Domino’s เริ่มจากร้านพิซซ่าเล็ก ๆ ในรัฐมิชิแกน เส้นทาง 63 ปีก่อนเป็นธุรกิจที่มีเชนใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ

Domino’s เริ่มจากร้านพิซซ่าเล็ก ๆ ในรัฐมิชิแกน เส้นทาง 63 ปีก่อนเป็นธุรกิจที่มีเชนใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ

ก่อนมาเป็น Domino's อย่างทุกวันนี้ เป็นร้านพิซซ่าเล็ก ๆ ที่เกือบเจ๊งมาแล้ว แต่ผู้ก่อตั้ง ‘ทอม โมนาแฮน’ (Tom Monaghan) เห็นโอกาส จึงขอซื้อต่อ จนพัฒนาเป็นแบรนด์เชนรายใหญ่ของโลก

  • ‘ทอม โมนาแฮน’ (Tom Monaghan) เด็กดื้อที่ไม่ชอบอยู่ในกฎเกณฑ์ ชอบกินพิซซ่า และมีความฝันอยากเป็นเจ้าของร้านพิซซ่าสักวันหนึ่ง
  • จากเด็กวัยรุ่นที่เคยถูกฉ้อโกงเงิน ต้องยืมเงินน้องเพื่อมาซื้อกิจการร้านขายพิซซ่าต่อ ด้วยเงิน 500 ดอลลาร์สหรัฐ
  •  Domino's Pizza ล้มลุกคลุกคลาน จนกลายเป็นร้านที่มีเชนจำนานมากอันดับต้น ๆ ของโลก

สำหรับใครที่ชอบพิซซ่าและเป็นแฟนของ Domino’s อาจไม่เคยรู้ว่า ธุรกิจนี้เกิดขึ้นจากเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ชอบกินพิซซ่ามาก และเขาฝันที่อยากจะเป็นเจ้าของร้านพิซซ่าตั้งแต่เด็ก ๆ

 

เด็กดื้อที่เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน

ก่อนที่เราจะทำความรู้จักกับเส้นทางของ Domino’s แบรนด์พิซซ่าที่มีอายุยาวนานถึง 63 ปีแล้ว เราอยากให้รู้จักกับผู้ก่อตั้งธุรกิจนี้เสียก่อน เพราะเขามีความคิดเรื่องธุรกิจที่น่าสนใจมาก อีกทั้งชีวิตยังเหมือนในละคร ที่มีหลายซีนเรียกน้ำตาคนดู เพราะชายที่ชื่อว่า ‘ทอม โมนาแฮน’ (Tom Monaghan) เขาต้องกำพร้าพ่อตั้งแต่อ่ยุได้เพียง 4 ขวบ

หนำซ้ำเมื่อตอนอายุ 6 ขวบ แม่ผู้ให้กำเนิดได้พาเขาและน้องชายไปอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและบ้านอุปถัมภ์ เพราะไม่สามารถเลี้ยงดูได้ ก่อนที่พวกเขาจะได้กลับมาพบแม่อีกครั้ง หลังจากที่อยู่ที่บ้านหลังนั้นเกือบ 7 ปี

ทอม เป็นเด็กที่ซนมากค่อนไปทางเกเรเลยก็ว่าได้ เขามีปัญหากับการที่ต้องอยู่ในกรอบในกฎระเบียบอันเข้มงวด (น่าจะเป็นเพราะเข้าไปอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า) ซึ่งทอม เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียนช่วงชั้นมัธยมปลาย เหตุผลเพราะเป็นคนเจ้าอารมณ์เกินไป และเคยมีประวัติละเมิดกฎหลายข้อ เช่น แย่งหมอนเพื่อน และคุยกันในโบสถ์

ซึ่งคำบรรยายใต้ภาพของเขาในหนังสือรุ่นของชั้นเรียนในปี 1955 สะท้อนอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวตนของเขาตั้งแต่เด็ก เขาพูดว่า "ยิ่งผมพยายามเป็นคนดีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแย่ลงเท่านั้น ผมจึงเลยเลือกทำบางสิ่งที่น่าตื่นเต้นแทนดีกว่า”

และด้วยความที่เขาไม่ได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยเพราะผลการเรียนไม่ดี และบ้านก็ไม่ได้มีเงินมากพอขนาดนั้น ซึ่งในช่วงนั้น ทอม มีอีกหนึ่งความฝันช่วงวัยรุ่นที่เพิ่มเข้ามาก็คือการได้เข้าเรียน ‘สถาปัตยกรรม’ ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน แต่สุดท้ายเขาได้ตัดสินใจสมัครเป็น ‘ทหารนาวิกโยธิน’ และใช้ชีวิตเป็นนายทหารที่เมืองซานดิเอโก ในรัฐแคลิฟอร์เนียอยู่ 3 ปี

ซึ่งการที่เขาได้ปฏิบัติหน้าที่ทางทะเลทำให้เขาสามารถเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง เป็นจำนวนกว่า 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ที่น่าเสียดายคือ เขาถูกฉ้อโกงเงินเก็บไปเกือบหมดจากแก๊งค์มิจฉาชีพ ที่หลอกให้เขาลงทุนในโครงการน้ำมันที่อ้างว่าได้ผลตอบแทนเร็ว

ต้องพูดว่า หลังจากที่รู้ตัวแล้วว่าถูกหลอกให้ทำธุรกิจ ทอม ก็เหลือเงินติดตัวตอนนั้นเพียง 15 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้นเอง โมเมนต์ตอนนั้นต้องพูดว่าเป็นความเสียใจและเสียดายร่วมกัน และนั่นทำให้เขาได้เดินทางกลับบ้านที่เมืองแอนอาร์เบอร์อีกครั้ง

ทอม เคยพูดว่า “มันเป็นความพ่ายแพ้ในชีวิตช่วงหนึ่ง แต่ผมก็ต้องก้าวไปข้างหน้าและมองโลกในแง่ดี” แต่ความเจ็บปวดในครั้งนั้น ต้องยอมรับว่ามีส่วนอย่างมากที่ทำให้เขาได้ค้นพบกับเส้นทางธุรกิจใหม่ เหมือนเป็นสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เขาได้รื้อกล่องความฝันตัวเองอีกครั้ง

บทสัมภาษณ์ที่ ทอม เคยพูดกับสื่อของสหรัฐฯ เมื่อช่วงแรก ๆ ที่เขาเปิดตัว ‘Domino’s Pizza’ ก็คือ “ผมชอบกินพิซซ่ามาก แต่ไม่ค่อยมีใครรู้ เพราะบ้านเราไม่ค่อยมีเงิน ผมจึงได้กินพิซซ่าน้อยมาก ๆ จึงคิดตั้งแต่ตอนนั้นว่าอยากลองเป็นเจ้าของร้านขายพิซซ่าสักครั้ง”

Domino’s เริ่มจากร้านพิซซ่าเล็ก ๆ ในรัฐมิชิแกน เส้นทาง 63 ปีก่อนเป็นธุรกิจที่มีเชนใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ

ซื้อต่อร้านพิซซ่าที่ใกล้เจ๊ง

ในปี 1960 จุดเริ่มต้นของ Domino’s ทอม และน้องชายไปเห็นร้าน ๆ หนึ่งที่ชื่อว่า DomiNick's เป็นร้านพิซซ่าเพียงร้านเดียวที่เปิดในรัฐมิชิแกน และกำลังติดประกาศขายร้าน ซึ่งตอนนั้นคนที่เป็นเจ้าของก็คือ Dominick Devarti โดย ทอม ตกลงไว้ว่าจะซื้อร้านต่อในราคา 500 ดอลลาร์สหรัฐ (แต่เขายืมเงินน้องชายมา 900 ดอลลาร์สหรัฐ)

ทั้งคู่ได้นำร้านเก่าที่ทำพิซซ่าอยู่ก่อนแล้วมาต่อยอด เป็นร้านพิซซ่าแบบใหม่ที่มีหน้าให้เลือกเยอะขึ้น และที่สำคัญส่งเดลิเวอรี่ให้ด้วย ต้องบอกว่า Domino’s เป็นอีกหนึ่งร้านในรัฐมิชิแกนที่ทันสมัยมาก เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครทำรูปแบบการขายที่จัดส่งให้ถึงบ้านลูกค้า ทอม ได้เปลี่ยนชื่อร้านจาก Dominick’s มาเป็น Domino’s เพราะว่าเจ้าของเดิมไม่อนุญาตให้ใช้ชื่อเดิม

Domino’s เริ่มจากร้านพิซซ่าเล็ก ๆ ในรัฐมิชิแกน เส้นทาง 63 ปีก่อนเป็นธุรกิจที่มีเชนใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ

หลังจากที่เปิดร้านได้ไม่นาน น้องชายของทอม ได้ขอลาออกจากการช่วยทำธุรกิจและลงทุนร่วมเพราะรู้สึกว่ามันเหนื่อยเกินไป ตั้งแต่นั้น ทอม จึงกลายเป็นเจ้าของร้าน Donimo’s เพียงผู้เดียว

ทอม เคยพูดถึงพิซซ่าและความชอบของตัวเองว่า “ผมได้ตัดสินใจมอบหัวใจและจิตวิญญาณให้กับการเป็นคนทำพิซซ่า ด้วยจุดประสงค์ที่ชัดเจน และหากมันจะสำเร็จหรือว่าล้มเหลวในอนาคต ก็ให้มันเป็นผลลัพธ์ที่อยู่บนบ่าของผมเพียงลำพัง ผมจะยอมรับมันแต่โดยดี”

 

เจ้าแรก ๆ ที่ทำเดลิเวอรี่

ต้องพูดว่า การซื้อกิจการต่อในครั้งนั้นเป็นหนึ่งในความโชคดีที่สุดของ ทอม ที่ได้รับมาในช่วงชีวิตหนึ่ง เพราะนอกจากจะได้ทำตามความฝันในวัยเด็ก เขายังประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความนิยมของร้านพิซซ่า Domino's’ ซึ่งโด่งดังขึ้นจาก 'ความเรียบง่าย'

ที่บอกว่า simple is the best. เพราะว่า Domino’s เคยเป็นร้านพิซซ่าที่มีหน้าให้เลือกหลากหลายมาก จนถึงวันที่พนักงานของเขาลากระทันหัน ทำให้ ทอม ต้องลดหน้าพิซซ่าลงเพราะทำเองไม่ทัน และวันนั้นเองที่ทำให้ร้านเขามีชื่อเสียงขึ้น

นอกจากนี้ ทอม ยังเพิ่มบริการ ‘เดลิเวอรี่’ ส่งตรงถึงมือลูกค้าที่บ้านในปี 1973 เรียกว่าเป็นการทำแคมเปญ ‘ส่งพิซซ่าเกิน 30 นาที กินฟรี’ เป็นเจ้าแรกที่ทำแคมเปญรูปแบบนี้

โดยทอม ได้ให้เหตุผลว่า “แนวคิดที่มุ่งการจัดส่งภายใน 30 นาทีเกิดขึ้นจากการยืนกรานของตัวผมเอง ที่อยากจะส่งมอบพิซซ่าที่มีคุณภาพให้กับลูกค้า มันคงดูไม่เข้าท่าหากคุณใช้วัตถุดิบที่ดีมาก รสชาติพิซซ่าคุณอร่อย แต่ลูกค้ากลับได้พิซซ่าที่เย็นและจืดชืดไปแล้ว”

สิ่งที่ ทอม พยายามจูงใจพนักงานขับรถให้จัดส่งสินค้าให้เร็วที่สุด ก็คือ โบนัส สำหรับคนที่สามารถเก็บเงินสดจากลูกค้าได้มากที่สุด (จากการจัดส่งได้เยอะที่สุด) แต่สมัยนั้น Domino’s เคยถูกเรียกไปปรับเงินโทษฐานที่อบรมให้พนักงานขับขี่รถเร็วเกินไป และเพิ่มความเสี่ยงอันตรายให้กับคนอื่นบนถนน

ทุกอย่างดูราบรื่นและสวยงาม ความนิยม ยอดขาย และความโด่งดังของ Domino’s ทั้งในตลาดอเมริกันและต่างประเทศ ทำให้ ทอม ตัดสินใจขยายสาขาอย่างรวดเร็ว จนวันหนึ่งเขาพบว่า “มีหนี้พอกพูนจากการขยายธุรกิจกว่า 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ” นับเป็นหายนะครั้งใหญ่หลวงของ Domino’s และเขาพยายามหลีกเลี่ยงการล้มละลายด้วยการ “ให้อิสระแก่นักธุรกิจท้องถิ่นในการดูแลสาขา Domino’s ร่วมกัน”

ทั้งนี้ Domino’s ถือว่าเป็นแบรนด์ที่มีความคิดแบบนักนวัตกรมาตั้งแต่เริ่ม ทอม เป็นคนที่สนใจเรื่องเดลิเวอรี่อย่างมาก (จากประสบการณ์ช่วงหนึ่งที่เขาเคยทำงานพาร์ทไทม์เป็นคนส่งหนังสือพิมพ์ตามบ้าน)

โดยเราจะเห็นว่าที่ผ่านมา วิวัฒนาการของ Domino’s เกี่ยวโยงกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมเสมอ Domino’s สามารถทำระบบให้ลูกค้าเลือกหน้าพิซซ่าด้วยตัวเอง และตรวจสอบสถานะการจัดส่งได้ตั้งแต่ปี 2008

และเป็นแบรนด์แรกของโลกที่ใช้โดรนในการส่งสินค้าให้กับลูกค้า ซึ่ง Domino’s บินโดรนในนิวซีแลนด์ตั้งแต่ปี 2016 นอกจากนี้ในปี 2017 ยังมีการใช้ รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติในการจัดส่งพิซซ่าด้วย

Domino’s เริ่มจากร้านพิซซ่าเล็ก ๆ ในรัฐมิชิแกน เส้นทาง 63 ปีก่อนเป็นธุรกิจที่มีเชนใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ

 

Domino’s ในตลาดไทย

สำหรับ Domino’s ในตลาดไทย เรายังพูดไม่ได้เต็มปากว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะต้องบอกว่า Domino’s ในไทยมีช่วงขึ้น – ลง อยู่บ่อยครั้งที่เปลี่ยนมือผู้ดูแล โดยก่อนที่จะมาเป็น ‘บริษัท วาว แฟคเตอร์ จำกัด (มหาชน)’ เจ้าของคนปัจจุบัน ซึ่งบริษัท โดมิโน่ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด (บริษัทลูก) เป็นผู้รับโอนกิจการร้านพิซซ่าในไทยจากเจ้าของเดิมคือ บริษัท โดมิโน่ส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เอฟซี คอมมิซซารี่ จำกัด

ซึ่งก่อนหน้านี้ คนที่ได้รับช่วงดูแลอยู่พักหนึ่งก็คือ ‘ปรมินทร์ ศรีชวาลา’ แต่ได้เข้ามาดูแล Domino’s ได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น แล้วก็เงียบหายไป

ส่วน ‘มอนเทอเรย์ พิซซ่า’ ของบริษัทในเครือมอนเทอเรย์ กรุ๊ป ที่มีธุรกิจหลักด้านอสังหาริมทรัพย์ เรียกว่าเป็นรายแรกที่ซื้อแฟรนไชส์ของ Domino’s Pizza จากกลุ่มโดมิโนพิซซ่าในไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้ครองสิทธิทางการตลาดในเอเชียทั้งหมดในยุคหนึ่ง ซึ่งเราคงต้องขอบคุณบริษัทดังกล่าวด้วยที่ทำให้เราได้รู้จักกับ Domino’s พิซซ่าที่รสชาติและแป้งเป็นเอกลักษณ์ รายที่ 2 ในตลาดไทย (ต่อจาก Pizza Hut)

ถึงแม้ว่า ตอนนี้ ทอม จะไม่ใช่เจ้าของ Domino’s Pizza แล้วหลังจากขายหุ้นออกเกือบหมดถึง 93% แต่เขาก็ยังมีเลือดนักธุรกิจอยู่ ยังมีการลงทุนสร้างแบรนด์เบอร์เกอร์ที่ชื่อว่า Gyrene ที่เคยดังมาก ๆ ในวัยเด็กของเขา ทั้งยังเป็นนักธุรกิจใจบุญที่ชอบช่วยเหลือ และเป็นนักพูดเคลื่อนไหวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ด้วย

 

ภาพ: dominosrecruit, Getty Images

อ้างอิง:

Dominosrecruit

Entrepreneur

Zippia

Logomyway

People

Dominospizza