VISTEC จากแหล่งผลิตนักวิจัย สู่การสานต่อธุรกิจ Deep Tech Startup

VISTEC จากแหล่งผลิตนักวิจัย สู่การสานต่อธุรกิจ Deep Tech Startup

บนโลกแห่งการแข่งขัน การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนได้นั้น ต้องเริ่มที่เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนาและพลิกโฉมประเทศไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต หรือ New S-Curve 

โดยเน้นการบ่มเพาะนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ และสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่เป็นงานวิจัยชั้นแนวหน้าในระดับสากล เปิดสอนในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก (หลักสูตรนานาชาติ) ประกอบด้วย 4 สำนักวิชา คือ 

  1. สำนักวิชาวิทยาการโมเลกุล (School of Molecular Science and Engineering: MSE) 
  2. สำนักวิชาวิทยาการพลังงาน (School of Energy Science and Engineering: ESE) 
  3. สำนักวิชาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม ชีวโมเลกุล (School of Biomolecular Science and Engineering: BSE) และ
  4. สำนักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (School of Information Science and Technology: IST)

โดยทั้ง 4 สำนักวิชา ถือเป็นแกนหลักของนวัตกรรมสมัยใหม่ ที่สอดรับกับเทรนด์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต หรือ New S-Curve ที่มีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นในอนาคต 

ทั้งนี้ VISTEC ได้กำหนดทิศทางการดำเนินงานไว้ 3 แนวทาง โดยเริ่มจากงานทางด้านวิชาการ ที่เน้นการสร้างสรรค์งานวิจัยชั้นแนวหน้า ไปพร้อมกับการสร้างบุคลากรทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีคุณภาพสูง 

ส่วนแนวทางที่ 2 คือ การนำงานวิจัยที่สำเร็จมาต่อยอด สร้างเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ได้จริงทางอุตสาหกรรม โดยมีหน่วยงานที่ชื่อ Frontier Research Center รับผิดชอบในการสร้างความร่วมมือกับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม รับโจทย์จากหน่วยงานภายนอก เพื่อหาแนวทางในการนำผลงานวิจัยและเทคโนโลยีมาพัฒนาให้ตอบโจทยความต้องการของภาคอุตสาหกรรม

และแนวทางลำดับสุดท้าย คือ การบ่มเพาะวิสาหกิจใหม่บนพื้นฐานของเทคโนโลยีชั้นสูง หรือที่เรียกว่า Deep Tech Startup ซึ่งปัจจุบัน ทาง VISTEC ได้ก่อตั้ง บริษัท วิสอัพ จำกัด (VISUP COMPANY LIMITED)ขึ้น โดยมีบทบาทเป็น Venture Builder ที่เสมือนเป็นโรงงานผลิต Startup ออกสู่ตลาดอย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่ไอเดียการทำธุรกิจ โดยต่อยอดงานวิจัยมาพัฒนาเป็นเทคโนโลยีหรือผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งซัพพอร์ตแหล่งเงินทุน ความเชี่ยวชาญ และทรัพยากรที่มี เพื่อสนับสนุน Startup ให้สามารถเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ

หนึ่งใน Startup ภายใต้ บริษัท วิสอัพ จำกัด คือ บริษัท คลีนเทค แอนด์ บียอนด์ จำกัด (Cleantech and Beyond Co., Ltd.) ซึ่งมีผลงานโดดเด่นที่ได้พัฒนาเทคโนโลยีจากห้องแล็บสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์และดำเนินธุรกิจอย่างเต็มตัว นั่นคือ Digital Temperature Indicator หรือ DTI ที่ต่อยอดผลงานวิจัยจากสำนักวิชาวิทยาการโมเลกุล โดยยกระดับความสามารถของ RFID Tag ที่เราคุ้นเคยกันดีในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก, คลังสินค้า หรืองานอีเว้นท์ ให้สามารถวัดและแสดงสถานะอุณหภูมิได้ด้วย 

ลักษณะการทำงานของ DTI นั้น เป็นฉลากอัจฉริยะที่สามารถใช้ระบุตัวตนสินค้า อุปกรณ์ หรือสิ่งของที่นำฉลากไปติด โดยมีคุณสมบัติพิเศษคือ บ่งชี้เมื่ออุณหภูมิสูงเกินค่าวิกฤตได้ ทำงานได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ สามารถใช้งานได้กับระบบการสื่อสารไร้สายทั้งชนิด RFID และ NFC ซึ่งช่วยให้สามารถติดตามอุณหภูมิตัวสินค้าหรือสิ่งของต่าง ๆ เป็นรายชิ้น และเมื่อสินค้าสัมผัสกับอุณหภูมิที่สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด DTI จะแสดงสถานะอุณหภูมิทั้งในรูปแบบการเปลี่ยนสี และการเปลี่ยนสถานะดิจิทัล โดยไม่มีการผันกลับถึงแม้อุณหภูมิจะกลับมาสู่ค่าปกติ  

เนื่องจากการขนส่งสิ่งของบางประเภท ความร้อนหรืออุณหภูมิที่สูงเกินเป็นสิ่งที่ต้องระวังอย่างยิ่ง เพราะอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรืออันตรายได้ ยกตัวอย่างเช่น การขนส่งถุงเลือด ชีววัตถุ ขนส่งยา วัคซีน หรือสินค้าประเภทน้ำหอม เครื่องสำอาง อาหารมูลค่าสูง ควรต้องตรวจสอบไม่ให้อุณหภูมิเกินกว่าค่าที่กำหนด รวมถึงการตรวจสอบอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ อุปกรณ์ไฟฟ้า สายไฟ มอเตอร์ ในภาคอุตสาหกรรม ที่ต้องติดตามอยู่เสมอว่ามีความร้อนสูงผิดปกติหรือไม่ ก็สามารถนำ DTI นี้ไปติดเพื่อตรวจวัดอุณหภูมิได้

ถือเป็นหนึ่งตัวอย่างของการยกระดับผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ได้ถูกต่อยอดอย่างเป็นรูปธรรม และผลักดันสู่ธุรกิจ Startup ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางทั้ง 3 ด้านของ VISTEC ที่จะช่วยสร้าง Ecosystem ให้กับนักวิจัยได้มีพื้นที่สำหรับการเรียนรู้ พัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้อยู่ในระดับแนวหน้า สามารถนำมาผสมผสานสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมในเชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรม และยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน