20 พ.ค. 2566 | 17:56 น.
- แมรี-เคต และ แอชลีย์ โอลเซน โด่งดังจากการรับบทเป็นมิเชล แทนเนอร์ ที่พวกเธอร่วมกันแสดงในซีรีส์เรื่อง Full House
- ฝาแฝดโอลเซนไม่ได้รับงานแสดงแล้ว ตอนนี้พวกเธอกลายเป็นดีไซเนอร์แฟชั่นที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง จากการปั้นแบรนด์ The Row
การจะขึ้นไปยืนกระทบไหล่แบรนด์ระดับตำนานอย่าง Hermès, Chanel และ Louis Vuitton ที่ครอบงำโลกแฟชั่นมายาวนานหลายทศวรรษ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับแบรนด์แฟชั่นน้องใหม่
เพราะไม่ว่าจะเป็นดารา นักร้อง ชนชั้นสูง หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ต่างก็เต็มใจที่จะเป็นโชว์รูมเคลื่อนที่ให้กับแบรนด์เหล่านี้ ด้วยการสวมเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่มีโลโก้แบรนด์เด่นหรามาแต่ไกล เพื่อแสดงถึงฐานะที่มั่งคั่งและสถานะทางสังคม
แต่การอวดโลโก้แบรนด์อาจไม่ใช่สิ่งที่คนรวย (บางคน) อยากจะทำอีกต่อไป เห็นได้จากการปรากฏขึ้นของเทรนด์ที่เรียกว่า ‘รวยแบบกระซิบ’ (Stealth Wealth) หรือ ‘หรูหราแบบเงียบ ๆ’ (Quiet Luxury) ที่หมายถึงการแต่งกายเรียบหรู ด้วยเครื่องแต่งกายที่ผ่านการตัดเย็บอย่างประณีต ทนทานต่อการใช้สอย ใช้สีที่เป็นกลาง เช่น ดำ เทา ขาว น้ำตาล ฯลฯ ที่สำคัญคือไม่เน้นโลโก้ เพราะไม่ต้องการตะโกนบอกใครว่าเครื่องนุ่งห่มบนร่างกายของฉันนั้นราคาแพงแค่ไหน
“เทรนด์นี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เช่นในช่วงสังคมหรือเศรษฐกิจถดถอย” ลอร์นา ฮอลล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่นของ WGSN บริษัทคาดการณ์เทรนด์ กล่าวและว่า “เมื่อประชากรจำนวนมหาศาลกำลังพยายามประหยัดเงินในกระเป๋า การโอ้อวดความมั่งคั่งอย่างสุดโต่งจึงดูเป็นเรื่องไร้เหตุผล”
นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 เทรนด์ Quiet Luxury จะกลับมาอีกครั้ง
สำหรับใครที่นึกหน้าตาของเสื้อผ้าสไตล์ Quiet Luxury ไม่ออก ลองเสิร์ชในกูเกิลดูจะพบชื่อของ ‘The Row’ โผล่ขึ้นมาเป็นเบอร์ต้น ๆ
The Row เป็นแบรนด์แฟชั่นของนักแสดงฝาแฝดหญิงตระกูล ‘โอลเซน’ อย่าง ‘แมรี-เคต’ และ ‘แอชลีย์’
ใครที่เกิดทันช่วงที่สองสาวดังสุด ๆ จะรู้เลยว่า อาชีพนักแสดงเป็นเพียงบันไดขั้นหนึ่งที่นำพวกเธอไปสู่จุดสูงสุดของเส้นทางอาชีพ
ทั้งคู่เกิดเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 1986 ในย่านเชอร์แมน โอคส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย อายุยังไม่ทันจะครบขวบก็ได้ไปเล่นในซีรีส์อเมริกันเรื่อง Full House โดยช่วยกันเล่นในบท ‘มิเชล แทนเนอร์’ จนถึง 8 ขวบ หลังจากนั้นก็มีผลงานในวงการบันเทิงตามมาอีกเพียบ
แต่ความที่อยู่ในวงการมาตั้งแต่แบเบาะ สองพี่น้องจึงไม่ได้ตื่นเต้นกับชื่อเสียง เงินทอง และโอกาส ขณะเดียวกันพวกเธอก็พยายามค้นหาสิ่งที่ตัวเองหลงใหลจริง ๆ
ปี 2004 มีรายงานว่าพวกเธอลงทุนย้ายไปนิวยอร์กเพื่อไปลงทะเบียนเรียนมหาวิทยาลัย แต่หลังจากนั้นก็ดรอปเรียนไป โดยโฆษกส่วนตัวให้เหตุผลว่า “แมรี-เคต และแอชลีย์ แค่อยากมีประสบการณ์การเรียนในมหาวิทยาลัยแบบธรรมดาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“เหตุผลในการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยไม่ใช่เพื่อการประกอบอาชีพ พวกเธอรู้เรื่องต่าง ๆ มากมายแล้วจากการทำงานในโลกความจริงตั้งแต่ยังเด็ก แต่นี่เป็นโอกาสที่พวกเธอจะได้ออกไปสำรวจโลก”
หลังจากดรอปเรียน สองพี่น้องก็เริ่มทำสินค้าหลายอย่างขายในห้างวอลมาร์ต ก่อนจะก่อตั้ง The Row ในปี 2006 ขณะอายุเพียง 18 ปี
ระหว่างที่ The Row เริ่มตั้งไข่ ฝาแฝดก็ค่อย ๆ เฟดตัวเองออกจากวงการและไม่กลับมารับงานแสดงอีกเลยตั้งแต่ช่วงต้นปี 2010 แม้กระทั่งเรื่อง Fuller House ซึ่งเป็นภาคแยกของ Full House ซีรีส์แจ้งเกิดของพวกเธอ โดยให้เหตุผลในการโบกมือลาโลกมายาว่า “เราเคยทำแล้ว เราพอแล้ว เราอยากออกมาจากจุดนั้น
“แฟชั่นคือสิ่งที่เราเลือก เพื่อใช้ชีวิตไปข้างหน้า เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ และเพื่อให้มีบางอย่างที่เป็นตัวของตัวเอง”
The Row ไม่ได้เกิดมาเพื่อสนอง passion ของสองสาวเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างในตลาดแฟชั่น ซึ่งในเวลานั้นไม่มีแบรนด์หรูแบรนด์ไหนเลยที่คิดจะขายเสื้อผ้าสไตล์เรียบหรูที่ใช้งานได้จริง สองพี่น้องจึงช่วยกันเติมเต็มช่องว่างนั้นด้วยเสื้อผ้าสไตล์มินิมอล ใช้วัสดุที่มีคุณภาพ ผ่านการตัดเย็บอย่างประณีต และทนทานต่อการใช้สอย ก่อนจะขยายจากไลน์เสื้อผ้าไปสู่เครื่องประดับต่าง ๆ
นอกจากการวางตำแหน่งที่ชัดเจนในตลาดแล้ว สองสาวยังตอกย้ำความเก๋ไม่ซ้ำใครด้วยการตั้งชื่อแบรนด์ว่า The Row ตามชื่อ Savile Row ซึ่งเป็นย่านตัดเย็บชุดสูทระดับสูงในอังกฤษ โดยเลี่ยงการนำชื่อตัวเองมาใช้เหมือนเซเลบคนอื่น ๆ เพราะอยากให้คนสนใจที่เสื้อผ้าจริง ๆ
“เราไม่ได้อยากออกมาอยู่ข้างหน้า ไม่จำเป็นต้องบอกให้ใครรู้ว่าเป็นเราก็ได้” แอชลีย์ให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2021 และบอกด้วยว่า “มันเป็นเรื่องของสินค้าจริง ๆ เราเคยคิดถึงขั้นว่าจะเอาใครมาอยู่ข้างหน้าดี พวกเราจะได้ไม่ต้องทำอะไร”
The Row อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท Dualstar ในนิวยอร์ก ซึ่งก่อนหน้านั้นฝาแฝดเคยถือหุ้นร่วมกับ ‘โรเบิร์ต โทรน’ ทนายของพวกเธอ แต่ต่อมาก็ซื้อหุ้นทั้งหมดจากโทรน ทำให้พวกเธอกลายเป็นเจ้าของบริษัทแห่งนี้แบบเบ็ดเสร็จ
แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูงจากอาชีพนักแสดง แต่ในสายอาชีพดีไซเนอร์ สองพี่น้องต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างหนักเหมือนกันในช่วงแรก แต่ท้ายที่สุดลูกค้าก็กลับมาซื้อซ้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะติดใจที่เนื้อผ้า โดยไม่ต้องอาศัยโลโก้ขนาดใหญ่หรือชื่อเสียงของทั้งคู่
“ฉันก็เคยสงสัยเหมือนกันว่า ของที่วางในร้านจะขายได้ด้วยตัวมันเองไหม”
สรุปว่าสินค้าของพวกเธอไม่เพียงแค่ขายได้ แต่ยังขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทำให้ในปี 2007 พวกเธอกลายเป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในวงการบันเทิงในอันดับที่ 11 จากการจัดอันดับของ Forbes ที่รายงานด้วยว่า บริษัท Dualstar ของพวกเธอ ขายสินค้าได้ปีละ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจาก The Row แล้ว สองพี่น้องยังแตกแบรนด์อื่น ๆ ได้แก่ Olsenboye, Elizabeth and James และ StyleMint
สำหรับแบรนด์ Elizabeth and James ทั้งคู่ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติกับน้องสาวและพี่ชาย ปัจจุบัน ‘เอลิซาเบธ โอลเซน’ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในฐานะนักแสดง โดยเฉพาะในบท ‘แวนด้า แม็กซิมอฟฟ์’ หรือ ‘สการ์เล็ต วิทช์’ ในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล ขณะที่ ‘เจมส์ โอลเซน’ เป็นนักเขียนหนังสือการ์ตูนและทำงานด้านการผลิตภาพยนตร์
ในปี 2012 และ 2015 Council of Fashion Designers of America ได้มอบรางวัลนักออกแบบเสื้อผ้าสตรีแห่งปีให้กับแฝดโอลเซน นอกจากนี้พวกเธอยังคว้ารางวัลนักออกแบบเครื่องประดับแห่งปีจาก CFDA ในปี 2014, 2018 และ 2019 อีกด้วย
แม้จะหยิบจับอะไรก็ประสบความสำเร็จ แต่ทั้งแมรี-เคต และแอชลีย์ ยังคงขึ้นชื่อเรื่องความเป็นส่วนตัว พวกเธอไม่ค่อยตกเป็นข่าวในแทบลอยด์ และยังคงใช้ชีวิตอย่างสุขุมรอบคอบ ซึ่งสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนจากการจัดแฟชั่นโชว์ที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว
“ในโชว์ของพวกเธอ มันเป็นอะไรที่สงบ เงียบ ไม่เปิดเผยจนเกินไป หลังเวทีแฟชั่นโชว์ไม่มีช่างภาพมารุมเป็นพันคน แม้แต่บนรันเวย์ก็ไม่มีช่างภาพมากนัก” จีจี้ ฮาดิด นางแบบชื่อดัง เล่าถึงประสบการณ์การทำงานร่วมกับ The Row และกล่าวอีกว่า “นั่นมาจากการที่พวกเธอต้องการแสดงผลงานศิลปะ โดยไม่รู้สึกว่าอยากเปิดเผยมากเกินไป หรือเปราะบางมากเกินไป”
British Vogue เคยอธิบายถึงการสร้างแบรนด์ที่ไม่เหมือนใครของพี่น้องคู่นี้ว่า “The Row ไม่เคยใช้การโฆษณา สองพี่น้องโอลเซนเองก็ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์สื่อ และบางซีซั่นก็ไม่ได้จัดแฟชั่นโชว์ด้วยซ้ำ”
17 ปีหลังการก่อตั้ง แบรนด์เสื้อผ้าที่ไม่เน้นโลโก้ของแฝดโอลเซน ได้กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของแบรนด์ใหญ่ ลูกค้าต่างปรารถนาที่จะสวมใส่เสื้อผ้าของ The Row ที่ตัดเย็บอย่างประณีตด้วยวัสดุราคาแพง
“The Row เป็นตัวอย่างที่ดีของความสง่างามที่เรียบง่ายและไร้กาลเวลา ทั้งยังเพิ่มความรู้สึกหรูหราและไม่เหมือนใครให้กับตู้เสื้อผ้าที่ดูธรรมดา ๆ ในทุกซีซั่น ฉันรู้สึกทึ่งที่แบรนด์นี้สามารถรักษา DNA ของตัวเองเอาไว้ได้” ลิบบีย์ เพจ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของเว็บไซต์ชอปปิงแบรนด์เนมชื่อดัง Net-a-Porter กล่าวและว่า “The Row เป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของฉัน ด้วยรายละเอียดที่ไร้ที่ติ คุณภาพ และงานฝีมือ แบรนด์นี้ได้กำหนดมาตรฐานสำหรับการแต่งกายแบบ Quiet Luxury ทั้งยังเป็นเลิศในเรื่องการแต่งตัวที่ชาญฉลาดสำหรับผู้หญิงเก่งทุกวัย”
บางคนอาจจะแย้งว่า The Row คงเป็นกระแสแค่ช่วงนี้นี่แหละ (ดูจากเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ที่มีการค้นหาคำว่า The Row เพิ่มขึ้น 185% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) แต่ไม่ว่าใครจะวิจารณ์อย่างไร พี่น้องโอลเซนก็ไม่หวั่นไหวตามกระแสของอุตสาหกรรมแฟชั่น อย่างที่ทราบกันดีว่า สองพี่น้องไม่ปรากฏตัวทางโซเชียลมีเดีย ชีวิตของพวกเธอเต็มไปด้วยความลึกลับ เวลาจะไปไหนมาไหนมักจะไม่ค่อยมีใครรู้
กุญแจแห่งความสำเร็จของ The Row จึงอาจเป็นได้ทั้งความหรูหราที่แท้จริงของปี 2023 ที่ไม่วิ่งตามไวรัลหรือกระแสในอินเทอร์เน็ต แต่เป็นความอ่อนน้อมถ่อมตน ความไม่เร่งรีบ และการอยู่เงียบ ๆ ทำหน้าที่เป็นเสื้อผ้าที่บ่งบอกถึงความมั่นใจภายในให้ผู้สวมใส่
ในโลกที่คนแชร์เรื่องส่วนตัวทางโซเชียลฯ ตลอดเวลา ขณะที่คนดังก็อาศัยสร้างแบรนด์จากแพลตฟอร์มนี้ การเพิกเฉยต่อกระแสบนโลกออนไลน์มีแต่จะทำให้พวกเธอดูน่าค้นหามากยิ่งขึ้น
ภาพ: Getty Images
อ้างอิง: