่อว่าตลอดแปดปีที่ผ่านมามันได้มอบบททดสอบและความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประธานาธิบดีตลอด 250 ปีที่ผ่านมา และตัวเขาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างระหว่างทางนั้น ก่อนจะกล่าวว่าการจะฟืนคืนความเป็นสาธารณรัฐ (Republic) ของสหรัฐอเมริกาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะตัวเขานั้นก็ได้เผชิญกับขวากหนามและผู้ประสงค์จะขวางทางอยู่มากมาย ที่หวังจะพรากอิสรภาพ หรือแม้แต่ชีวิตของเขาไป

 

ไม่กี่เดือนก่อนหน้า ณ ทุ่งในรัฐเพนซิลเวเนีย

กระสุนของผู้ลอบสังหารได้วิ่งผ่าหูของผมไป

แต่ในตอนนี้มันทำให้ผมรู้สึกและเชื่อมากกว่าเดิม

ว่าชีวิตของผมถูกพิทักษ์ด้วยเหตุผลใด…

 

พระเจ้ากอบกู้ผมไว้เพื่อพาให้อเมริกา

กลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง

 

ภายหลังจากนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ก็กล่าวต่อถึงผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาที่แสดงให้เห็นถึงประมาณของเสียงประชาชนที่หลากหลายที่ได้ลุกขึ้นมาสนับสนุนตัวเขา ไม่ว่าจะอายุน้อยหรือมาก ชาติพันธุ์ใด รวมไปถึง ‘สวิงสเตท’ (Swing State) ทั้งเจ็ดที่ทรัมป์คว้าชัยชนะมาได้ ไปจนถึงคะแนนป็อปปูลาร์โหวตที่นำไปกว่าล้านเสียง โดยทรัมป์ได้กล่าวขอบคุณทั้งกลุ่มคนผิวดำและฮิสแปนิกกับรักที่เอ่อล้นจนกลายเป็นคะแนนเสียงที่สนับสนุนในครั้งนี้

 

การปกครองของผมจะมีเชื้อเพลิงเป็นแรงกล้าที่จะไขว่คว้าความเป็นเลิศและความสมบูรณ์แบบอย่างไม่ลดละ เราจะไม่ลืมประเทศของเรา เราจะไม่ลืมรัฐธรรมนูญของเรา และเราจะไม่ลืม ‘พระเจ้า’ ของเรา

 

ในประเด็นถัดมา โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวถึงคำสั่งที่เขาจะเริ่มดำเนินการในทันทีเพื่อฟื้นคืนอเมริกาและปฏิวัติ ‘สามัญสำนึก’ (Common Sense)

เริ่มต้นจากการประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ (National Emergency) บริเวณชายแดนในภาคใต้ โดยผู้ที่เข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมายจะถูกระงับและจะเริ่มดำเนินการส่ง “อาชญากรต่างด้าว” (Criminal Aliens) นับล้านกลับไปที่ ๆ คนเหล่านั้นจากมา ซึ่งเป็นการลงมือจัดการกับการประชากรลี้ภัยอย่างผิดกฎหมายและตั้งการรักษาความปลอดภัย ณ เขตแดนทางใต้ที่รัดกุมและเข้มงวดขึ้น รวมไปการลงมือจัดการกับองค์กรค้ายาและกลุ่มแก็งค์อาชญากรผ่านอำนาจของจากทั้งรัฐบาลกลางและอำนาจจากมลรัฐในการจัดการทั้งหมด

ลำดับต่อมา คือการลงมือจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อและมุ่งดึงทั้งต้นทุนและราคากลับลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยทรัมป์ได้กล่าวต่อถึงรากปัญหาเงินเฟ้อที่มาจากการขยับตัวขึ้นของราคาพลังงาน ซึ่งจะนำไปสู่การที่รัฐบาลจะประกาศภาวะฉุกเฉินทางพลังงานแห่งชาติ (National Energy Emergency) ก่อนจะกล่างต่อว่าอเมริกาจะกลายเป็นประเทศผู้ผลิตอีกครั้งอันทรงพลังอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อมีข้อได้เปรียบทางทรัพยากรพลังงานอย่างก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน และจะส่งออกพลังงานสัญชาติอเมริกันออกไปสู่โลกทั้งใบ

 

ชาติของพวกเราจะมั่งคั่งอีกครั้ง และด้วยของเหลวที่เปรียบเสมือนทองใต้เท้าของเรา จะพาเราไปถึงจุดนั้น และในวันนี้ผมจะเดินหน้ายกเลิก  Green New Deal และเพิกถอนกฎหมายรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อกอบกู้อุตสาหกรรมยานยนต์และคงรักษาคำมั่นสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ของผมที่มีต่อเหล่าแรงงานอเมริกันในอุตสาหกรรมยานต์อันยิ่งใหญ่เอาไว้

 

ดังที่ทรัมป์ได้กล่าว ตัวเขาจะทั้งยกเลิกสนธิสัญญา Green New Deal รวมไปถึงกฎหมายรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle Mandate) เพื่อสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ในสหรัฐอเมริกาในอัตราการเติบโตที่ไม่มีใครคาดถึง 

ขยับมาที่มาตรการการค้า โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่าจะยกระดับระบบกลไกการค้าเพื่อปกป้องแรงงานอเมริกันในทันที แทนทีจะเก็บภาษีจากครัวเรือนชาวอเมริกันเพื่อมอบผลประโยชน์ให้กับต่างชาติ สหรัฐอเมริกาจะตั้งกำแพงภาษีต่างประเทศเพื่อจุนเจือปวงชนอเมริกันแทน เพื่อให้ ‘ความฝันชาวอเมริกัน’ (American Dream) เบ่งบานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลให้ภายใต้รัฐบาลของทรัมป์มีการตั้งกระทรวงเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐบาล (Department of Government Efficiency) นำโดย ‘อีลอน มัสก์’ (Elon Musk)

นอกจากนั้น ทรัมป์ก็จะออกคำสั่งให้มีการยุติการเซนเซอร์จากรัฐบาลเพื่อมอบสิทธิเสรีภาพในการพูดกลับมา โดยจะไม่ให้มีการใช้อำนาจรัฐในการจัดการกับคู่แข่งทางการเมืองอีกต่อไป ภายใต้รัฐบาลของทรัมป์

 

“ภายในสัปดาห์นี้ ผมก็จะยุตินโยบายรัฐที่พยายามจะปรับแต่งชาติพันธุ์และเพศทางสังคมในแทบทุกมิติของชีวิตส่วนตัวและสาธารณะของผู้คน เราจะสร้างสังคมที่ตาบอดสีและมีรากฐานจากคุณธรรม

 

นโยบายทางการจากภาครัฐของสหรัฐอเมริกา

จะมีเพียงสองเพศเพียงเท่านั้น—ชาย และ หญิง

 

นับเป็นการแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนของ โดนัลด์ ทรัมป์ ต่อกลุ่มผู้คนและเทรนด์ที่ต่อสู้และโอบรับความหลากหลายในสังคม โดยการประกาศว่ารัฐบาลจะมีเพศอย่างทางการเพียงแค่สองเพศเพียงเท่านั้น ก่อนที่ทรัมป์จะกล่าวต่อถึงสิทธิและสวัสดิการของกองทัพ อาทิ การคืนเงินและสถานะให้กับนายทหารที่ถูกไล่ออกเพราะปฏิเสธการฉีดวัคซีน รวมไปถึงประกาศจุดมุ่งหมายของกองทัพให้มุ่งเน้นเพียงแค่สวัสดิภาพของสหรัฐอเมริกาเพียงเท่านั้น และไม่ย่างกรายเข้าไปเกี่ยวในสงครามนอกบ้าน ซึ่งจะนำไปสู่แผนการสร้างรากฐานกองทัพอเมริกันให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปว่าเดิม นับเป็นการฉายภาพจุดยืนความเป็น ‘ลัทธิโดดเดี่ยว’ (Isolationist) ได้อย่างชัดเจน

 

ผลงานที่ผมจะภูมิใจเมื่อทิ้งไว้คือ

การเป็นผู้สร้างสันติภาพและความปรองดอง

 

เพื่อตอกย้ำถึงอิทธิพลและความเป็นเลิศของสหรัฐอเมริกาที่จะมาถึงในรัฐบาลของตัวเขา โดนัลด์ ทรัมป์จึงกล่าวต่อว่าจะเปลี่ยนชื่อจาก ‘อ่าวเม็กซิโก’ (Gulf of Mexico) เป็น ‘อ่าวอเมริกัน’ (Gulf of American) รวมไปถึงการเปลี่ยนชื่อ ‘ยอดเขาเดนาลี’ (Denali) เป็น ‘ภูเขาแม็คคินลีย์’ (Mount McKinley) เพื่อเป็นการยกย่อง ‘วิลเลียม แมกคินลีย์’ (William McKinley) ประธานาธิบดีคนที่ 25 ของสหรัฐอเมริกาที่เสียชีวิตระหว่างดำรงตำแหน่ง ผู้ซึ่งทำให้สหรัฐอเมริกามั่งคั่ง ดังที่ทรัมป์กล่าว นอกจากนั้นตัวเขาก็ยังพูดถึงการทวงคืนเส้นทางเดินเรืออย่าง ‘คลองปานามา’ (Panama Canal) คืนอีกด้วย

 

ทั้งหมดทั้งมวล สารที่ผมอยากจะส่งไปถึงชาวอเมริกันทุกคนคือ มันถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องลงมือทำอย่างหาญกล้า แข็งขัน และด้วยพลัง ในฐานะอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ในขณะที่เราปลดแอกชาติของเรา เราจะนำพามันไปสู่เพดานแห่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เคยเป็นมา

ความทะเยอทะยานมันฝังอยู่ในเลือดของเรา และเราก็ทะเยอทะยานมากกว่าชาติไหน ๆ ชาวอเมริกันเป็นทั้งนักสำรวจ นักสร้าง นักนวัตกรรม ผู้ประกอบการ และหัวหอกนำหน้า จิตวิญญาณของการก้าวข้ามขอบมันสลักอยู่ในหัวใจของพวกเรา เสียงเพรียกของการผจญภัยครั้งถัดไปก้องกังวาลในดวงจิตของเรา บรรพบุรุษของพวกเราได้เปลี่ยนจากกลุ่มนักล่าอาณานิคมเล็ก ๆ บนผืนดินอันกว้างใหญ่สู่สาธารณรัฐของผู้คนที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดบนโลก ไม่มีใครขยับมาเทียบเคียง ชาวอเมริกันรุดหน้านับพันไมล์สผ่านผืนดินอันทุรกันดารและหยาบกร้าน พวกเขาข้ามทะเลทราย พิชิตภูเขา ท้าทายภัยอันตราย…

หากเราร่วมมือกัน จะไม่มีสิ่งใดที่ไม่สามารถสำเร็จ และไม่มีฝันใดที่ไม่สามารถพิชิต ใครหลายคนย่อมเคยคิดว่าเป็นเรื่องไปไม่ได้ที่ผมจะสร้างการกลับมาครั้งประวัติศาสตร์นี้ แต่ดังที่เห็น ผมกลับมาแล้ว ตามเจตจำนงค์ของประชาชนคนอเมริกัน

 

ผมยืนอยู่หน้าพวกท่านทั้งหลายเพื่อเป็นหลักฐานว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้

และสำหรับชาวอเมริกัน ความเป็นไปไม่ได้นั่นแหละ คือสิ่งที่เราถนัดที่สุด

 

สุทรพจน์ในครั้งนี้นับเป็นหมุดหมายการเริ่มต้นครั้งที่สองของสหรัฐอเมริกาภายใต้ทิศทางของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้สะท้อนให้เราได้เห็นถึงทั้งจุดยืน วิสัยทัศน์ การลงมือ นโยบาย และความมุ่งหวังอันขันแข็งในก้าวต่อไปของสหรัฐอเมริกาจากมุมมองของทรัมป์ และท้ายที่สุด โดนัลด์ ทรัมป์ก็ทิ้งท้ายเฉกเช่นประโยคเปิดของสุนทรพจน์ในครั้งนี้

 

ยุคทองของอเมริกันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น…

 

โดนัลด์ ทรัมป์ : สุนทรพจน์พิธีสาบานตนครั้งที่สองที่ทวงคืน ‘ยุคทอง’ ของชาวอเมริกัน

 

ภาพ : Gettu Images