‘Exotic Food’ เริ่มต้นแบรนด์เพราะอยากเห็น ‘เครื่องปรุงอาหารไทย’ วางขายในต่างประเทศ

• แบรนด์ Exotic Food เกิดจากปัญหาที่เจอในอเมริกา เพราะหาซื้อเครื่องปรุงของไทยแทบไม่เจอ
• ‘จิตติพร จันทรัช’ ผู้ก่อตั้งบริษัทฯ ได้ไอเดียธุรกิจจากวันที่นัดทำอาหารกับเพื่อน ๆ
• ตลอด 24 ปีที่เปิดบริษัท Exotic Food วางจำหน่ายสินค้าไปแล้วกว่า 70 ประเทศทั่วโลก

มีหลายครั้งที่ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักจะเริ่มต้นไอเดียมาจาก pain point ของตัวเองหรือคนรอบข้าง หนึ่งในธุรกิจที่เรานึกถึงก็คือ ‘Exotic Food’ แบรนด์เครื่องปรุงอาหารไทยที่ไปดังในต่างประเทศ ก่อนที่คนไทยจะรู้จักแบรนด์นี้อย่างแพร่หลายพูดแบบนี้คงไม่ผิด เพราะที่มาของโมเดลธุรกิจก็เกิดขึ้นในช่วงที่ผู้ก่อตั้งยังอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา

 

ย้อนไป 24 ปีเกิดจากปัญหาในอเมริกา

‘จิตติพร จันทรัช’ ถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่ชอบการลงทุนมาตั้งแต่เรียนไฮสคูล เขาให้ความสนใจในการทำธุรกิจและเรียนรู้ศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจอยู่เสมอ จิตติพร ได้เริ่มจากการลงทุนในหุ้นกระดาษ ซึ่งเขาขอให้คุณพ่อเปิดพอร์ตให้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มาตั้งแต่ปี 2534

จิตติพร เป็นผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) (Exotic Food) ผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงอาหารและเครื่องดื่มของไทย เขาได้ไอเดียทำธุรกิจนี้เมื่อครั้งที่ยังเรียนอยู่ที่สหรัฐฯ โดยช่วงที่ จิตติพร นัดทำอาหารไทยกับเพื่อน ๆ เขาพยายามตามหาเครื่องปรุงที่เป็นของไทยจริง ๆ แต่กลับมีแค่กะปิ และน้ำปลา

ซึ่งเขาก็ยังพยายามหาเครื่องปรุงของไทยอยู่หลายร้านแต่สุดท้ายก็ไม่พบ สิ่งที่เขาสังเกตคือ แทบไม่มีเครื่องปรุงของไทยที่วางขายในอเมริกาเลย ทั้งที่นักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มใหญ่ก็ชื่นชอบอาหารไทย และชอบรสชาติของอาหารไทยหลายเมนู

Pain point นี้เรียกว่าได้จุดประกายไอเดียธุรกิจให้กับจิตติพรตั้งแต่ตอนนั้น เขามีเป้าหมายใหญ่ทันทีก็คือ อยากเห็นเครื่องปรุงของไทยวางขายตามเชลฟ์ในร้านสะดวกซื้อหรือซูเปอร์มาร์เก็ตในต่างประเทศ และแน่นอนว่าเป้าหมายนั้นจะไม่ใช่แค่ในอเมริกา

เมื่อ จิตติพร เรียนจบ เขาเดินทางกลับประเทศไทยและชักชวนให้น้องสาวมาร่วมก่อตั้งบริษัท Exotic Food ด้วยกันในปี 2542 หรือ 24 ปีก่อน ตอนนั้นถือว่าคู่แข่งเครื่องปรุงอาหารไทยที่ส่งออกไปต่างประเทศอย่างเดียวมีน้อยมาก ๆ ก็คือแทบจะไม่มีเลย ซึ่งก็ตรงโจทย์เพราะ จิตติพร ตั้งเป้าธุรกิจเพื่อส่งออกไปต่างประเทศเท่านั้นในช่วงแรก

แบรนด์ Exotic Food เริ่มต้นคิดค้นสูตรต่าง ๆ อยู่ประมาณ 30 รายการ มีตั้งแต่ น้ำปลา, กะทิ, เครื่องแกง, ซีอิ๊ว, ซอสพริก, น้ำจิ้มไก่ เป็นต้น ซึ่ง จิตติพร คิดว่าเครื่องปรุงเหล่านี้น่าจะจำเป็นในต่างแดน อย่างน้อย ๆ ก็ให้คนไทยในต่างประเทศได้ใช้ของไทยบ้าง

จิตติพร เคยให้สัมภาษณ์กับ ‘ช่องทางรวย’ เขาบอกว่า ในช่วงแรก ๆ ที่ทำธุรกิจเพื่อสร้างการรับรู้ เขาต้องนำสินค้าแบรนด์ Exotic Food ไปออกมางานแฟร์อย่างน้อย 10 งานต่อปี และก็ไปจัดแสดงสินค้ามากว่า 15 ประเทศ เขายังเล่าถึงความโชคดีของตัวเองว่า ช่วงที่พยายามปั้นแบรนด์เขาได้ลูกค้ารายใหญ่จากฮอลแลนด์และเยอรมนี โดยเสนอตัวเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้า Exotic Food ในตลาดยุโรป ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเป็นพาร์ทเนอร์ธุรกิจกันอยู่

ในช่วงที่เขาเคยประสบปัญหาก่อนที่ Exotic Food จะมีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง ก็คือ เขาได้จ้างให้โรงงานอื่นผลิตให้แต่ด้วยยอดขายที่มากเกินคาด ทำให้ยอดสั่งซื้อมากจนโรงงานไม่สามารถผลิตได้ทัน จิตติพร ตัดสินใจสร้างโรงงานผลิตเป็นของตัวเองตั้งแต่นั้น

ปัจจุบัน Exotic Food ได้วางจำหน่ายสินค้าไปแล้วกว่า 70 ประเทศทั่วโลกและสินค้ามากกว่า 200 รายการ เพิ่มเติมเข้ามาในพอร์ตค่อนข้างเยอะ ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มจากผักและผลไม้ เช่น น้ำมะพร้าวและน้ำว่านหางจระเข้, ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปพร้อมทาน เช่น ข้าวแกงเขียวหวานและก๋วยเตี๋ยวผัดไทย, ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูป เช่น สินค้าในน้ำมันและน้ำเกลือ, ผักและผลไม้กระป๋อง, ผลิตภัณฑ์จากข้าว, ของแห้งและของดอง

ทั้งนี้ รายได้รวมของบริษัทฯ ในปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 1,275 ล้านบาท และกำไรสุทธิอยู่ที่ 318 ล้านบาท ซึ่งมองว่า การที่ Exotic Food ขยายแบรนด์อื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น THAI PRIDE, FLYING GOOSE และ COCO LOTO จะทำให้การเติบโตของธุรกิจน่าสนใจมากขึ้นในอนาคต

รูปแบบหารคิดและการบริหารในฐานะผู้ก่อตั้งคนรุ่นใหม่ที่คิดและลงมือทำไว ก็น่าจะสร้างความได้เปรียบให้กับ Exotic Food ปและแบรนด์อื่น ๆ ได้อีกมาก

 

ภาพ: Posttoday/Exotic Food Thailand

อ้างอิง:

Exoticfoodthailand

Cheechongruay

Forbes

Longtunman

Set