คริส มาร์ติน แห่ง Coldplay ชายที่กลบความหม่นหมองด้วยสีสัน

คริส มาร์ติน แห่ง Coldplay ชายที่กลบความหม่นหมองด้วยสีสัน

ชายที่กลบความหม่นหมองด้วยสีสัน

“โศกนาฏกรรมมักเป็นของคู่กันกับร็อคสตาร์” ใครบางคนได้กล่าวเอาไว้ เมื่อพบว่าตั้งแต่โลกเริ่มต้นอุตสาหกรรมดนตรี เราจะได้ยินเรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เหล่านักดนตรี ศิลปินในตำนาน ได้ประสบพบเจอ ทั้งเรื่องยา เรื่องความรัก หรือกระทั่งเรื่องความตาย ดูจะเป็นของคู่กันกับเหล่าศิลปินราวกับพระเจ้าได้กำกับ ไม่ว่าจะเป็นการแตกแยกของวง The Beatles, การเลือกดับชีวิตของตนเองของ เคิร์ท โคเบน วง Nirvana, ชีวิตที่ว่ายวนอยู่ในความบอบช้ำและยาเสพติดของ เอมี ไวน์เฮาส์ และ วิทนีย์ ฮูสตัน หรือแม้กระทั่งการแตกคอของพี่น้องอีโก้ล้นอย่าง Oasis ศิลปินทุกคนต่างมีสตอรี่ที่ชวนติดตาม และจากไปพร้อมประวัติศาสตร์ที่ให้ชนรุ่นหลังได้ตื่นเต้นกับเงื่อนปมในชีวิตอันโลดโผน แต่หากเทียบเรื่องราวของ คริส มาร์ติน (Chris Martin) และวง Coldplay กับวงข้างต้น ก็คงจะบอกว่าช่างห่างไกลและจืดชืดค่อนข้างมาก เขาไม่มีปัญหาพี้ยา ไม่เคยทำลายข้าวของในโรงแรมที่พัก ไม่เคยคิดฟาดปากใครในปาร์ตี้ มีข่าวในแทบลอยด์ซุบซิบในฐานะที่คบกับดาราบ้าง แต่ก็ไม่ใช่อาหารอันโอชะของปาปาราซซี่ มีการแตกคอกันในวงบ้างนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ง้องอนให้กลับมาเล่นในเวลาอันรวดเร็ว หากเปรียบเป็นหนังก็คงเป็นหนังเรียบ ๆ ที่ไม่มีจุดพีค ไร้จุดหักเห หรือมีไคลแมกซ์อะไรให้ต้องสนใจ แต่เพราะอะไรคนทั่วทั้งโลกถึงหลงรักและเทิดทูนวงนี้ราวกับเป็นพระเจ้า? หนังสารคดี A Head Full of Dreams (2018) น่าจะพอตอบคำถามข้อนี้ได้ คริส มาร์ติน หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า คริสโตเฟอร์ แอนโธนี จอห์น มาร์ติน อาจจะเริ่มต้นชีวิตนักดนตรีด้วยความเฉิ่มในภาพลักษณ์ ผมที่ยาวและหยิกหยอย ฟันเหล็ก และใบหน้าที่ไร้พิษภัย ซึ่งมีความหมายเดียวกันกับความไร้เสน่ห์ พรหมลิขิตขีดเส้นทางตั้งแต่แรกเกิด เขาเติบโตท่ามกลางครอบครัวนักดนตรี มีแม่ที่เป็นครูสอนร้องเพลง และมีกิจกรรมตั้งวงดนตรีสมัครเล่นตั้งแต่ยังเด็กซึ่งก็ไม่ได้จริงจังอะไร จนกระทั่งเขาได้มาเรียนที่ University College London คริสก็ฝันว่า เขาจะเป็นนักดนตรีไปจนวันตาย คริส ตามหาพลพรรคเพื่อฟอร์มวง ซึ่งก็หาจากเพื่อนฝูงใกล้ชิดสนิทสนม จนได้ กาย เบอร์รีแมน, จอนนี บัคแลนด์ และ วิลล์ แชมเปียน มาร่วมวง ใช้ชื่ออันแสนเฉิ่มว่า Star Fish และให้เพื่อนซี้อีกคนที่กลายมาเป็นผู้กำกับสารคดีนี้คือ แมท ไวท์ครอสส์ บันทึกภาพตั้งแต่ก้าวแรกของวงจนกระทั่งในอีก 20 ปีต่อมา หนังบันทึกภาพของคริสในปี 1996 ที่เต็มไปด้วยแววตาแห่งความกระตือรือร้น เขาสารภาพว่าที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็เพื่อจะมาตั้งวงดนตรี วัน ๆ เอาแต่ร้องรำทำเพลงตามประสา แม้ว่าจะเอ่ยปากว่าไม่สนใจอะไรมากไปกว่าการเป็นศิลปิน แต่สุดท้ายคริสก็เรียนจบพร้อมเกียรตินิยมอันดับ 1 ซึ่งไม่ใช่เป้าหมายสำคัญอะไรเลย หากจุดหมายปลายทางของเขานั้นยังไปไม่ถึง คือการเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ เขาอาจจะไม่ได้เริ่มต้นสายอาชีพอย่างรันทดนัก คอนเสิร์ตครั้งแรกภายใต้ชื่อวง Star Fish ที่ The Falcon ย่านแคมเดน เป็นวงอื่นอาจจะมีคนดูบางตา แต่ในคืนวันนั้นกลับมีคนสนใจวงนี้เต็มผับ ก่อนจะได้รับการเฉลยว่าคนเหล่านั้นคือเพื่อนสนิทมิตรสหายที่มาให้กำลังใจ ท้ายที่สุด พวกเขาก็เข็นแผ่นเดโมที่ชื่อว่า Safety EP ออกมา จากการผลักดันของเพื่อนซี้ที่ได้มาเป็นผู้จัดการวงและเปรียบได้ดั่ง Coldplay คนที่ 5 อย่าง ฟิล ฮาร์วีย์ พร้อมกับชื่อวงชื่อใหม่ (ที่เอามาจากชื่อที่วงอื่นเขี่ยทิ้งอีกที) ในชื่อ Coldplay และด้วยซาวนด์อันน่าหลงใหล จุดหมายปลายทางของเขาก็ได้ลงเอยกับตราแผ่นเสียง Parlophone ที่ที่วงในดวงใจของเขาไม่ว่าจะเป็น The Beatles, Radiohead และ Supergrass พำนักอยู่ คริส มาร์ติน แห่ง Coldplay ชายที่กลบความหม่นหมองด้วยสีสัน อัลบั้มแรก Parachute วางจำหน่าย และเพลงอย่าง Yellow กลายเป็นเพลงยอดเยี่ยมและยอดฮิตอย่างถล่มทลาย Coldplay ไม่ใช่วงดนตรีในผับแถวแคมเดนอีกต่อไป เขาคือวงยิ่งใหญ่ที่พร้อมจะไปเล่นทุกพื้นที่ในโลกแล้ว หลังจากอัลบั้มชุดแรกโด่งดังและแจ้งเกิด คริสก็พาเพื่อน ๆ ในวงก้าวข้ามอาถรรพ์ของอัลบั้มชุดที่ 2 ด้วยการออกอัลบั้ม A Rush of Blood to the Head คริสหมกมุ่นอยู่ในห้องอัด แต่ด้วยแรงกดดันที่ถาโถมกลับเป็นเชื้อเพลิงที่ดีที่ทำให้เขาสร้างเพลงยอดเยี่ยม ในสารคดี กล้องได้จับภาพคริสเล่นเปียโนในเพลง The Scientist เป็นครั้งแรก หลังจากนั้นเพลงนี้ก็กลายเป็นเพลงในดวงใจของใครหลายคน รวมไปถึงการได้พบรักกับนักแสดงฮอลลีวูดแถวหน้าอย่าง กวินเนธ พัลโทรว  อัลบั้มชุดที่สาม ถึงแม้จะเป็นอัลบั้มที่คริสบอกกับทุกคนว่าเป็นอัลบั้มที่ชอบน้อยที่สุด แต่ X&Y ก็แปรความขื่นขมให้กลายเป็นเพลงอย่าง Fix You มันเศร้าจับจิต แต่ก็ยอดเยี่ยมจับใจ เขาเกาะกุมหัวใจชาวอเมริกันจนพาอัลบั้มขึ้นอันดับ 1 ได้เป็นผลสำเร็จ คริสอยากทดลองอะไรใหม่ ๆ พร้อมทั้งมั่นใจในศักยภาพของตัวเอง ในอัลบั้มชุดต่อมา Viva la Vida or Death and All His Friends เขาเชิญ ไบรอัน อีโน โปรดิวเซอร์ในตำนานที่เคยสร้างงานชั้นยอดกับวง U2, Talking Heads และอีกหลายวงให้มาร่วมทดลองสร้างซาวนด์ใหม่ ๆไปกับวง ผลลัพธ์คือความยอดเยี่ยมที่กวาดทั้งเงินและกล่อง   ในปี 2011 คริสพาวงดนตรีไปไกลกว่านั้น พร้อมทั้งเปลี่ยนซาวนด์จากร็อคอันหนักแน่น ค่อย ๆ ผ่อนปรนและสาดสีสันของเพลงป๊อปด้วยอัลบั้มอย่าง Mylo Xyloto ซึ่งสามารถไปสู่อันดับ 1 ในชาร์ตถึง 38 ประเทศ หลังจากนั้น การเปลี่ยนแนวทางหรือความคาดหวังจากแฟนเพลง ดูจะเป็นเรื่องปกติกับวงไปแล้ว เมื่ออัลบั้มชุดต่อมาในปี 2014 อย่าง Ghost Stories คริสก็พาดำดิ่งสู่บทเพลงอันแสนทะมึน แม้จะเป็นด้านดาร์ก แต่ยอดขายกว่า 3.7 ล้านก็อปปี้ ก็ยังบ่งชี้ว่าไม่ว่าจะมาทิศทางไหน แฟนเพลงก็รับเขาได้ สิ่งที่การันตีถึงชื่อเสียงอันโด่งดังของเขาคือการได้พาวงไปร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับ บียอนเซ่ และ บรูโน มาร์ส ในการแสดงช่วงพักครึ่งของ Super Bowl ในปี 2016 ในปี 2017 กับการทัวร์ยิ่งใหญ่เพื่อสนับสนุนอัลบั้ม A Head Full of Dreams คริสก็นำพาคอนเสิร์ตในฝันที่เต็มไปด้วยสีสันและแสงสี เทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ โปรดักชันที่ตระการตา ขึ้นโชว์ในสเตเดี้ยมสำคัญ ๆ ทั่วโลกรวมไปถึงประเทศไทย บ่งบอกได้ถึงจุดสูงสุดในชีวิตนักดนตรีของเขา และภาพในคอนเสิร์ตถูกถ่ายทอดอย่างปราณีตเพื่อเฉลิมฉลองการคงอยู่ร่วมกันของวงจนครบ 20 ปี คริส มาร์ติน แห่ง Coldplay ชายที่กลบความหม่นหมองด้วยสีสัน หากคุณอ่านจนถึงบรรทัดนี้ ก็คงพบว่าไทม์ไลน์ชีวิตของคริสและวงถูกลิขิตราวกับพระเจ้าปูพรมแดง และโปรยกลีบกุหลาบให้พวกเขาได้เดินอย่างงดงามและชวนอิจฉา แต่ไม่เลย มันไม่ง่ายขนาดนั้น อุปสรรคต่าง ๆ ถาโถมและท้าทายเขาในแทบทุกช่วงที่มีความสุข อัลบั้มแรกที่พาวงสู่ฝันขั้นแรก ต้องแลกมาด้วยการที่ วิลล์ มือกลองของวงต้องสูญเสียแม่ไป คริส ถ่ายมิวสิควิดีโอเพลง Yellow ในขณะที่เพื่อนของวงอยู่ในพิธีศพของแม่วิลล์ ท้ายเครดิตในอัลบั้มมีการรำลึกถึงแม่ของวิลล์ ซึ่งตัววิลล์เองแม้จะมีทักษะในการตีกลอง แต่ไม่ใช่เครื่องดนตรีที่เขาถนัด เขาขอลาออกก่อนที่อัลบั้มจะคลอดด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายคริสก็ชวนกลับมา เพราะไม่มีใครทดแทนตำแหน่งนั้นได้เท่ากับวิลล์ คาบเกี่ยวระหว่างอัลบั้มชุดที่หนึ่งและสอง แม้จะกระหึ่มชาร์ต UK แต่เขาก็ไม่สามารถซื้อใจได้กับอเมริกา ทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกมีแฟนเพลงบางตามาชม คริสขอกำลังใจจากแฟนเพลงด้วยการถามผ่านไมค์ว่ามีใครซื้ออัลบั้มพวกเขาหรือยัง มีเพียงคนเดียวที่ยกมือ และคอนเสิร์ตนั้นก็จบด้วยการปาข้าวของใส่พวกเขา คริสพบรักกับดาราสาว ติ่งที่แลกมาคือการเป็นหนึ่งในหน้าหนังสือพิมพ์ซุบซิบ นักข่าวสนใจเรื่องราวชีวิตรักของเขามากกว่าผลงานเพลง X&Y เป็นอัลบั้มที่แห้งแล้งของวง เพราะ ฟิล ผู้จัดการวงขอลาออก มันเด่นชัดมากว่าวงไร้ซึ่งแพสชันในการทำงาน ผลตอบรับคือการสาดเสียเทเสียของนักวิจารณ์ คำพูดรุนแรงโจมตีเขาอย่างไม่ยั้ง จนระหว่างซ้อมคอนเสิร์ตคริสถึงกับตัดพ้อผ่านไมค์ถึงคำวิจารณ์อันแสนเจ็บแสบของ New York Times ฟิลกลับมาเป็นผู้จัดการในอัลบั้ม Viva la Vida or Death and All His Friends ชื่อเสียงของวงอยู่ในสถานะที่โด่งดังแล้ว แต่มันก็แลกด้วยความกดดันถึงขีดสุด การแตกคอกันของวง ทรรศนคติที่ไม่ตรงกัน หลายครั้งสมาชิกวงก็เลือกจบค่ำคืนอันแสนเลวร้ายด้วยเหล้า คริสเริ่มทบทวนถึงความสัมพันธ์ของวงและความสุขที่แท้จริง เสียงตอบรับและความผิดหวังในการเปลี่ยนแนวทางของวงในอัลบั้ม Mylo Xyloto สร้างความผิดหวังให้กับแฟนเพลงยุคบุกเบิก หลายคนบอกวงขายวิญญาณให้กับธุรกิจดนตรี Coldplay ที่ละเมียดลุ่มลึก กลายเป็นวงบอยแบนด์ที่ทำเพลงรับใช้แฟนเพลงป๊อป และกลายเป็นจุดพลิกผันครั้งสำคัญระหว่างคริสกับกวินเนธ จนความสัมพันธ์สะบั้นลงใน 2014 คริส ในช่วงเวลาที่สับสน เปราะบาง และอ่อนแอที่สุด ถูกเยียวยาด้วยอัลบั้มที่กลั่นความทุกข์ระทมจนกลายเป็น Ghost Stories ในขณะที่เขาขึ้นบนเวที คำถามถึงการยืนอยู่บนชื่อเสียงและความว่างเปล่า ดูช่างเจ็บปวดและไร้ซึ่งความหมาย แถมยังโดนวงรุ่นน้องอย่าง Bring Me the Horizon กร่างใส่ในงาน NME Awards 2016 ด้วยการปีนโต๊ะร้องเพลงโชว์อย่างหยามหยันอีกด้วย เหล่านี้คือสิ่งที่วงได้เผชิญหน้า แน่นอนว่ามันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและขื่นขมไม่แตกต่างจากวงในตำนานวงอื่น ที่มีริ้วรอยและรอยแผลเป็นที่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ หากแต่แทนที่พวกเขาจะกดทับเพื่อเรียกความสงสารและเห็นใจ คริสและวงกลับเลือกที่จะลืมมันไปและใช้สีสันทาทับสีเทาอันแสนดำหม่น จนเกิดเป็นอัลบั้ม A Head Full of Dreams ที่ร่าเริง เต็มเปี่ยมด้วยสีสัน และไม่แคร์ความเลวร้ายในอดีตใด ๆ ความเลวร้ายทั้งหลายที่กล่าวมาข้างต้น เชื่อแน่ว่าผู้กำกับอย่างแมทได้มีส่วนรู้เห็นและถ่ายมันไว้ แต่วงก็เลือกที่จะแตะมันในระดับผิวเผินเท่านั้น แม้ความหม่นเศร้าจะเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีในการสร้างผลงาน แต่พลังบวกของคริสกลับรุนแรงกว่า คริส มาร์ติน แห่ง Coldplay ชายที่กลบความหม่นหมองด้วยสีสัน คริสลบล้างความเศร้าหม่นด้วยมิตรภาพและการให้เกียรติ ในทุก ๆ เพลงที่แม้คริสจะเป็นหัวเรือใหญ่ในการเขียน แต่ในทุก ๆ ชื่อ เครดิตของวงจะเป็นชื่อของทั้งสี่แทบจะทั้งหมด ยิ่งนานวันความผูกพันของวงกลับอยู่ในขั้วตรงกันข้ามกับภาพร็อคสตาร์ทั่ว ๆ ไปที่มักจะเฉยชาและจืดจาง แต่ยิ่งนานวันกลับยิ่งแน่นแฟ้นในมิตรภาพ และมิตรภาพครั้งนั้นก็ตอบแทนคริสด้วยการยื่นมือเข้าช่วยดึงเขาขึ้นมา ในยามที่เขาตกในเหวลึกแห่งความเจ็บปวดตอนที่เลิกรากับคนที่รัก ไม่ใช่เพียงสมาชิกในวงจะอยู่กันอย่างเหนียวแน่นและผูกพัน คนตั้งสายกีตาร์ ทีมซาวนด์เอนจิเนียร์ตั้งแต่อัลบั้มชุดแรกยันชุดปัจจุบันล้วนเป็นทีมงานคนเดิม เขายกความดีความชอบและกล่าวถึงบุคคลเหล่านี้ราวกับครอบครัวคนสำคัญ หากขาดใครสักคนหนึ่งย่อมไม่ใช่ Coldplay มิตรภาพค่อย ๆ เบ่งบานจากรุ่นสู่รุ่น จนกระทั่งลูก ๆ ของเขาและกวินเนธก็ได้เป็นหนึ่งในส่วนร่วมสำคัญของอัลบั้มด้วยการบันทึกเสียงร้องในนั้น รวมไปถึงเสียงของกวินเนธที่ร่วมร้องในเพลง Everglow กระทั่งศัตรูที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาในวิวาทะอย่าง โนล กัลลาเกอร์ แห่ง Oasis คริสก็ละลายอคติด้วยการชวนมาร่วมงานด้วย คริสในกาลปัจจุบันคือผู้ชายที่มีความคิดและพลังในประจุขั้วบวก แม้จะมีคนพยายามค่อนขอดถึงความร่าเริงและแสนดีเกินปกติของเขา แต่สารคดีที่แมทได้ติดตามตลอด 20 ปี และมีฟุตเทจความยาวไม่ต่ำกว่า 1,000 ชั่วโมงก็เป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ว่า รอยยิ้มแสนซื่อ แววตาที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน และหัวใจข้างในที่เต็มเปี่ยมด้วยความดีงามของเขา ไม่ได้มาเพียงประเดี๋ยวประด๋าว แต่มันเริ่มต้นนับตั้งแต่วันแรกที่เขาตั้งมั่นว่าจะตั้งอยู่และดับไปในฐานะศิลปิน ไม่ว่าวงจะอยู่ในสถานะไหน คริส มาร์ติน ก็ยังคงเป็น คริส มาร์ติน คนนั้น ชายผู้แสนดีที่ใช้ดนตรีเยียวยาหัวใจทั้งตนเองและผู้ฟังนับล้าน ๆ คนไม่เปลี่ยนแปลง   เรื่อง: ครูสิงห์ โสตศึกษา